ภายในคฤหาสน์หรูย่านใจกลางเมืองกรุงเทพมหานคร
'เหมันต์' มาเฟียหนุ่มลูกครึ่งไทยฮ่องกงนั่งทอดกายลงบนโซฟาหนังสีดำตัวใหญ่ในห้องทำงานส่วนตัว เขาวางขาข้างหนึ่งพาดทับอีกข้างเพื่อผ่อนคลาย ฝ่ามือหนาหยิบแฟ้มเอกสารที่วางอยู่บนโต๊ะกระจกขึ้นมาเปิดดู
ภายในแฟ้มเต็มไปด้วยรายงานผลประกอบการของธุรกิจต่าง ๆ ที่เขาถือหุ้นอยู่ โดยเฉพาะธุรกิจหลักอย่างคาสิโนชื่อดังในฮ่องกง ธุรกิจค้าอาวุธปืนหรือธุรกิจใต้ดินที่ไม่อาจเปิดเผยต่อสาธารณะได้
“ผลประกอบการคาสิโนเดือนนี้ถือว่าเป็นไปด้วยดีครับ” โจ บอดี้การ์ดคนสนิทที่ยืนอยู่ไม่ห่างรายงานผลให้เจ้านายตัวเองได้รับรู้ “รวมถึงการค้าขายอาวุธล็อตล่าสุดที่ทำกำไรเกินเป้าไปสิบห้าเปอร์เซ็นต์ครับ”
เหมันต์เหลือบตามองแฟ้มในมือแล้วพยักหน้าอย่างพึงพอใจ ริมฝีปากหยักขึ้นเป็นรอยยิ้ม
“ป่านนี้ไอ้พี่ชายที่ไม่เอาไหนของกู คงโดนป๊าด่าแล้วมั้ง” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน ก่อนจะปิดแฟ้มลง “ได้ข่าวว่าธุรกิจคาสิโนกับโรงแรมที่มันดูแลขาดทุนยับเยินแทบทุกเดือน”
“ผมก็คิดเช่นนั้นครับ คุณเคนไม่มีหัวเรื่องการบริหารเหมือนคุณเหมันต์ นายใหญ่ควรจะให้ไปทำงานอื่นที่เหมาะกว่าธุรกิจ”
“ช่างแม่งเหอะ ปล่อยให้แม่งดันทุรังบริหารต่อไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวก็รู้ซึ้งกันเอง”
“ผมเห็นด้วยครับคุณเหมันต์”
“ว่าแต่ไอ้พวกที่มาเล่นพนันแล้วติดหนี้เรา ตามเก็บได้ครบทุกคนหรือยัง”
“บางส่วนครับ” โจตอบทันที “แต่ตอนนี้มีอยู่คนหนึ่งค้างหนี้เราห้าล้านบาท”
“มันเป็นนักธุรกิจหรือเปล่า” มาเฟียหนุ่มลูกครึ่งชะงักเล็กน้อย เขาเคยกำชับพวกลูกน้องแล้วว่าอย่าให้คนที่ไม่ใช่นักธุรกิจหรือพวกไม่มีเครดิตยืมเงินถึงเจ็ดหลักเพราะโอกาสการไม่ได้เงินคืนนั้นมีสูงมาก
“เปล่าครับ มันไม่ใช่นักธุรกิจ” โจส่ายหน้า “มันชื่อวิทูร ดูเหมือนจะเป็นแค่คนหาเช้ากินค่ำ ก่อนหน้านี้มันเอาทองแท่งมาค้ำไว้ ผู้จัดการคาสิโนเห็นว่าไม่น่าเสียหายก็เลยให้มันกู้เงินไป อีกเรื่องได้ยินมาว่าไอ้วิทูรมันยังไปยืมเงินพี่ชายคุณอีกนะครับ ถ้ามันไม่มีเงินมาคืน ผมว่าคุณเคนเอามันตายแน่”
“ก็ไปทวงมันก่อนที่ไอ้เคนจะมาเอาตัวมันไปสิ สภาพอย่างมันจะหาเงินที่ไหนมาจ่ายคืนให้กูกับพี่ชายกูให้ครบ!”
“ได้ครับนาย”
“อีกเรื่อง ถ้ามันหาข้ออ้างไม่ยอมจ่ายมึงก็ไปลากคอมันมาให้กู”
“ครับคุณเหมันต์”
หนึ่งเดือนต่อมา
ค่ำคืนนี้ญาดายังคงทำงานเป็นบาร์เทนเดอร์เช่นเคย โชคดีที่เธอมีฝีมือพอตัวทำให้ลูกค้าหลายคนชื่นชอบที่เธอชงเหล้าเก่ง แถมยังพูดจาน่ารักจึงได้ทิปพอประมาณ เงินพวกนั้นจึงกลายมาเป็นค่าเทอมสำหรับภาคเรียนสุดท้ายที่เธอกำลังใกล้จะเรียนจบ
@มหาวิทยาลัย
หลังจากเรียนคลาสใหญ่เสร็จในช่วงกลางวัน ญาดารู้สึกเวียนหัว เธอรีบลุกจากเก้าอี้เดินไปยังห้องน้ำ และอาเจียนไม่หยุด
‘คติยา’ เพื่อนสนิทเพียงคนเดียวในคณะรีบวิ่งตามมาพร้อมนำน้ำเย็นหนึ่งขวดมาให้
“ญาดา แกโอเคไหม”
“ฉันโอเค สงสัยช่วงนี้ทำงานหนักไปหน่อย” ญาดารับน้ำมาแล้วพยักหน้าขอบคุณเพื่อนสนิท ทว่าคติยาขมวดคิ้วมุ่นเพราะรู้สึกว่าไม่น่าใช่แค่เรื่องพักผ่อนน้อย มันน่าจะมีอะไรมากกว่านั้น
“ญาดา ฉันสังเกตมาหลายวันแล้วนะ พักนี้แกดูเหนื่อยผิดปกติ เวียนหัวแล้วอาเจียนบ่อยด้วย”
“เรียนไปด้วยทำงานไปด้วยก็อย่างนี้แหละแก”
“ฉันพูดตามตรงนะอาการแกเหมือนคนท้อง ถามหน่อยสิประจำเดือนล่าสุดมาหรือยัง”
คำถามนั้นทำให้ญาดานิ่งงันไปชั่วขณะ ความคิดทั้งหมดหยุดชะงัก นี่ก็ผ่านมาเดือนกว่าแล้วรอบเดือนล่าสุดยังไม่มาเลย
ตลอดเวลาที่ผ่านมา เธอไม่เคยเอะใจเลยสักนิด เพราะเธอไม่ได้มีอะไรกับผู้ชายคนไหน ยกเว้นแต่เพียงครั้งนั้นกับมาเฟียหนุ่มที่ชื่อ 'เหมันต์' แล้วก็ไม่ได้เจอเขาอีกเลย
จู่ ๆ ความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในหัวเพราะวันนั้นเธอดันลืมกินยาคุม
“...อาจเป็นเพราะความเครียดมากกว่ามั้ง” ญาดาพยายามปลอบใจตัวเองว่าคงไม่โชคร้ายขนาดนั้น
“เอาอย่างนี้เพื่อความสบายใจ แกต้องไปซื้อที่ตรวจครรภ์ จะได้รู้กันไปเลยว่าแกท้องหรือแค่ไม่สบายกันแน่”
ถึงแม้จะลังเลอยู่พักใหญ่ แต่ญาดาก็พยักหน้ายอมทำตามที่เพื่อนสนิทบอก ไม่อย่างนั้นคติยาได้มาถามเธอเช้าสายบ่ายเย็นอีกแน่นอน ที่สำคัญญาดาเชื่อมั่นว่าตัวเองไม่มีทางท้องแน่นอน
ทว่าหลังจากที่ผลตรวจจากที่ตรวจครรภ์ปรากฏ
ขีดสีแดงขึ้นมาสองขีดอย่างชัดเจน
ญาดาถึงกับทรุดลงนั่งบนเก้าอี้หินหน้าตึกเรียน ทั้งสองคนมองหน้ากันด้วยความตกตะลึง
“ญาดา...” คติยาเอ่ยเสียงเบา “ใครเป็นพ่อเด็กวะแก”
“มะ...มาเฟีย”
“มาเฟียไหน?”
“อันที่จริง...ฉันเคยวันไนท์กับมาเฟียคนหนึ่ง แล้วก็ไม่ได้เจอกันอีกเลย” หญิงสาวก้มหน้าถอนหายใจ จะถามหาความรับผิดชอบจากคนแปลกหน้าที่ไม่มีวันเจอได้อย่างไร
“ฉิบหายแล้วสิ” คติยาสบถ “แล้วจะแก้ปัญหายังไง จะเลี้ยงเด็กด้วยตัวคนเดียวเหรอมันไม่ง่ายเลยนะ ไหนจะเรื่องเรียน ไหนจะพ่อแกที่วัน ๆ เอาแต่สร้างปัญหาอีก”
“ถึงฉันอาจจะไม่ได้มีพร้อมเหมือนคนอื่น แต่เด็กในท้องคนนี้คือเลือดเนื้อของฉัน มันอาจจะยากนะแต่ฉันจะไม่มีวันทำร้ายเขาเด็ดขาด”
“เออ เอาไงเอากันวะ ฉันอยู่ข้างแกนะ แกไม่มีใครก็ยังมีฉัน” คติยาเอื้อมมือมาวางบนบ่าเพื่อนสนิทเพื่อปลอบใจ
ญาดาเงยหน้าขึ้นยิ้มทั้งน้ำตา อย่างน้อยตอนที่กำลังมีปัญหาเธอก็ยังมีเพื่อนที่แสนดีอย่างคติยาคอยอยู่เคียงข้างเสมอ