บทที่ 1 หมอม่าย1

880 คำ
โรงพยาบาลราษฏร์นรากูล ภายในห้องตรวจแผนกอายุกรรม แพทย์สาวทำการตรวจคนไข้ที่ถูกเข็นเข้ามาด้วยอาการปวดท้องอย่างเฉียบพลัน ภัคพิงค์มองคนเจ็บที่นอนบิดกายเร่าๆ สีหน้าเหยเกอย่างสังเกต แล้วเริ่มลงมือตรวจรักษาอย่างใจเย็น ลูบคลำกดท้องไปยังตำแหน่งต่างๆ พลางถามคนไข้ว่า “ตรงนี้เจ็บมั้ยคะ” “ไม่...” “แล้วตรงนี้ล่ะ” “มะ...ไม่เจ็บ” “ตรงนี้ล่ะคะ” “อะ อ๊ากกก...” เสียงร้องโหยหวนของคนไข้หนุ่มที่ดังก้องห้องฉุกเฉิน ทำให้รู้ว่าเธอสันนิษฐานได้อย่างถูกต้องแม่นยำ แพทย์สาวหันไปบอกกับพยาบาลว่า “คนไข้ไส้ติ่งอักเสบ ไปบอกหมอรักษ์ว่าเตรียมตัวผ่าตัดทันที” แพทย์สาวเอ่ยถึงศัลยแพทย์มือหนึ่งที่พ่วงตำแหน่งว่าที่ผู้บริหารคนใหม่ของคณะบอร์ดผู้ถือหุ้น ‘รักษ์การ’ เป็นทั้งหลานชายและเด็กปั้นของผู้เป็นลุงอย่างโกศล เตชะนรากูล ซ้ำยังเป็นพ่อสามีของเธอด้วย แพทย์หนุ่มรุ่นพี่เธอจึงเป็นลูกพี่ลูกน้องกับสามีเธอ หลังบุรุษพยาบาลเข็นคนไข้คนสุดท้ายออกไปแล้ว ภัคพิงค์ก็ถอดถุงมือทิ้งลงในถังขยะ ทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้อย่างอ่อนล้า วันนี้มีคนไข้ค่อนข้างมาก ถึงจะเหนื่อย แต่ยังไม่น่าหนักใจเท่ากับข้อความที่แม่สามีส่งมาให้เธอเมื่อเช้าว่า Rossukhon : ตาเรนกลับมาแล้ว ไปรับผัวมากินข้าวที่บ้านแม่ด้วย ภัคพิงค์ผ่อนลมหายใจที่หนักอึ้ง ปวดหัวจนแทบยกมือกุมขมับ มันไม่ใช่คำบอกกล่าวหรือขอร้อง แต่เป็นการบังคับว่าเธอต้องทำให้สำเร็จ ไม่อย่างนั้นผลลัพธ์ที่จะเกิดกับบริษัทเคพีฟาร์มาซูติคอลของครอบครัวเธอ ซึ่งผลิตและส่งยาขายให้โรงพยาบาลราษฏร์นรากูลเป็นหลัก จะเสียหายขนาดไหนเธอไม่กล้าคิดเลย ด้วยเพิ่งมีกรณีพิพาทที่เคพีส่งยาไม่ได้มาตรฐานมาให้จนถูกจับได้ เกือบจะถูกถอดถอนและฟ้องร้องกันไปหยกๆ ใบหน้าที่ล้าอยู่แล้วยิ่งเหนื่อยใจมากกว่าเดิม แววตาหม่นเศร้าเมื่อคิดถึงคนเป็นสามีที่เธอไม่ได้เจอหน้าสี่ปีเต็มๆ หลังเขาจดทะเบียนสมรสแล้วทิ้งเธอไว้กลางงานแต่งเพียงลำพัง หิ้วกระเป๋าเดินทางขึ้นเครื่องไปเกาหลีแล้วไม่กลับมาอีกเลย ปล่อยให้เธอเป็นม่ายสามีไม่เหลียวแลจนตกเป็นขี้ปากคนไปทั่ว ขณะที่เขาใช้ชีวิตลั้ลลาเป็นหนุ่มโสดโดยไม่ทุกข์ร้อนอะไรเลย ‘เป็นถึงหมอ แต่ไม่รู้จักมัดใจผัว สุดท้ายผู้ชายก็ไม่แล’ ‘เขามีแต่แม่ม่าย นี่เป็นหมอม่ายซะยังงั้น’ ‘ทั้งสวยทั้งเก่งขนาดนี้ แต่เป็นม่ายร้างผัว เพราะเก่งเกินไปน่ะสิ’ ‘หมอพิงค์น่าสงสาร ดวงซวยมีผัวไม่ดี’ ‘หมอม่าย’ หรือ ‘ม่ายร้างผัว’ คำพูดเสียดหูทุกประเภทเธอล้วนได้ยินมาหมดแล้วจนไม่สะทกสะท้าน แต่ฟังทีไรก็ยังรู้สึกเสียดแทงใจทุกครั้ง แต่งงานมาสี่ปี แต่เธอกลับเขากลับเป็นยิ่งกว่าคนแปลกหน้าที่เจอกันข้างถนนเสียอีก คิดเอาเถอะว่าเขาต้องรังเกียจกันมากแค่ไหน ถึงได้ทำกับเธออย่างนี้... ภัคพิงค์ยิ้มขื่น จะสงสารหรือสมเพชตัวเองที่ตกอยู่ในสภาพนี้ดี? แพทย์สาวส่ายศีรษะเล็กน้อยสลัดเรื่องไร้สาระทิ้งไป เสียงสมาร์ตโฟนที่วางอยู่บนโต๊ะทำงานดังขึ้นพอดี เหลือบตามองแล้วถอนหายใจอย่างระอา เธอทำใจอยู่สองสามอึดใจก่อนจะกดรับสาย “ว่าไงคะแม่” “พิงค์ว่างอยู่รึเปล่าลูก” วาสินีเอ่ยถามอย่างเกรงใจ หล่อนรู้ว่าลูกสาวเป็นคนบ้างานมาก วันๆ นอกจากทำงานก็ไม่มีอย่างอื่นเลย แถมยิ่งเป็นหมองานของภัคพิงค์ก็ยิ่งหนักและเหนื่อยมากขึ้นอีกหลายเท่าตัว แทบไม่เคยได้ใช้ชีวิตเที่ยวเล่นสนุกเหมือนคนที่อยู่ในวัยเดียวกัน แต่ที่ต้องโทร. มาเพราะมีเรื่องสำคัญจริงๆ “พอได้ค่ะ พิงค์หมดคนไข้รอบเช้าแล้ว” “พิงค์เป็นยังไงบ้าง แม่ได้ข่าวว่านเรนทร์บินกลับจากเกาหลีแล้ว ลูกได้เจอหน้าเขาบ้างรึยัง” ภัคพิงค์เม้มริมฝีปากเมื่อเจอคำถามตรงไปตรงมาของมารดา ใช่...สามีเธอกลับถึงเมืองไทยเกือบสองอาทิตย์แล้ว วันแรกที่เห็นข่าวสังคมซุบซิบลงภาพที่เขาไปนั่งดินเนอร์หรูกับนางแบบสาวกลางโรงแรมดัง เธอทั้งแปลกใจและดีใจ แต่แล้ววูบต่อมาก็แปรเปลี่ยนเป็นความเจ็บปวดด้านชา เมื่อรับรู้ได้ว่าเขากลับมาแต่ไม่ยอมกลับบ้าน ทำตัวเป็นหนุ่มโสดควงสาวๆ ไปทั่วเหมือนจงใจจะเย้ยเธอ ลำพังถ้าเพียงแค่นั้นเธอคงไม่เดือดเนื้อร้อนใจเท่าไรหรอก แต่นี่เขายังลากเอาครอบครัวทั้งสองฝ่ายเข้ามายุ่งด้วยนี่สิ ภัคพิงค์รู้อยู่แล้วว่าทั้งแม่เธอและแม่เขาจะต้องโทร. มาถามไถ่เธอแน่ ไม่ใช่ว่ากลัวคำตำหนิติเตียน แต่ที่เธอหนักใจก็คือจะรับมือกับสามีอย่างไรมากกว่า นเรนทร์ไม่ใช่คนที่จะยอมเห็นเธออยู่อย่างสงบสุข!
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม