จวนสกุลกง
“ข้ามิได้ฆ่านาง ข้าเองก็ถูกนัดไปที่นั่น ข้ามิได้ทำนะ ข้าไม่ได้ทำ!!”
“เจ้าเป็นใคร”
“ข้าจะกลับมาที่ร่างของข้าแต่กลับไม่ได้ เจ้านั่นแหละคือผู้ใด เหตุใดจึง…ฮือ…ข้ากลับไม่ได้แล้ว…”
“เจ้า… คือใคร”
“ข้าชื่อ “กงเหรินซิน” บุตรีคนที่สามของแม่ทัพใหญ่แห่งซานโจวกงฮั่ว ข้าเป็น… ข้า..”
“เจ้าทำอะไรลงไป”
เยว่ชิงชิงไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น ทันทีที่สตินางดับสูญที่หน้าผาเขาตงซาน นางก็รู้สึกหายใจไม่ออกและไม่เคยรู้เลยว่าใต้เทือกเขาสูงนี้จะมีแม่น้ำอยู่แต่ทว่าภาพที่นางกำลังเห็นอยู่ในตอนนี้กลับทำให้นางต้องสงสัย
“นี่มันเรื่องอะไรกัน เหตุใดข้าถึงเห็นภาพเหล่านี้”
ไม่นานเยว่ชิงชิงจึงได้เข้าใจ สิ่งที่นางเห็นคือสิ่งที่พึ่งจะเกิดขึ้นก่อนที่นางจะถูกนำตัวมายังเตียงอุ่น ๆ ในห้องนอนนี้
“ข้าเป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวของแม่ทัพกงฮั่วผู้ยิ่งใหญ่ มีทั้งบุญคุณต่อแผ่นดินและราชสำนัก แม้นข้าจะเป็นสตรีที่หัวรั้นและโง่เขลาที่หลงรักบุรุษเพียงคนเดียวอย่างโง่งมเช่น "หมิงชินอ๋อง" ทั้ง ๆ ที่เขามิเคยเหลียวแลข้าเลย ถึงขั้นรังเกียจด้วยซ้ำไป"
“หมิงชินอ๋อง กงเหรินซิน กงฮั่วนี่มันเรื่องอะไรกัน โอ๊ย!!”
ไม่นานเสียงเรียกของใครบางคนก็ทำให้นางรู้สึกตัว ผ้าอุ่น ๆ ที่คอยเช็ดใบหน้าของนางทำให้นางรู้สึกตัวอีกครั้ง เมื่อค่อย ๆ ขยับเปลือกตาขึ้นก็เริ่มรู้สึกว่าร่างกายนี้หนักเสียจนแทบจะขยับไม่ไหว นางมีไข้นั่นเอง
“เกิดอะไรขึ้น”
“คุณหนูรู้สึกตัวแล้ว ข้าจะให้คนไปแจ้งคุณชายรอง”
ทุกความทรงจำของ “กงเหรินซิน” ค่อย ๆ แทรกเข้ามาในหัวของเยว่ชิงชิงที่นอนอยู่ราวกับพยายามถ่ายทอดเรื่องราวทั้งหมด ไม่นานร่างสตรีที่บอบบางและรอยยิ้มเศร้า ๆ ก็ค่อย ๆ หายไปพร้อมกับชายแก่ที่มารับนาง แม้ว่าจะเรียกสุดเสียงก็ราวกับว่านางจะไม่ได้ยินอีกต่อไปแล้ว
“ช่วยตามหาฆาตกรที่ฆ่าข้า แก้แค้นและอยู่ในร่างของข้าให้ดี ข้าของฝากเจ้าด้วย….เยว่ชิงชิง"
“เดี๋ยว!! ไม่นะ ข้าก็มีความแค้นของข้า เดี๋ยวก่อน!!”
