ค่ำคืนอันหนาวเหน็บในวันอันเปลี่ยวเหงาของสาวออฟฟิศไร้คู่เช่นเธอ...ความสวยไม่ได้ช่วยอำนวยความสะดวกในชีวิตให้แก่เธอนัก แต่มันเป็นคำสาปที่ติดตัวเธอมาตั้งแต่เกิด ไม่ต่างจากแฮรี่ พอตเตอร์ที่มีรอยแผลเป็นรูปสายฟ้าบนหน้าผากนั่นแหละ
ทิพย์นารีนั่งรถเมย์อย่างเซ็งในอารมณ์เพื่อจะกลับไปที่พัก ซึ่งเป็นอพาร์ตเม้นต์สุดซอยแถวชานเมือง ห้องเช่าที่กลายเป็นบ้านมาสามปีแล้ว ตั้งแต่เข้ามาทำงานในกรุงเทพฯเมื่อสี่ปีก่อน
เกือบห้าทุ่มแล้ว ตอนที่รถเมย์จอดตรงป้ายหน้าปากซอย ซึ่งมีเพียงเธอคนเดียวที่ลงป้ายนั้น
บรรยากาศหน้าปากซอยในเวลานี้ ค่อนข้างเงียบ ร้างไร้ผู้คน แม้จะมีร้านสะดวกซื้อและร้านขายอาหารยามค่ำคืนสองสามร้านเปิดให้บริการอยู่
ทิพย์นารีเดินเท้าเข้าซอยเหมือนทุกวัน เพราะอยากจะประหยัดและอยากออกกำลังกายไปในตัว
พอเดินเข้าซอยได้ประมาณสักสองถึงสามร้อยเมตร ก็จะเจอตลาดสดที่เปิดขายในช่วงเช้า ยามนี้จึงค่อนข้างเงียบเหงาวังเวงและน่ากลัว
เธอเร่งฝีเท้าเพื่อจะได้ผ่านบริเวณตลาดไปยังอพาร์ตเม้นต์ท้ายซอย แต่ไม่ทันจะพ้นทางเลี้ยว เธอจำเป็นต้องหยุดฝีเท้า เพราะมีคนสวมหมวกโม่งเข้ามาประชิดด้านหลังแล้วจี้ด้วยมีด
“ว๊าย!”
“หยุดนะ! ไม่งั้นตาย!” มันตวัดมือปิดปากเธอไว้แล้วลากเธอเข้าไปในตลาดอันมืดสลัว ซึ่งเวลานี้ไม่เหลือมนุษย์สักคน นอกจากหมาสองสามตัวที่พากันนอนหลับสบาย ไม่ยอมเห่าแม้แต่คำเดียว
“อื้ออ...” เธอร้องอู้อี้ในลำคอ พยายามดีดดิ้นขัดขืนเพื่อให้หลุดพ้นจากพันธนาการร้าย
“ฮึ่ม!” มันครางคำรามข่มขู่ กดจี้ปลายมีดที่สะเอวจนทำให้เธอรู้สึกเจ็บ
“อือ...” พอเจ็บก็กลัวตาย เลยไม่กล้าร้อง ไม่กล้าดิ้น ได้แต่ร้องอยู่ในใจ...ใจที่สั่นพร่าเพราะความกลัว กลัวจนเหงื่อแตก ตัวสั่น ขนลุกขนชัน ท้องไส้ปั่นป่วน เพราะคิดว่าตัวเองต้องไม่รอดแน่นอน
ไอ้หมวกโม่งมันลากเธอเข้าไปในบ้านร้างหลังตลาด ทิ้งร่างเธอลงบนพื้นสกปรก