และในตอนนั้นเอง รถเมล์ประจำทางที่พวกเธอนั่งไปทำงานทุกวัน ก็ขับเข้ามาจอดบริเวณเทียบท่าฟุตพาทพอดี เวียงพิงค์กับนิดหน่อยก็รีบเดินตามกันขึ้นไปนั่งบนรถทันที ซึ่งพอเธอขึ้นมาข้างบนเรียบร้อยแล้วก็มองซ้ายมองขวา เพราะไม่รู้ว่าตัวเองจะนั่งตรงไหนดี เนื่องจากที่ประจำของตัวเองมีคนนั่งแล้ว
"มานั่งข้างพี่ค่ะ"
"ค่ะ" หญิงสาวพยักหน้าตอบ แล้วรีบเดินไปนั่งลงด้านข้างของรุ่นพี่สาว
"กินข้าวยัง" คนด้านข้างเอ่ยถามเธอ พร้อมกับแกะกล่องข้าวเพื่อจะกิน
"เรียบร้อยแล้วค่ะ"
"งั้นพี่ขอกินก่อนนะ ว่าจะกินตั้งแต่อยู่ห้องแล้ว แต่กินไม่ทัน"
"ตามสบายเลยค่ะ" เธอตอบอีกฝ่ายไป
"แล้วนี่เปิดเทอมวันไหนนะ"
"พรุ่งนี้แล้วค่ะ"
"เปิดเทอมพรุ่งนี้ แต่วันนี้ก็ยังทำงานดึกเนี่ยนะ"
"ก็ค่ะ ให้ทำไงได้ล่ะ ถ้าไม่ทำงานก็ไม่มีเงินไว้ใช้จ่าย"
"อ้าว แล้วอาเราที่เคยพูดให้พี่ฟังว่า ส่งให้ทุกเดือน เขาไม่ส่งแล้วเหรอ"
"ก็ส่งตามปกติค่ะ แต่ส่วนนั้นพิงค์เอาไว้จ่ายค่าห้อง ค่าน้ำค่าไฟ แล้วส่วนที่ทำงานเพิ่ม ก็อยากเก็บเอาไว้เผื่อมีเหตุจำเป็นต้องใช้ แล้วอีกอย่างปีหน้าน่านฟ้าก็จะเข้าโรงเรียนแล้ว พิงค์อยากให้เขาเข้าโรงเรียนดี ๆ เลยอยากจะทำงานเก็บเงินเอาไว้เยอะ ๆ ค่ะ" คุณอาที่พี่นิดหน่อยพูดถึง ก็คืออา 'ณวัฒน์' ซึ่งท่านเป็นน้องชายของพ่อเธอ
โดยหลังจากที่เธอกับแม่ตัดสินใจย้ายกลับไปอยู่ที่น่าน ก็ได้คุณอารับเราสองแม่ลูกไปพักอยู่ที่บ้านของท่านมาตลอด
และพอแม่ของเธอเสียไป เวียงพิงค์ก็ตัดสินใจว่าจะกลับมาเรียนต่อที่กรุงเทพ เพราะเธอไม่อยากทนอยู่ที่นั่น เนื่องจากว่าภรรยาของอาณวัฒน์นั้น ท่านไม่ค่อยชอบเธอมากเท่าไหร่ เวลาอยู่ตามลำพังจะชอบจิกกัดอยู่ตลอด
หญิงสาวจึงตัดสินใจขออนุญาตคุณอาตัวเองเพื่อมาเรียนต่อ เพราะเป็นข้ออ้างเดียวที่คุณอาของเธอจะอนุญาตให้ออกมาอยู่ตามลำพังได้
ซึ่งพอท่านได้รับรู้ว่าเธอจะมาเรียนต่อ ก็บอกว่าจะเป็นคนส่งเสียทุกอย่าง โดยครั้งแรกภรรยาของท่านไม่เห็นด้วย แต่ก็ทำอะไรไม่ได้มาก ส่วนเธอจะปฏิเสธเพราะรู้สึกเกรงใจ แต่คุณอาก็ไม่ฟังอยู่ดี เพราะท่านบอกว่า เธอเป็นลูกสาวของพี่ชาย ก็เหมือนลูกสาวของท่านเหมือนกัน
"ทำงานก็ต้องดูร่างกายตัวเองด้วย อย่าฝืนล่ะเดี๋ยวจะไม่ไหวเอา ถ้าเป็นแบบนั้นแย่เลยนะ"
"ค่ะ ขอบคุณที่เป็นห่วงนะคะพี่นิด"
"จะไม่ให้เป็นห่วงได้ยังไงล่ะ เราสองคนก็รู้จักกันมาหลายเดือนแล้ว พี่รักและเอ็นดูพิงค์เหมือนน้องสาวแท้ ๆ ของตัวเองเลยนะ" นิดหน่อยทั้งพูดทั้งยิ้มให้กับเธอ พร้อมกับนั่งกินข้าวของตัวเองไป ส่วนเธอที่นั่งฟังอยู่ก็รู้สึกตื้นตันเอามาก ๆ
หลังจากนั่งรถประจำทางมาเกือบหนึ่งชั่วโมง รถที่เธอนั่งอยู่ก็มาจอดบริเวณโซนด้านหน้าของผับพอดี หญิงสาวจึงรีบเดินลงจากรถโดยที่มีนิดหน่อยเดินตามมาติด ๆ
