นับจากวันนั้น หวังอวี้โหวก็ไป ๆ มา ๆ ที่เรือนริมคลองอยู่ตลอด กระทั่งเวลาล่วงเลยไปกว่าสิบวันแล้ว ทำให้เขาและฮุ่ยอันสนิทกันมากขึ้น ทว่าหญิงสาวก็ยังคงเว้นระยะห่างอยู่ดี
“วันนี้คนป่วยกลุ่มสุดท้ายถูกส่งตัวกลับบ้านเรือนของตนหมดแล้ว คงมีแค่ฝั่งชายแดนเท่านั้นที่น่าเป็นห่วง เมื่อวานคนของรุ่ยอ๋องส่งข่าวมาว่าฝ่ายนั้นยกทัพเข้ามาประชิดเขตแดนแล้ว ดีที่ทัพเสริมของเราเดินทางมาถึงก่อน คาดว่าอีกไม่นานศึกคงเริ่มขึ้น” หวังอวี้เอ่ยบอกท่านหมอที่กำลังเก็บข้าวของใส่ย่ามสะพาย และกล่องสี่เหลี่ยมที่มีอุปกรณ์แปลกตาปะปนอยู่
บางอย่างหวังอวี้คุ้นเคยดี เพราะนางเคยใช้มันช่วยชีวิตเขาเมื่อเกือบสองเดือนก่อนหน้านี้ และสภาพมันยังคงเหมือนเดิม
“เช่นนั้นศึกนี้ก็ยังไม่เริ่มใช่หรือไม่เจ้าคะ”
“ยัง เจ้าคิดจะทำอันใดล่ะ” ย้อนถามเมื่อเห็นสีหน้าและ ท่าทางของฮุ่ยอันยามนี้ดูร่าเริงสดใสมาก
“ข้าน้อยอยากกลับไปเอาของใช้ที่เรือนเจ้าค่ะ ท่านโหวอนุญาตนะเจ้าคะ” กะพริบตาถี่เป็นประกายส่งให้เขาอย่างออดอ้อน ปากล่างก็เม้มเข้าหากันอย่างรอลุ้น ทำเอาท่านโหวผู้ยิ้มยากถึงกับไปไม่เป็น ตอบรับคำขอนางอย่างง่ายดาย
“อืม ประเดี๋ยวข้าจะไปส่ง” เอ่ยจบเขาก็เดินออกไปจากห้อง มีสายตาของฮุ่ยอันมองตามจนร่างสูงพ้นประตูไป
“ใจดีจัง” พึมพำกับตนเอง ก่อนจะหิ้วเอากล่องสี่เหลี่ยมตามออกมา ซึ่งด้านนอกมีรถม้าจอดรออยู่ก่อนแล้ว
“รีบเดิน ประเดี๋ยวจะถึงที่พักม้าค่ำ” เปิดม่านออกมาส่งเสียงดุสตรีตัวน้อยที่กำลังหอบหิ้วสัมภาระตนออกมาจากเรือน
“ชิ! ไม่ช่วยแล้วยังจะมาเร่งอีก” บ่นพึมพำเมื่อได้ยินเสียงเขา ก่อนที่กล่องยาจะถูกโม่ฟานแย่งไปถือ
“ขอบคุณพี่โม่ฟาน” เอ่ยแล้วก็ยิ้มหวานส่งให้เขาตามปกติ เพราะองครักษ์ผู้นี้มีหน้าที่ดูแลฮุ่ยอันตั้งแต่เริ่ม
“ขึ้นมาได้แล้ว มัวแต่พิรี้พิไรอยู่นั่นแหละ” คนด้านบนยังคงส่งเสียงลงมาเตือน แววตาคมดุกำลังจับจ้องที่คนสนิทของตน จนโม่ฟานต้องรีบถอยไปหาสหายที่ยืนอยู่ไม่ไกล
“ข้าทำอะไรผิด” เอียงหน้ากระซิบถาม
“ใครให้เจ้าอยู่ใกล้ท่านหมอล่ะ” เจาหยางตอบกลับโดยไม่ขยับใบหน้าหันไปมอง สายตาทุกคนยังคงจับจ้องอยู่ที่ผู้เป็นนายและสตรีตัวน้อยที่กำลังก้าวขึ้นรถม้า
“ข้าก็ไม่เข้าใจอยู่ดี” โม่ฟานยกมือขึ้นมาเกาหัวตนอย่างมึนงง อย่าว่าแต่เขาเลยสหายอีกคนก็พอกัน
“ข้าก็ไม่เข้าใจ วันก่อนเจ้าบาดเจ็บ แทนที่ท่านหมอจะเป็นคนรักษา ท่านโหวกลับให้ข้าเรียนรู้วิธีทำแผล แล้วมารักษาเจ้าเสียอย่างนั้น มันใช่หรือ มีหมอแต่ไม่ให้หมอรักษา แต่ให้องครักษ์ด้วยกันเองทำแผล ข้าไม่เข้าใจจริง ๆ นะ”
หย่งเต๋อเอ่ยในสิ่งที่คิด และทำหน้ามึนงงไม่ต่างจากสหาย องครักษ์ผู้นี้เป็นคนเข้าใจอะไรยาก ยิ่งเกี่ยวกับการกระทำหรือการแสดงออกของผู้คนเขายิ่งไม่เข้าใจ
“ข้าเหนื่อยจะพูดกับเจ้าสองคนยิ่งนัก” เจาหยางเอ่ยแล้วก็ขึ้นม้าเพื่อเตรียมตัวออกเดินทาง องครักษ์ผู้นี้มีนิสัยสุขุมเยือกเย็นพอ ๆ กับเจ้านาย ต่างจากสองคนนี้มาก
“อะไรของเขา ทำไมไม่พูดให้เข้าใจ” หย่งเต๋อบ่นตามหลังสหายที่บังคับม้าไปรอด้านหน้าแล้ว “เจ้ารู้เรื่องหรือไม่”
โม่ฟานส่ายศีรษะทันที “ข้าก็โง่พอ ๆ กับเจ้านั่นแหละ” เอ่ยจบก็เอากล่องยาวางบนรถม้า ก่อนจะขึ้นไปทำหน้าที่บังคับม้า ไม่นานมันก็เคลื่อนตัวออกเดินทาง
ฮุ่ยอันขึ้นมาก็นั่งหันข้างให้ผู้เป็นนายที่ทำหน้าเคร่งขรึมใส่ ‘ไปกินรังแตนที่ไหนมาเนี่ยะ ดูทำหน้าเข้า’ นึกในใจเมื่อเห็นเขาเหลือบตามอง และไม่ยอมพูดจาอะไรเลย นางจึงหันไปสนใจอย่างอื่นแทน นั่นคือเรือนที่ตนกำลังจะจากไปแห่งนี้
มือขาวเปิดม่านค้างไว้เพื่อดูเรือนที่ตนเคยใช้เป็นที่พักพิงในช่วงครึ่งเดือนที่ผ่านมา 'ย้ายอีกแล้ว’ นึกในใจถึงชีวิตของตน ตั้งแต่ข้ามมาอยู่ในยุคนี้ นางได้เปลี่ยนที่อยู่ถึงสามครั้งแล้ว ทั้งที่พึ่งมาอยู่ในยุคนี้เพียงแค่สองเดือนเศษเท่านั้น
ดวงตาสวยหม่นลงอย่างเห็นได้ชัด พร้อมกับปิดผ้าม่านลงตามเดิม นางหันกลับมานั่งตัวตรงอย่างเหม่อลอย นึกถึงชีวิตตนเองในวันหน้า การได้เป็นหมอประจำจวนโหวนั้นถือว่าเป็นเรื่องดี เงินเดือนที่ได้ก็ถือว่ามากพอดู ทนทำไปสักปีสองปี ไม่แน่อาจมีเงินเก็บซื้อบ้านเป็นของตัวเองก็ได้
ทว่าการอยู่ใกล้บุรุษผู้นี้ช่างมีความเสี่ยงเหลือเกิน
เสี่ยงเขาจะเผยตัวตนที่แท้จริงของนาง
เสี่ยงกับหัวใจตนเองที่มันเอาแต่คิดถึงเขาอยู่ทุกวัน
“คิดสิ่งใดอยู่” เสียงเย็นเปล่งออกมา พร้อมกับนัยน์ตาคมดุจ้องมองท่าทางของนางที่ดูเหม่อลอยอย่างเห็นได้ชัด ฮุ่ยอันสะดุ้งโหยงทันทีเมื่อได้ยินเสียงของผู้เป็นนาย
“ปะ…เปล่าเจ้าค่ะ” รีบส่ายศีรษะบ่ายเบี่ยงอาการที่เป็นอยู่
หวังอวี้มองสีหน้าสตรีตัวน้อยอย่างพินิจ ช่วงสิบวันที่ผ่านมา เขาพยายามสอบถามถึงเรื่องการรักษาที่มันต่างจากหมอในยุคนี้ รวมถึงครอบครัวของนาง ทว่าฮุ่ยอันกลับตอบว่าตนกำพร้ามาตั้งแต่เด็ก ซึ่งข้อนี้อันที่จริงนางก็ไม่ได้โกหกเขา