“น้องสาม! เจ้าฟื้นแล้วโล่งอกไปที”
เสียงของบุรุษหนุ่มที่คุ้นหูค่อย ๆ ดังขึ้น มือนุ่มของเขาเอื้อมมาจับและบีบมือนางเอาไว้พร้อมกับพยายามเรียกนางอยู่ข้าง ๆ กลิ่นไม้กฤษณาที่ติดกายทำให้นางจำได้ทันที เขาคือผู้ที่ช่วยนางขึ้นมาจากน้ำ หรือก็คือ “กงอวี้หาน” ในตอนนี้นั่นเอง
“ท่าน…”
“ข้าเอง พี่รองของเจ้าตอนนี้เจ้ารู้สึกอย่างไรบ้าง เจ้ายังมีไข้อยู่เดี๋ยวข้าจะให้อาเจิงมาเช็ดตัวให้เจ้า”
“อาเจิง…”
“อาเจิง” คือสาวใช้ของกงเหรินซิน นางเป็นสาวใช้เพียงคนเดียวที่ยอมมาอยู่ข้างกายกงเหรินซินที่ดื้อรั้น เอาแต่ใจและเป็นสตรีที่ใคร ๆ ต่างหวาดกลัว ด้วยอำนาจของบิดานางที่เป็นแม่ทัพใหญ่ ทั่วทั้งเมืองซานโจวจึงไม่มีผู้ใดกล้ามีปัญหากับนาง
“เจ้าหมดสติไปสองคืนเต็ม ๆ หากว่าเจ้าไม่ฟื้นวันนี้ข้าคงต้องเรียกหมอมาดูอาการเจ้าแล้ว”
มือของผู้เป็นพี่ชายจับนางอยู่นุ่มดุจไม่เคยจับอาวุธ เขาคงเป็นพี่ชายคนรองที่เจ้าของร่างพูดถึงอย่างรวดเร็ว แม้ว่าจะไม่อยากจดจำแต่เรื่องราวของกงเหรินซินก็เข้ามาในหัวจนนางจดจำได้ราวกับว่านางคือกงเหรินซิน ทั้งนิสัย ญาติพี่น้องและ…บุรุษที่นางรัก “เยว่ชิงชิง” ก็ทราบหมด
“พี่… พี่รอง”
“เจ้าอย่าพึ่งลุกสิตอนนี้เจ้ายังมีไข้อยู่ ข้าจะสั่งสาวใช้ให้เอายาแก้ไข้มาให้เจ้าดื่มรอก่อนนะ อาเจิงมาเฝ้านางที”
“เจ้าค่ะ”
ตอนนี้เมื่อนางเริ่มลืมตาก็ค่อย ๆ หันไปมองดูโดยรอบ ห้องนอนของกงเหรินซินมีแต่เครื่องเรือนไม้ที่หรูหรา เตียงและชุดที่นางใส่ก็มิใช่ผ้าราคาถูก เมื่อหันไปมองก็พบว่าสาวใช้หน้าตาน่ารักที่น่าจะอายุน้อยกว่านาง (เยว่ชิงชิงที่อายุย่างยี่สิบปี) กำลังรินน้ำมาให้นาง
“คุณหนูท่านฟื้นเสียทีบ่าวตกใจหมดเลยเจ้าค่ะ ท่านหมดสติไปสองคืนไข้ขึ้นไม่ลด คุณชายรองตามหมอทั่วทั้งเมืองหลวงมาที่จวนเพราะเกรงว่าท่านจะ…”
“เจ้า… อาเจิง”
“เจ้าค่ะคุณหนู ท่านอยากได้อะไรหรือไม่เจ้าคะ ดื่มน้ำเพิ่มหรือไม่”
“ไม่ ข้า… อยากอยู่นิ่ง ๆ สักพัก”
“เจ้าค่ะ เช่นนั้นข้าจะรีบนำน้ำมาเปลี่ยนและไปสั่งให้จิ่นมู่เอาเตาถ่านมาเพิ่มให้นะเจ้าคะ”
เมื่อนางหันไปมองข้าง ๆ ก็พบว่ามีเตาผิงถ่านวางอยู่ มิน่าเล่าถึงได้รู้สึกอุ่นสบายท่ามกลางอากาศที่เริ่มเย็นลงในฤดูสารทเช่นนี้ แต่จะบอกได้เช่นไรว่านางมิใช่กงเหรินซิน ตอนนี้รู้เพียงว่าจะต้องใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ในร่างของสตรีที่มีแต่คนรังเกียจและกลัวผู้นี้
“นางร้ายงั้นหรือ เป็นนางร้ายแล้วเหตุใดจึงได้โง่ถูกลอบฆ่าได้ง่ายดายถึงเพียงนี้”
นางเพียงพยายามบีบมือตัวเองก็พบว่าเรี่ยวแรงแทบจะไม่เหลือ สตรีในเรือนเช่นกงเหรินซินไม่เคยจับอาวุธแม้จะเป็นถึงบุตรีท่านแม่ทัพ แต่สำหรับเยว่ชิงชิง นางเป็นสตรียอดฝีมือในยุทธภพ แม้นผู้ใดได้ยินชื่อต่างก็รู้ว่าคือยอดฝีมือซึ่งยากที่จะมีผู้ใดสามารถเอาชนะนางได้ง่าย ๆ
“ยอดสตรีผู้กล้าในยุทธภพ “กระบี่วารีพิสุทธิ์” เหลือแค่เพียงคำเล่าขานเท่านั้น”
เข้าวันที่สามแล้วที่นางมาอยู่ในร่างของกงเหรินซิน ช่วงนี้เป็นช่วงเวลาพักฟื้นและปรับตัว แม้ว่าที่จวนสกุลกงจะมีสิ่งอำนวยความสะดวกทุกอย่าง และบัดนี้นางยังกลายเป็นคุณหนูคนเดียวแห่งจวนแม่ทัพ แต่ก็หาได้มีความสุขไม่เพราะในใจของนางเริ่มคิดทบทวนถึงสิ่งที่ผ่านมา
“ร่างกายนี้อ่อนแอเกินไป วรยุทธ์ของข้าคืนมาเพียงแค่สามส่วนเท่านั้น แม้ว่ากำลังภายในจะเริ่มฟื้นฟูแต่กลับแทบจะไม่มีแรงถือกระบี่ หากเป็นเช่นนี้จะออกไปตามสืบคนที่ฆ่าอาจารย์แล้วล้างแค้นได้เช่นไรกัน”
กงเหรินซินนับตั้งแต่ฟื้นขึ้นมาก็เงียบผิดปกติ นางแทบจะไม่คุยกับผู้ใดเลยนอกจากอาเจิงสาวใช้ข้างกาย
“คุณหนูนี่ท่าน….”
“อย่าตกใจไป ข้าคิดว่าวันที่ข้าตกลงไปในน้ำวันนั้น ความทรงจำบางอย่างของข้าได้หายไปก็เลยต้องให้เจ้าช่วยน่ะ”
“แต่ว่าเรื่องนี้ท่านควรจะแจ้งคุณชายรองนะเจ้าคะ ตอนนี้คุณชายใหญ่กับนายท่านตั้งกองทัพอยู่ชายแดนเมืองเฉียงอันคิดว่าข่าวของท่านน่าจะส่งไปถึงแล้ว”
“ท่านพ่อ พี่ใหญ่…”
ความทรงจำของเจ้าของร่างบอกกับนางว่า ความสัมพันธ์ระหว่างกงเหรินซินกับพี่ใหญ่ “กงจ้าวหนาน” นั้นไม่ค่อยดีนัก เพราะนางเอาแต่ใจตัวเองและดื้อรั้นจนพี่ใหญ่ของนางออกปากว่า หากเป็นเช่นนี้ต่อไปเขาจะไม่นับว่านางเป็นน้องสาวเพราะอับอาย
ส่วนแม่ทัพกงนั้นหลังจากที่สูญเสียฮูหยินก็เอาแต่ออกศึกโดยมิได้สนใจจะอบรมบุตรีคนสุดท้อง ดังนั้นกงเหรินซินจึงเติบโตมาท่ามกลางความโดดเดี่ยว ไร้คนอบรม มีเพียงพี่รองของนางซึ่งเป็นขุนนางอยู่ที่เมืองหลวงที่ยังดูแลเอาใจใส่และเห็นนางเป็นน้องสาว
“มิน่าเล่าถึงได้เป็นเช่นนี้ ข้าไม่แปลกใจเลย”
“คุณหนูเจ้าคะ!”
สาวใช้วิ่งหน้าตาตื่นวิ่งมาที่ศาลาในสวน เมื่อเห็นหน้ากงเหรินซินที่หันมาก็นึกหวาดกลัวจนต้องคุกเข่าก้มหน้าลงทันที เหรินซินถึงกับตกใจเมื่อเห็นพฤติกรรมเช่นนี้
“คะ คุณหนูบ่าวผิดไปแล้ว”
“เป็นอะไรไป ลุกขึ้นเถอะข้ามิได้จะตำหนิเจ้า อาเจิงเจ้าจัดการสิ”
อาเจิงค่อย ๆ เดินมาพยุงสาวใช้ลุกขึ้นมา สาวใช้หันมามองหน้าคุณหนูที่มองนางกลับมาก็รีบหลบสายตาทันที
“เจ้ามีอะไรก็ว่ามาเถอะ”
“เจ้าค่ะคุณหนู คือว่า…หมิงชินอ๋องเสด็จมาพร้อมกับทหารอีกหลายคน บอกว่าจะมารับตัวท่านไปสอบสวนเรื่องในวังเมื่อสามวันก่อน ตอนนี้ประทับรออยู่ที่ห้องโถงกลางเจ้าค่ะ”