"เข้าไปก่อนเลยนะ เดี๋ยวพี่ขอไปเข้าห้องน้ำด้านหลังผับก่อน"
"ค่ะ" เธอพยักหน้าตอบอีกฝ่าย แล้วรีบเดินเข้ามาในผับ ที่ตอนนี้มีพนักงานทำความสะอาดกำลังทำความสะอาดกันอย่างขะมักเขม้น
"น้องเวียงพิงค์คนสวย" ผู้จัดการร้านหนุ่มอย่าง 'ธันวา' ก็เอ่ยทักทายเธอด้วยน้ำเสียงหยาดเยิ้ม อย่างที่เขาชอบพูดอ่อยพนักงานสาว
"สวัสดีค่ะพี่ธันวา เมาตั้งแต่หัววันเลยนะคะ" เธอเอ่ยแซวคนตรงหน้าไป เพราะนี่เพิ่งจะหกโมงเย็นเอง แต่อีกฝ่ายกลับเมามายอีกแล้ว
"นิดหน่อยครับคนสวย พอดีพี่เพิ่งดื่มกับเฮียปรัชญ์มาครับ"
เฮียปรัชญ์ที่พี่ธันวาพูดถึง ก็คือเจ้าของผับที่เธอทำงานอยู่
"ค่ะ งั้นพิงค์ขอเอาของไปเก็บก่อนนะ"
"ครับคนสวย"
พอพี่ผู้จัดการร้านพูดแบบนั้น เธอก็รีบเดินผ่านมายังโซนด้านหลัง ที่เป็นห้องพักของพนักงาน
โดยพอเดินเข้ามาถึงโซนด้านในแล้ว ก็พบเข้ากับรุ่นพี่หนุ่มสาวหลายคนที่กำลังนั่งทานข้าวอยู่ เธอจึงรีบยกมือไหว้คนอายุมากกว่า
"สวัสดีค่ะพี่ ๆ"
"อ้าวน้องพิงค์ กินข้าวมาหรือยังเนี่ย มากินกับพวกพี่มา"
"พิงค์กินมาเรียบร้อยแล้วค่ะ" เธอตอบไปทั้งที่กำลังเก็บกระเป๋าใส่เก๊ะ
ซึ่งพอเก็บของเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ไปนั่งลงพูดคุยเมาท์มอยกับพวกรุ่นพี่ที่กำลังนั่งคุยกันอยู่
และในระหว่างนั้นเองนิดหน่อยก็เดินเข้ามาพร้อมกับเอาของไปเก็บ แล้วเดินมานั่งรวมกลุ่มกับพวกเธอเหมือนกัน
"กินข้าวหรือยังนิดหน่อย"
"เรียบร้อยแล้วค่ะพี่ 'นุ่น' ฉันเพิ่งไปล้างกล่องข้าวมาเมื่อกี้นี้เอง" นิดหน่อยยกกล่องข้าวที่เพิ่งล้างเสร็จโชว์ แล้วเดินเอาไปเก็บไว้บริเวณที่ล้าง
"แล้วนี่ทำไมได้มาแทนยัยส้มโอได้ล่ะ"
"ทำไมรู้ว่าฉันมาแทนส้มโอ"
"พี่ธันวาบอกน่ะสิ"
"ก็ยัยส้มโอบอกว่าจะไปทำธุระ แล้วขอร้องให้ฉันมาทำแทนหน่อย ฉันก็เลยมาทำ เพราะหยุดอยู่ห้องก็ไม่ได้ทำอะไรอยู่แล้ว"
"ขยันจริง ๆ เลยแม่สาวน้อย"
"ต้องขยันค่ะ ปีหน้าหนูก็จะแต่งงานแล้ว"
"ทำงานเก็บเงินแต่งอยู่ฝ่ายเดียวไม่เหนื่อยบ้างเหรอ"
"ก็เหนื่อยค่ะ แต่ให้ทำยังไงได้ล่ะ ต้นเขาก็มีภาระของเขาเหมือนกัน"
"แต่มันก็ไม่ถูกนะ อย่างน้อยถ้าเก็บเงินแต่งงานกันก็ต้องช่วยกันเก็บ แต่นี่อะไร พี่เห็นแกเก็บอยู่ฝ่ายเดียว ส่วนแฟนแกก็เก็บเงินเอาไปแต่งรถอย่างเดียวเลย แกแน่ใจแล้วใช่ไหม ว่าจะฝากอนาคตกับผู้ชายคนนี้จริง ๆ"
"....."
"พี่พูดเพราะเป็นห่วงนะ อยากให้แกตัดสินใจดี ๆ"
"ขอบคุณที่เป็นห่วงค่ะพี่นุ่น แต่นิดไหวจริง ๆ ค่ะ"
"โอเค ถ้าคิดว่าตัวเองไหวก็ไม่ต้องคิดมาก"
เวียงพิงค์ที่ไม่ได้พูดอะไรเอาแต่เงียบนั่งฟังรุ่นพี่ทั้งสองที่กำลังคุยกัน โดยที่นั่งฟังอยู่นั้น มีบางครั้งก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่นด้วย เพราะเหลือเวลาอีกประมาณสิบห้านาทีกว่า ถึงจะถึงเวลาที่ต้องเข้างาน