น่าเสียดายที่คอนโดของมณีเนตรไม่ได้ปล่อยให้เช่า ไม่อย่างนั้นพวกเธออาจจะได้พักที่เดียวกัน แต่การอยู่ห่างเพื่อนแบบนี้ก็จะทำให้เธอโตขึ้นและเรียนรู้การใช้ชีวิตตามลำพังมากขึ้นเช่นกัน
“ตกลงว่าเอาที่นี่เหรอพู่” มณีเนตรถามเมื่อเห็นว่าเพื่อนรักดูจะพอใจคอนโดนี้เป็นพิเศษ
“จ้ะ เอาที่นี่แหละ ค่าเช่าไม่แพงมาก ห้องก็กว้างแล้วก็แบ่งเป็นสัดส่วนแยกห้องรับแขก ห้องนอนกับห้องครัว แล้วที่พู่ชอบมากที่สุดก็คือสีโทนนี้”
“ดำสลับขาวเนี่ยนะ ไม่ดูดาร์กไปหน่อยเหรอ”
“ดาร์กอะไรกัน คลาสสิกดีออก ให้ความรู้สึกอบอุ่นดีด้วย”
ใช่...สีดำสลับขาวอาจดูไม่เข้ากับสาวสวยอย่างเธอ แต่เพราะมันเป็นสีเดียวกับห้องที่เธอเคยอยู่มาตลอดสามปี เธอก็เลยชินกับโทนสีนี้ไปเสียแล้ว
“โอเค ถ้าพู่ชอบงั้นก็ตามใจละกัน แล้วนี่จะทำสัญญาเลยมั้ย”
“จ้ะ เดี๋ยวเค้าจะลงไปเอาสัญญามาให้เซ็น ระหว่างนี้เราก็นั่งชอปของแต่งห้องแบบออนไลน์ไปก่อน ดูว่าต้องซื้ออะไรเพิ่มบ้าง”
ภูษิตาบอกด้วยน้ำเสียงร่าเริง เธอไม่ค่อยถนัดออกไปชอปปิงที่ห้างสรรพสินค้าเพราะเจษฎ์ไม่อยากให้เธอออกนอกห้องโดยไม่จำเป็น แต่ถ้าเป็นการชอปของออนไลน์เธอถนัดมากซึ่งเขาก็ไม่เคยว่าอะไรแค่บอกให้ระวังของปลอมเอาไว้ก็พอ
ส่วนพวกของแบรนด์เนมไม่ว่าจะเป็นกระเป๋า เสื้อผ้า รองเท้า หรือเครื่องประดับต่างๆ เขาจะให้เลขาฯ จัดส่งมาให้เธอทุกครั้งที่มีคอลเลกชันออกใหม่ แต่ทุกอย่างที่เขาซื้อให้เธอไม่ได้หยิบมันมาด้วยแม้แต่ชิ้นเดียว
ไม่รู้ว่าป่านนี้เขาจะรู้หรือยังว่าเธอไม่ได้อยู่ที่นั่นแล้ว หรือบางที...เขาเองก็ไม่อยากจะกลับไปหาเธอที่ห้องแล้วเหมือนกันก็ในเมื่อเขามีคนใหม่ที่เป็นคนสำคัญในระดับที่เขาจะแต่งงานอยู่ด้วย
แล้วเขาจะต้องมาสนใจของตายที่เขาเก็บเอาไว้ไม่ต่างจากเฟอร์นิเจอร์ชิ้นหนึ่งในห้องทำไมกัน
หลังจากทำสัญญาเช่าห้องเรียบร้อย พวกเธอก็พากันไปหาซื้อชุดเครื่องนอนและของอื่นๆ ที่จำเป็นต้องใช้มาไว้ในห้องก่อน ดีที่ห้องนี้มีเครื่องซักผ้า ตู้เย็น ไมโครเวฟและโทรทัศน์ให้เรียบร้อย เธอจึงไม่จำเป็นต้องสิ้นเปลืองจนเกินไป
อาคารสำนักงานใหญ่ ซี.บี.กรุป
เจษฎ์นั่งอ่านรายงานสรุปการประชุมของเมื่อวานอยู่ตามลำพังในห้องทำงานที่อยู่ชั้นบนสุดของตึกสูงใจกลางกรุงเทพมหานคร แม้เวลานี้คนอื่นๆ จะเลิกงานกันไปหมดแล้วก็ตาม
ติ๊ง...
เสียงข้อความจากแอปพลิเคชันหนึ่งดังขึ้น เขาจึงได้หยิบมาเปิดดูภาพและข้อความที่ถูกส่งมาจากใครคนหนึ่ง ก่อนจะตอบข้อความที่อีกฝ่ายถามมาเมื่อเข้าใจตรงกันแล้วเขาก็กดปิดหน้าจอพลางถอนหายใจเฮือกแล้วหลับตาลงทั้งยังพึมพำออกมา
“เด็กโง่”
“ว่าผมเหรอครับพี่ชาย” จิณณ์หย่อนสะโพกลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามแล้วถามยิ้มๆ
“เปล่า นายมีธุระอะไรกับพี่ล่ะ แล้วทำไมยังไม่กลับห้องอีก แฟนนายไม่รอกินข้าวหรือไง”
เจษฎ์ลืมตาขึ้นแล้วกอดอกขณะมองสบตาน้องชายของตน
“ดาวเค้าไปออกค่ายอาสาที่ประจวบฯ ครับ คงกลับมะรืนนี้มั้ง”
“อ้อ ช่วงนี้ก็เลยโสดงั้นสิ”
“ประมาณนั้นครับ”
“แล้วสรุปมีอะไรถึงมาหาพี่เวลานี้น่ะ”
“ผมก็แค่...อยากรู้ว่าพี่จะแต่งงานกับคุณสิจริงๆ เหรอครับ ในเมื่อพี่ก็มีพู่อยู่ทั้งคน” คำถามนั้นไม่ได้ทำให้เจษฎ์รู้สึกแปลกใจเพราะน้องชายรู้เรื่องของเขาและภูษิตาเป็นอย่างดี แต่จิณณ์ไม่เคยเข้ามาก้าวก่ายเท่านั้น
“ไม่มีแล้ว”
“หือ? ไม่มีอะไรครับ” จิณณ์มองคนที่นั่งตรงข้ามอย่างสงสัย
“ก็เด็กโง่นั่นนะ...ไปแล้ว”
“ไปแล้ว? ไปไหนครับ กลับบ้านที่ต่างจังหวัดเหรอ?”
“ไม่รู้สิ”
“อ้าว พี่พูดแบบนี้ผมยิ่งอยากรู้นะครับ หรือว่าทะเลาะกันเพราะเรื่องคุณสิ” ดูเหมือนว่าจิณณ์จะเดาถูกเพราะแววตาของพี่ชายดูเปลี่ยนไปทันทีเมื่อเขาถามขึ้น
“อืม”
“จริงเหรอครับพี่ แล้วพู่เค้ารู้ได้ยังไงครับ”
“เค้าเจอพี่กับคุณสิที่ไนต์คลับเมื่ออาทิตย์ก่อนน่ะ”
“เจอที่ไนต์คลับ? ปกติเด็กนั่นถูกพี่ขังไว้ในกรงทองไม่ใช่เหรอครับ ไหงไปเจอกันในที่แบบนั้นได้ล่ะ หรือว่าเธอแอบหนีเที่ยว”
“เธอคง...ไปฉลองวันเกิดกับเพื่อนมั้ง”
“ฉลองวันเกิด? นี่แปลว่าพี่กับเธอ...เลิกกันในวันเกิดของเธอเลยเหรอครับ”
“อย่าเรียกว่าเลิกเลย พี่กับเธอไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อย”
เขาค้านพลางหยิบเอกสารรายงานมาอ่านเหมือนว่าเรื่องที่พูดอยู่ไม่ได้สำคัญกับเขาแม้แต่นิดเดียว
“แต่เธออยู่กับพี่มาสามปีแล้วนะครับ พี่...ไม่รู้สึกอะไรกับเธอเลยเหรอ ไม่ได้...รักเธอเลยเหรอครับ”
เจษฎ์นิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะให้คำตอบเดียวกับที่เขาเคยให้ภูษิตา
“ไม่รู้สึก...ไม่ได้รัก แล้วนายก็ไม่ต้องพูดถึงเด็กนั่นแล้ว ถ้าไม่มีธุระอะไรสำคัญจะคุยกับพี่งั้นก็กลับไปกินข้าวเป็นเพื่อนปู่เถอะ”
จิณณ์มองเข้าไปในแววตาที่แน่วแน่ของพี่ชายก่อนจะเป็นฝ่ายถอนหายใจเสียเอง
“ถ้าพี่ไม่ได้รู้สึกจริงๆ ก็ดีครับ ผมแค่หวังว่าพี่จะไม่รู้สึกเสียดายกับบางสิ่งที่หายไปเท่านั้นเอง งั้นผมกลับก่อนนะครับ ตอนแรกว่าจะมาชวนพี่ไปดื่มด้วยกันหน่อย แต่ดูเหมือน...พี่จะงานยุ่ง”
จิณณ์บอกยิ้มๆ ก่อนจะก้าวออกไปจากห้องนั้น ปล่อยให้เจษฎ์นิ่งเงียบไปนานกับบางคำที่มันเหมือนจะกระแทกใจเขาอย่างแรง
เสียดายงั้นเหรอ?
ไม่ล่ะ คนอย่าง เจษฎ์ ชัยบดินทร์ จะไม่มีวันเสียดายของที่ทิ้งไปแล้วอย่างเด็ดขาด ในเมื่อภูษิตาเลือกที่จะไปจากเขาเอง ทั้งที่เขาก็ดูแลเธอเป็นอย่างดียิ่งกว่าเจ้าหญิงบนหอคอย เพราะฉะนั้นคนที่ต้องเสียดายและซมซานกลับมาก็ควรจะเป็นเธอสิ
ไม่ใช่เขาอย่างแน่นอน!