บทที่ 4 พนักงานใบหน้าคุ้น ๆ

1654 คำ
เช้าวันรุ่งขึ้นพระพายตื่นแต่เช้าเช่นเคย เธอนั่งรถเมย์ไปทำงานจึงต้องออกจากบ้านตั้งแต่หกโมงครึ่ง ซึ่งเป็นเวลาที่ใครบางคนกำลังหลับฝันดี แต่ชีวิตพนักงานเงินเดือนแสนน้อยแต่ภาระแสนล้าน ชีวิตเลือกเกิดไม่ได้แต่เธอเลือกที่จะสู้กับมันให้ถึงที่สุด การโดยสารรถเมย์ปรับอากาศจึงเป็นทางเลือกของเธอที่ราคามันดูเหมือนเหมาะสมกับฐานะมนุษย์เงิน นภาตื่นแต่เช้าทำกับข้าวให้กับลูกสาวคนสวย เพราะรู้ว่าลูกสาวกินแต่ข้าวเหนียวกับหมูปิ้งตอนเช้า เธอเห็นแล้วว่าไม่ได้มีประโยชน์อะไร อีกอย่างอยู่บ้านก็ปลูกผักง่าย ๆ จึงทำต้มจืดไข่น้ำใส่ใบตำลึงให้ลูกสาว กับปลานิลทอดที่ซื้อมาจากตลาด เธอแกะเนื้อให้อย่างดีจะได้ทานได้ง่ายและใส่ข้าวสองกล่องเพื่อให้ทานกลางวันด้วย ตั้งแต่แม่ห่อข้าวมาให้ พระพายก็ไม่เคยต้องเสียเงินไปกับอาหารมื้อกลางวันอีกเลย เรียกได้ว่าอิ่มอร่อยและประหยัด แม้ว่าเธอจะไม่ค่อยเข้าสังคมในที่ทำงานมากนัก และไม่ค่อยมีใครสนิทด้วย เพราะเธอไม่ได้มีเวลาว่างมากมายนัก แต่ทุกวันเธอจะมีคนเข้ามาแวะเวียนและทักทายเสมอ ไม่เว้นกระทั่งหัวหน้างาน “พระพาย วันนี้เอาข้าวมาทานกลางวันเหรอ” เสียงนุ่มหูราวกับกำลังฟังเพลงแจซเพราะ ๆ ขับกล่อมในยามฝนพรำดังขึ้น ทำให้พระพายที่กำลังเก็บกล่องข้าวเข้าในลิ้นชักเงยหน้าขึ้นมามองหัวหน้างานผู้แสนใจดี พร้อมส่งยิ้มสดใสส่งกลับไปทักทาย แต่วายุแทบละลายเมื่อน้องใหม่ในแผนกส่งยิ้ม ไร้เดียงสาราวกับเด็กสาวแรกแย้ม ทำให้เขาหัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะจนต้องเอามือขึ้นกุมหัวใจ ‘ไม่...เราไม่ได้คิดอะไรกับลูกน้อง’ วายุตั้งมั่น อย่างไรก็จะไม่คิดเกินเลยกับลูกน้องให้เป็นที่ครหาเด็ดขาด แต่เหมือนพระพายจะมาทำลายปณิธานที่ตั้งมั่นไว้ของเขาให้มลายลงอย่างไรชอบกล เขาสูดลมหายใจเข้าลึกเต็มปอด แล้วเปลี่ยนสายตาหลงใหล ให้กลายเป็นสายตาเอ็นดูในตัวลูกน้องสาวตัวน้อยแทน “ใช่ค่ะพี่วายุ ประหยัดดีค่ะ เงินเดือนแค่นี้ต้องประหยัดหน่อย” เธอบอกเขาอย่างไม่ได้คิดอะไร แต่ดูเหมือนคำนั้นจะกลายเป็นคำพูดตำหนิกลาย ๆ ชอบกล แต่เรื่องนี้ใช่ว่าเขาจะเป็นคนตัดสินใจ เพราะต่อให้ยื่นเรื่องเงินเดือนเสียสูงลิ่ว แต่คนบนชั้นสี่สิบนั้นไม่อนุมัติ เขาก็ทำอะไรไม่ได้เช่นเดียวกัน “วันหลังไปทานกับพวกพี่ก็ได้นะ เดี๋ยวพี่เลี้ยง” คำพูดของเด็กสาวไร้เดียงสา กลายเป็นสร้างความสงสารให้กับหัวหน้างานหนุ่มหล่ออย่างวายุ ผู้เป็นที่หมายปองของสาว ๆ ในบริษัทเฟเดอลิก จำกัด (มหาชน) แห่งนี้ แต่ทว่ากลับไม่ใช่พระพาย เพราะเธอไม่อยากให้เป็นที่ครหานินทา และควรอยู่ให้เงียบที่สุด ห่างไกลจากเรื่องดรามาทั้งปวง จะทำให้เธอทำงานได้อย่างสบายใจ และไม่โดนขุดเรื่องส่วนตัว “ไม่เป็นไรค่ะ แม่อุตส่าห์ตื่นแต่เช้าทำให้เลยนะคะ” เธอไม่ใช่คนฉวยโอกาส และไม่ชอบแข่งกับใคร ยิ่งคนหมายปองเยอะ เธอยิ่งต้องอยู่ให้ห่างเป็นดีที่สุด “ถ้าอย่างนั้นก็ตามใจครับ” วายุทักทายเสร็จก็ตรงเข้าไปนั่งที่โต๊ะของตัวเอง ที่เป็นห้องมีกระจกกั้นด้านหลังเพื่อความส่วนตัว และเรื่องบางอย่างไม่อาจให้ใครรับรู้ได้ จึงต้องมีห้องอย่างมิดชิดและเข้าไปต้องมีการสแกนลายนิ้วมือ และหากให้คนภายนอกเข้าต้องได้รับอนุญาตจากเขาเท่านั้น แต่เขาสามารถมองเห็นพนักงาน ภายใต้บังคับบัญชาของตัวเองได้อย่างชัดเจนเพราะเป็นห้องกระจก เมื่อหัวหน้าไปแล้ว นุชรีที่เป็นเพื่อนร่วมงาน นั่งห่างจากพระพายหลายโต๊ะ เงี่ยหูฟังการพูดคุยของหัวหน้ากับน้องใหม่ในแผนกราวกับเป็นเครื่องดักฟัง เมื่อเก็บข้อมูลครบแล้วเธอจึงลุกขึ้น สะบัดหน้าใส่พระพายไปหนึ่งที ให้กับท่าที ไร้เดียงสาเสียจนเจ้านายเอ็นดู ผิดกับเธอที่ทำงานที่นี่มาหลายปีแล้ว แต่ยังไม่ได้รับการเอ็นดูจากหัวหน้าเลยสักนิด คิดแล้วก็อดหมั่นไส้ไม่ได้เลย พระพายรู้สึกงงที่อยู่ ๆ พี่นุชรีสะบัดหน้าใส่เธอทำไมกัน เขาอายุมากกว่าเธอห้าปี เธอเพิ่งอายุยี่สิบสาม ส่วนพี่นุชรีนั้นอายุยี่สิบแปดปี ทำให้เธอไม่กล้าไปถามมาก ได้แต่เงียบไว้ อีกอย่างเขาก็เป็นรุ่นพี่เธอไม่กล้ามีปัญหาด้วย จึงหันไปหาพี่สริตาที่นั่งด้านข้าง ผู้เป็นพี่เลี้ยงประกบเธอทำงานด้วยรอยยิ้ม แต่เหมือนพี่เขาจะรับรู้ว่าเธอรู้สึกยังไง “ไม่ต้องไปสนใจพี่ล่องลอยคนนั้นหรอก” สริตาจับมือพระพายให้กำลังใจ แค่มาทำงานช่วงแรกต้องปรับตัวสักหน่อย เดี๋ยวสักพักก็ทำงานเก่งกว่ายายนั่นที่ไม่พัฒนาไม่พอ ยังนินทาเก่งอีกด้วย พองานมีปัญหาก็เสนอให้หัวหน้าย้ายงานออกจากเธอ แล้วให้คนอื่นทำแทน แต่ตัวเองเอาแต่ล่องลอยไปมาจนได้รับฉายาว่าพี่ล่องลอย เพราะเดินสายนินทาเมาท์ทุกเรื่องยกเว้นเรื่องของตัวเอง “ค่ะ พี่สริตา” พระพายยิ้มให้กับพี่สริตาผู้แสนใจดีของเธอ นี่คือหนึ่งเดียวที่ทำให้น้องใหม่อย่างเธอยังคงทำงานอยู่ได้ ไม่ท้อจนลาออกไปเสียก่อน หลังจากทำงานไปจนถึงตอนเที่ยง เธอก็รู้สึกง่วงนอนขึ้นมา เมื่อทานข้าวในห้องครัวประจำแผนกเสร็จ เธอจึงลงไปซื้อกาแฟมาดื่มสร้างความสดชื่นให้กับตัวเองสักหน่อย จะได้ไม่ง่วงในตอนบ่าย ร้านกาแฟด้านล่างออฟฟิศเป็นร้านเดียวที่ราคาถูก เจ้านายผู้แสนใจดีเปิดไว้ให้พนักงานได้ซื้อกาแฟได้ในราคาย่อมเยาและรสชาติพอใช้ได้ เธอจึงไม่รอช้าที่จะไปเติมคาเฟอีนเข้าร่างกาย พระพายรอกาแฟไปก็นั่งรูดโทรศัพท์ไป เพราะต้องรอคิวหลายคิว โซฟาตรงล็อบบีในออฟฟิศเป็นสถานที่นั่งพักของเธอได้อย่างดี แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นอีกครั้งก็พบกับเจ้าของบริษัทที่เธอได้ลูบได้คลำพร้อมกับขยี้กล่องดวงใจของเขาเมื่อคืน พลันใบหน้าสาวก็ซีดเผือกไร้สีเลือดทันที พระพายเอามือป้องใบหน้าก้มลงแทบจะสิงกับโทรศัพท์ เพื่อที่จะรอให้เขาเดินไปเร็ว ๆ เมื่อเขาผ่านล็อบบีไปแล้วเธอก็เอามือตบปุ ๆ ที่หน้าอกอย่างโล่งใจ คิดว่าตัวเองรอดแล้ว อย่างไรก็รอให้ผ่านช่วงนี้ไปก่อนด้วยเถอะ ให้เขาลืมเธอไปเสียก่อน แล้วค่อยเผชิญหน้าทีหลังก็ไม่สาย เมื่อหันหน้ามาอีกทีก็พบว่าถึงคิวตัวเองแล้ว เธอคว้าแก้วกาแฟเอสเปรสโซขึ้นมาดูดย้อมใจเล็กน้อย ก่อนจะสับเท้าเดินตรงไปที่ลิฟต์แล้วก็กดลิฟต์เพื่อจะขึ้นไปที่ชั้นสามสิบ แผนกการตลาด ดีที่บริษัทนี้หนึ่งแผนกกินพื้นที่หนึ่งชั้น โดยมีชั้นบนสุดคือชั้นสี่สิบเป็นห้องประธานหรือที่พวกเราเรียกติดปากว่าหอคอยงาช้าง ไม่มีใครอยากก้าวขึ้นไปบนนั้นนัก เพราะเหมือนเป็นดินแดนที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดแล้ว ติ๊ง! เสียงลิฟต์ลงมาจอดที่ชั้นล่างและเปิดออก เธอจึงก้าวเข้าไปในลิฟต์ เมื่อเข้ามาแล้วเธอก็กดชั้นที่ต้องการขึ้นไปทันที เมื่อยืนรอสักพักไม่มีใครเข้ามา เธอจึงจะกดปิดแต่ทว่ามีมือหนึ่งยื่นเข้ามาราวกับเป็นผีก็ไม่ปานทำให้เธอสะดุ้ง แต่ก็ไม่ได้กรีดร้องออกมาจนทำให้เขาตกอกตกใจ แต่เมื่อลิฟต์เปิดอ้าออกรับคนอีกคนเข้ามาด้วย คราวนี้เธอแทบอยากมุดเข้าสิงกับผนังลิฟต์กลายเป็นจิ้งจก เมื่อเขาวางโทรศัพท์แล้วเดินเข้ามากดชั้นสี่สิบ เธอก้มหน้าก้มตายืนเงียบไม่กล้ามองหน้าเขา ทั้งยืนใกล้กับประตูทางออกที่สุด แต่คนที่ยืนอยู่ไม่ห่างใช้อากาศร่วมกันในลิฟต์นั้นกลับแปลกใจ กับพนักงานคนนี้ เฟลิเปยืนพิจารณาท่าทางการแต่งตัวและหุ่นของเธอนับว่าเป็นคนหุ่นดีมาก ๆ ทำให้เขาหวนคิดถึงผู้หญิงเมื่อคืนแต่แล้วก็ขบฟันกรอดทันทีด้วยความเจ็บใจ และเพื่อทำลายความเงียบ เขาจึงเอ่ยทักพนักงานขึ้นมาก่อน “เพิ่งมาทำงานใหม่เหรอ” เสียงติดเข้มเล็กน้อยดูเหมือนไม่ได้สนใจ แต่สายตากลับจ้องอยู่ที่ก้นงอนงามโดยไม่รู้ตัวเสียอย่างนั้น พระพายหันหน้ากลับมาโค้งให้กับเขาเล็กน้อย ก่อนเอ่ยตอบ “ค่ะเพิ่งมาทำได้ไม่นาน” เธอตอบเท่าที่จำเป็นเท่านั้น ไม่กล้าพูดให้เยอะกว่านี้กลัวเขาจะรู้ว่าเธอคือผู้หญิงที่สร้างความเจ็บปวดกับกล่องดวงใจของเขาเมื่อคืน “งั้นก็ดี ตั้งใจทำงานนะ” เขาไม่รู้จะพูดอะไรต่อจึงเอ่ยไปเช่นนั้น ก่อนที่ลิฟต์จะจอดที่ชั้นสามสิบ ซึ่งเป็นชั้นของแผนกที่เธอทำงาน เขาเหลือบไปเห็นป้ายชื่อเมื่อเธอหันมาโค้งให้เล็กน้อยอย่างมีมารยาท แล้วเดินจากไป “พระพาย” เขาพูดงึมงำในลำคอแล้วก็คิดถึงใบหน้าของเธอ ทำไมมันคุ้นชอบกล แต่ก็นึกไม่ออกทำให้เขาตัดใจไม่คิดต่อเมื่อลิฟต์ขึ้นมาถึงชั้นที่เป็นห้องทำงานของเขา
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม