กริ๊ง...กริ๊ง...กริ๊ง...
เสียงโทรศัพท์มือถือเรียกสายตาของเขาให้ละจากเอกสารตรงหน้าได้อีกครั้ง และเมื่อเขาหันไปมองก็เห็นว่าเป็นเบอร์ของเพื่อนสนิทคนหนึ่ง
(“ไงผู้กอง มีอะไรคืบหน้าหรือยังล่ะถึงได้โทรมา”)
(“มีว่ะ แต่คงคุยทางโทรศัพท์ไม่สะดวก มึงว่างมั้ยไปเจอกันที่เดิมหน่อยสิ”)
(“อืม งั้นอีกครึ่งชั่วโมงเจอกัน”)
เจษฎ์บอกขณะปิดแฟ้มเอกสารทั้งหมดลงแล้วหันไปปิดหน้าจอคอมพิวเตอร์
(“โอเค”)
อีกฝ่ายกดวางสายแล้ว เจษฎ์จึงได้หันไปหยิบกุญแจรถและกระเป๋าเงิน ก่อนจะก้าวออกไปจากห้อง แต่ยังเดินไปไม่ถึงลิฟต์ของผู้บริหารก็มีสายเรียกเข้าอีกครั้ง และคราวนี้ก็ไม่ใช่เบอร์เดิม
(“ครับสิ”)
(“พี่เจษฎ์เลิกงานหรือยังคะ สิอยากจะชวนไปดินเนอร์ด้วยกันค่ะ”)
(“ขอโทษด้วยนะครับ พอดีวันนี้พี่มีนัดกับเพื่อนแล้วน่ะ เอาไว้โอกาสหน้านะครับ”)
(“เพื่อนแน่เหรอคะ ไม่ใช่ว่า...เป็นเด็กคนนั้นเหรอ”)
(“สิก็เห็นแล้วนี่ครับว่าพี่กับเค้าจบกันแล้ว อย่าคิดมากเลยนะ เอาไว้ไปเจอเพื่อนแล้วพี่จะถ่ายรูปมาให้ดูดีมั้ย สิจะได้สบายใจไงว่าพี่อยู่กับเพื่อนจริงๆ”)
(“ได้ก็ดีเลยค่ะ งั้นสิจะรอนะคะ อย่าลืมถ่ายมาล่ะ”)
(“ครับ งั้นแค่นี้นะพี่อยู่ในลิฟต์น่ะอีกเดี๋ยวสัญญาณก็คงตัดแล้ว”)
(“ค่ะ ถ้าอย่างนั้น...”)
เขากดวางสายแล้วปิดเครื่องก่อนจะก้าวเข้าไปในลิฟต์นั้นโดยไม่คิดจะรอฟังว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไรต่อ
เจษฎ์ใช้เวลาขับรถจากบริษัทมาถึงร้านอาหารริมแม่น้ำแห่งหนึ่งราวครึ่งชั่วโมงตามที่บอกเพื่อนไป
“ตรงเวลาตลอดเลยนะมึงน่ะ”
ร้อยตำรวจเอก ฤทธิชัย หรือ ผู้กองฤทธิ์ เอ่ยทักทายเพื่อนสนิทของตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม
“มึงก็รู้ว่าเวลาของกูเป็นเงินเป็นทอง แล้วสรุปมีอะไรคืบหน้าบ้างล่ะ” เจษฎ์ถามขึ้นทันทีขณะทรุดตัวลงนั่งที่เก้าอี้อีกฝั่ง
“นี่ของมึง ห้าภาพกับสองคลิปล่าสุด ดูเอาเองละกัน”
ผู้กองหนุ่มหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาปลดล็อกหน้าจอ ก่อนจะเลื่อนไปที่โปรแกรมรูปภาพและยื่นให้เพื่อนรักของเขาได้ดู ซึ่งเจษฎ์ก็เลื่อนดูทั้งภาพนิ่งและคลิปทั้งหมดจนครบก่อนที่สันกรามของเขาจะขบกันแน่น
“แปลว่าเรามาถูกทางแล้วสินะ”
เจษฎ์ส่งคืนโทรศัพท์ให้กับเพื่อนโดยไม่คิดจะส่งต่อข้อมูลเข้าเครื่องของตัวเองเพราะมันเสี่ยงเกินไป
“ใช่ ข้อสันนิษฐานของมึงถูกต้องทุกอย่าง หางของมันค่อยๆ โผล่ออกมาแล้วเพราะฉะนั้นตอนนี้มึงต้องอดทนกับสิ่งที่ทำอยู่ไปก่อน ไม่อย่างนั้นทุกอย่างที่เราเริ่มกันมาอาจจะต้องพังพินาศกันหมด”
“แล้วกูต้องทนไปอีกนานแค่ไหนวะ มึงก็รู้ว่ากูไม่ชอบทำอะไรฝืนใจตัวเอง” เขาบอกอย่างเหนื่อยใจ แต่ก็รู้ดีว่าเรื่องนี้มันสำคัญเกินกว่าที่เขาจะหยุดในตอนนี้ได้
“ขอโทษนะเพื่อนที่กูยังตอบมึงไม่ได้ แต่กูจะพยายามทำให้ทุกอย่างมันจบโดยเร็วที่สุด กูสัญญา”
“อืม งั้นก็ฝากมึงด้วยละกัน กูเองก็จะพยายามในส่วนของกูเหมือนกัน”
“แล้วนี่ว่าที่คู่หมั้นของมึงไปไหนล่ะ ถึงได้ปล่อยมึงมาได้น่ะ ได้ยินว่าเค้าเกาะมึงหนึบเลยไม่ใช่เหรอ ตั้งแต่ปู่มึงไปทาบทามให้เมื่อเดือนก่อนน่ะ”
“เค้าก็โทรมาชวนไปกินข้าวนั่นแหละ แต่กูบอกว่ามีนัดกับเพื่อนแล้ว นี่ก็บอกไปเหมือนกันว่าจะถ่ายรูปมึงส่งไปให้เค้าดู”
“เฮ้ย มึงจะถ่ายรูปกูจริงดิ งั้นกูขอทาแป้งให้หน้าขาวๆ หน่อยได้มั้ยวะ” ผู้กองหนุ่มบอกอย่างอารมณ์ดีขณะยกเบียร์ขึ้นจิบ
“ไม่ถ่ายหรอก กูปิดเครื่องแล้ว”
“อ้าว แบบนี้เค้าไม่เต้นเป็นเจ้าเข้าเลยเหรอวะ ไหนมึงเคยเล่าว่าคนนี้ขี้หึงมากไม่ใช่เหรอ”
“เออ คนนี้โคตรจะขี้หึงจนกูชักจะรำคาญแล้วเนี่ย ไม่เห็นเหมือนกับ...”
อยู่ดีๆ เจษฎ์ก็นึกไปถึงใครคนหนึ่งที่น่ารักและช่างเอาใจแถมยังเชื่อฟังเขาเสมอ ไม่เคยโทรตาม ไม่เคยถามว่าเขาอยู่ไหน เธอแค่รอให้เขากลับไปหา และถามเขาว่าเหนื่อยไหม จากนั้นก็หาน้ำเย็นๆ และหาขนมอร่อยๆ มาให้เขากินเสมอ ก่อนจะยอมให้เขากินเธอจนอิ่มหนำตลอดคืน
เห็นจะมีแต่คืนนั้นแหละที่เธอดื้อกับเขาเหลือเกิน ไม่ยอมกลับไปรอเขาที่ห้องแถมยังกล้ามาบอกให้เขาเลือกอีก มันน่าจับกลับมาตีก้นซะจริงๆ
“เหมือนใครวะ เด็กมึงที่กูเคยเจอเมื่อปีก่อนน่ะเหรอ ยังคบกันอยู่มั้ยล่ะ หรือโละทิ้งหมดแล้ว”
“กูไม่ได้โละ แต่...ช่างเถอะเค้าไปตอนนี้ก็ดีเหมือนกัน”
“เฮ้ย! นี่มึงอย่าบอกนะว่ามึงโดนเด็กคนนั้นทิ้ง”
“หึ! คนอย่างกูเหรอจะโดนทิ้ง มึงอย่าพูดเรื่องนี้เลย พูดแล้วหงุดหงิดเปล่าๆ” แล้วเจษฎ์ก็เรียกพนักงานเสิร์ฟมาสั่งเครื่องดื่มและกับแกล้ม จากนั้นสองหนุ่มก็คุยกันเรื่องอื่นไปเรื่อยๆ จนกระทั่งสี่ทุ่มก็แยกย้ายกันกลับ และสาบานได้เลยว่าเขาไม่ได้คิดจะกลับมาที่ห้องนี้เลย แต่ไม่รู้ทำไมถึงยังต้องมา
มาทั้งที่รู้ว่าจะไม่มีใครรอเขาอยู่ที่นี่แล้ว...
ไม่มีอีกแล้ว...