ในยุคปัจจุบันฮุ่ยอันก็กำพร้า นางอาศัยอยู่กับตาเพียงสองคน หลังจากผู้เป็นตาจากไปเมื่อห้าปีก่อน ฮุ่ยอันก็ใช้ชีวิตลำพัง ยึดอาชีพพรานนำทางเลี้ยงตัวมาโดยตลอด
กระทั่งข้ามมิติเข้ามาอยู่ในยุคนี้นี่แหละ
“หรือคิดจะเปลี่ยนใจไม่ไปกับข้า” หวังอวี้เอ่ยถามในสิ่งที่ตนสงสัย เพียงแค่คิดใจเขาก็เริ่มหงุดหงิดแล้ว “ว่าอย่างไร เจ้าคิดจะเปลี่ยนใจใช่หรือไม่” ย้ำคำพร้อมกับน้ำเสียงที่แข็งกร้าวขึ้น
ฮุ่ยอันมองหน้าเขาอย่างไม่เข้าใจ เพราะอีกฝ่ายใส่อารมณ์เป็นอย่างมาก “ทำไมต้องดุด้วย ในเมื่อข้าน้อยรับปากทำงานให้ท่านแล้ว ย่อมไม่เปลี่ยนใจแน่” สิ้นคำก็ค้อนขวับเข้าให้
เมื่อถูกคนตัวเล็กตอบกลับพร้อมกับส่งสายตาตัดพ้อมาให้ หวังอวี้โหวก็ได้แต่นิ่งงัน นั่งนิ่งไม่ต่างจากรูปปั้น กะพริบตาถี่มองเสี้ยวหน้าและปากอิ่มที่กำลังขมุบขมิบไม่หยุด
‘ข้าเผลอดุนางจริงหรือนี่’ ตั้งคำถามกับตนเอง ปกติเขาเป็นคนใจเย็นสุขุมรอบคอบ น้อยนักที่จะใส่อารมณ์กับผู้อื่น โดยเฉพาะผู้ใต้บังคับบัญชา ไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิง
แต่ถ้าเป็นสตรีที่หมายจะเข้าหามันก็จะเป็นอีกอย่าง
ตลอดการเดินทางหวังอวี้จึงได้แต่เงียบนิ่ง เพราะท่านหมอไม่ยอมหันกลับมาเผชิญหน้ากันเลย ทำให้เขารู้สึกอึดอัดอยู่ไม่น้อย แต่พอจะอ้าปากขอโทษมันกลับพูดไม่ออก ที่สำคัญเขาเป็นนาย การเอ่ยถ้อยคำนี่กับคนใต้บังคับบัญชาไม่มีนายคนไหนเขาทำกัน รวมถึงหวังอวี้โหวผู้นี้ด้วย
‘ช่างเถอะ อยากงอนก็งอนไป’ นึกในใจอย่างไม่แยแส ทว่าแม้จะคิดเช่นนั้น สายตาเขาก็ยังลอบมองนางอยู่บ่อยครั้ง เมื่อเห็นว่าท่านหมอคนงามนิ่งจนเกินไป
ความสงสัยทำให้เขาต้องขยับกายลุกขึ้นมามองว่าเกิดสิ่งใดขึ้น “หลับ?” พึมพำแผ่วเบา ก่อนจะกลับมานั่งตามเดิม และยังคอยเหลือบมองนางไม่ละสายตาหันไปทางอื่น
กระทั่งรถม้าเคลื่อนมาถึงทางแยก แรงเหวี่ยงก็ทำให้ร่างเล็กที่ยังหลับอยู่เอนตัวไปตามทิศทางจนผงะเกือบจะร่วงลงจากที่นั่ง ดีที่มีแขนแกร่งของหวังอวี้โอบรัดเอาไว้ได้ทัน ทำให้นางตกอยู่ในอ้อมกอดเขาอย่างไม่ตั้งใจ
“ขะ…ขออภัยเจ้าค่ะ” รีบยกมือขึ้นดันอกแกร่งทันที ฮุ่ยอันไม่แม้แต่จะเงยหน้าสบตาเขา อาการประหม่าเกิดขึ้นจนสื่อให้เห็นทางแก้มเนียนใส มันขึ้นสีแดงเรื่อน่ามองทีเดียว
เมื่อท่านโหวปล่อยนางให้เป็นอิสระ ฮุ่ยอันก็รีบขยับนั่งตามเดิม ก่อนจะเอ่ยกับเขาเสียงเบา “ขอบคุณท่านโหวเจ้าค่ะ” สิ้นคำก็รีบหันหนีออกไปทางอื่น ในใจรู้สึกกระดากอายอย่างไรไม่รู้ ต่างจากอีกคนที่กำลังเผยยิ้มชอบใจ
#ท่านโหวแปลก ๆ นะ