หัวใจดวงน้อย ๆ ของหญิงสาวเต้นเร็วอย่างไม่เป็นจังหวะ เธอไม่กล้าหวังมากเกินไป แต่ก็อดไม่ได้ที่จะหวังเช่นกันเพราะจำนวนเงินที่อยู่ในเช็กแผ่นนี้ก็ไม่ใช่น้อย ๆ
ในขณะที่ญาดากำลังเงยหน้าขึ้น สายตาของเธอเหลือบไปเห็นรถเมล์กำลังเคลื่อนผ่านหน้าธนาคารแห่งหนึ่งพอดี มือบางรีบเอื้อมมือไปกดกริ่งเสียงดัง
ทันทีที่รถเมล์ชะลอจอด ร่างบางลุกขึ้นคว้ากระเป๋าแล้วเดินลงจากรถทันที
หญิงสาวก้าวเท้าเข้าไปในธนาคารอย่างไม่ลังเล พนักงานธนาคารหน้าเคาน์เตอร์เงยหน้าขึ้นพร้อมรอยยิ้มต้อนรับอย่างสุภาพ
“สวัสดีค่ะ คุณลูกค้าต้องการทำรายการอะไรคะ”
ญาดาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยื่นเช็กในมือให้พนักงานธนาคารดู
“ขอแลกเป็นเงินสดค่ะ...”
พนักงานธนาคารรับเช็กไปตรวจสอบ พิมพ์ข้อมูลลงในระบบ ใช้เวลาไม่นานนัก ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งพร้อมรอยยิ้มกว้าง
“ขออนุญาตนับเงินสดให้นะคะ รอสักครู่ค่ะ”
“เอ่อ… คือ ใช้ได้จริงเหรอคะ” นักศึกษาสาวแทบไม่เชื่อหูตัวเองว่าชีวิตนี้จะได้จับเงินถึงสองแสนบาท
สำหรับใครหลายคนอาจจะเป็นเพียงเศษเงิน แต่สำหรับเธอนั้น เงินจำนวนนี้มีค่ามากพอที่จะช่วยแบ่งภาระค่าใช้จ่ายได้ทั้งปี
“ค่ะ เช็กใบนี้มีเงินอยู่เต็มจำนวนค่ะ”
เมื่อได้ยินดังนั้นก็ทำให้ญาดายืนตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่ริมฝีปากอวบอิ่มจะเผยรอยยิ้มบนใบหน้าสวย ทั้งโล่งใจและตกใจในเวลาเดียวกันเพราะมาเฟียคนนั้นเขาไม่ได้หลอกเธอ แต่ซื้อตัวเธอให้นอนกับเขาจริง ๆ
ในขณะที่กำลังเดินออกจากธนาคาร ญาดาคิดเอาไว้แล้วว่าจะเอาเงินส่วนหนึ่งไปให้พ่อเพื่อจ่ายค่าหนี้นอกระบบ และค่าเทอมสุดท้ายของมหาวิทยาลัย
อย่างน้อยการเสียความบริสุทธิ์ให้กับมาเฟียคนนั้นก็ไม่ได้เสียเปล่า แต่ขอเถอะอย่ามาเจอกันอีกเลยเพราะเธอเองก็ไม่อยากข้องเกี่ยวกับบุคคลที่ดูอันตรายสักเท่าไร
เสียงประตูเหล็กบานพับดังเอี๊ยดเมื่อญาดาผลักเข้ามาในบ้านหลังเก่าที่ผนังแตกร้าวและฝุ่นจับแน่น ยังไม่ทันที่จะก้าวเท้าเข้ามาในตัวบ้านก็สัมผัสได้ถึงความผิดปกติ
ชายฉกรรจ์สามสี่คนกำลังรื้อค้นข้าวของอย่างไม่เกรงใจเจ้าของบ้าน เสียงโครมครามของลิ้นชักที่ถูกกระชาก กองเสื้อผ้ากระจัดกระจายทั่วพื้น และที่สำคัญ ‘วิทูร’ พ่อของญาดาถูกจับกดนั่งลงกับพื้น
“หยุดเดี๋ยวนี้!” ญาดาตะโกนลั่นบ้าน
ชายวัยกลางคนในชุดเสื้อฮาวายสีฉูดฉาดซึ่งดูเหมือนจะเป็นหัวหน้ากลุ่มเจ้าหนี้ หันขวับมามองเธอด้วยแววตาเย็นเยียบ
ก็แค่นักศึกษาธรรดาจะไปมีปัญญาทำอะไรพวกเขาได้
“อยากให้หยุดเหรอจ๊ะคนสวย ง่ายมาก” เขาว่าพลางยิ้มเหยียด “เอาเงินมาดิ สองแสนบาท! จ่ายมาให้ครบทุกบาททุกสตางค์นะเว้ย”
เจ้าหนี้นอกระบบก้าวเข้ามาใกล้ ลมหายใจคลุ้งกลิ่นบุหรี่เป่ารดหน้าหญิงสาวที่ยืนมองภาพตรงหน้าด้วยความระอา
“ไอ้วิทูรพ่อมึงน่ะ มันค้างจ่ายหนี้กูมาตั้งสามเดือนแล้ว กูไม่ใช่นักบุญที่ให้ใครยืมเงินฟรี ๆ หรอกโว้ย!”
ญาดาเบือนหน้าหนีพลางหันไปมองพ่อของเธอที่นั่งหน้าจ๋อย ไม่กล้าแม้แต่สบตาลูกสาวตัวเองด้วยซ้ำ
“พ่อ…” ญาดาเรียกเสียงเบา
“ญาดาแกมีเงินเท่าไรก็ให้มันไปก่อนเถอะ”
“อะไรของพ่อเนี่ย”
“ไม่ต้องถามมาก จ่ายมันไปเร็ว ๆ แกอยากเห็นฉันถูกกระทืบตายหรือไง”
หญิงสาวเม้มริมฝีปากแน่นทั้งโกรธทั้งสงสารที่พ่อถูกทำร้าย กี่ครั้งแล้วที่เขาสร้างหนี้ให้เธอต้องคอยตามล้างตามเช็ดไม่หยุดหย่อน
“หนูจะช่วยพ่อครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายนะ” เธอพูดย้ำอย่างชัดถ้อยชัดคำ ดวงตาสั่นระริกแต่เด็ดขาด “ถ้าพ่อยังไปยืมเงินใครอีก คราวนี้หนูจะไม่ช่วยพ่ออีกแล้ว”
จากนั้นญาดาก็เปิดกระเป๋าผ้าของเธอ หยิบซองใส่เงินสดออกมาด้วยความเสียดายก่อนจะตัดสินใจยื่นให้เจ้าหนี้นอกระบบ ชายคนนั้นเรียกลูกน้องหนึ่งคนมานับเงิน
“ครบครับลูกพี่”
“ไปได้!”
จากนั้นเจ้าหนี้นอกระบบก็สั่งให้ลูกน้องหยุดรื้อค้นข้าวของในบ้านสัปปะรังเค
และพากันเดินออกจากบ้านราวกับพายุที่เพิ่งพัดผ่านไป ทิ้งไว้เพียงซากข้าวของกระจัดกระจาย วิทูรลุกขึ้นปัดฝุ่นจากเสื้อทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“เรื่องหนี้สินก็เคลียร์จบแล้ว ฉันไปทำงานก่อนก็แล้วกัน”
วิทูรพูดราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ญาดาได้แต่คิดว่าเขาเป็นพ่อแบบใดถึงได้สร้างเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจให้ลูกตัวเองได้ตลอดเวลา
“พ่อจะทำงานที่ไหน จะไปเล่นพนันอีกใช่ไหม หนูไม่ให้ไป!” ญาดายืนเท้าสะเอวขวางหน้าวิทูรไม่ให้ออกจากบ้านซึ่งเขาก็ปฏิเสธอีกตามเคย
“เปล่าสักหน่อย! ฉันจะไปขับแท็กซี่หาเงินมาคืนแกเนี่ย”
“ขอให้จริงเถ๊อะ” ญาดาพูดด้วยน้ำเสียงประชดประชัน ดวงตายังจับจ้องพ่อไม่วางตา “หนูจะพูดเป็นครั้งสุดท้ายนะถ้าพ่อกลับไปเล่นพนันอีก หนูจะไม่ช่วยอีก!”
“เออ ๆ ๆ รู้แล้วน่า ไอ้ลูกคนนี้พูดมากน่ารำคาญจริงเว้ย!” วิทูรบ่นพึมพำก่อนจะหยิบกุญแจรถแท็กซี่คันเก่าขึ้นเดินออกจากบ้านไปอย่างรีบเร่ง
เสียงประตูบ้านปิดลงพร้อมกับเสียงสตาร์ทเครื่องยนต์ดังลั่น
ญาดายืนเคว้งอยู่กลางบ้าน ก่อนจะนั่งลงข้างกองเสื้อผ้าที่หล่นกระจัดกระจายพลางหยิบซองเปล่าที่เคยใส่เงินขึ้นมา
“หมดกัน เงินสองแสนที่ตั้งใจจะแบ่งไว้เป็นค่าเทอมเทอมสุดท้ายสักหน่อย” พูดจบหญิงสาวแล้วก็ทอดถอนใจพลางคิดในใจว่าคงต้องทำงานหนักกว่านี้ ไม่อย่างนั้นคงถูกไล่ออกจากมหาวิทยาลัยเพราะไม่มีเงินจ่ายค่าเทอมอย่างแน่นอน