ซูเจินก็พยักหน้าอย่างเห็นด้วย สัตว์ป่าที่สิ้นอายุขัยยังมีอีกไม่น้อย หากนางอยากกินเนื้อก็แค่บอกเสี่ยวเตี๋ยก็พอ
หวงไฉเมื่อเห็นว่าตกลงกันได้แล้ว เขาก็ลงมือชำแหละเนื้อกวางทันที ฝีมือของหวงไฉทำให้ซูเจินจ้องมองอย่างสนใจ แม้แต่เลือดกวางก็ถูกเก็บเอาไว้ เนื้อถูกส่วนเขาชำแหละออกมาแทบไม่เหลือติดกระดูกเลย
เขากวางหวงไฉก็รับปากว่าจะนำไปขายที่ร้านยาให้นาง เพราะเขากวางที่สมบูรณ์เช่นนี้ได้ราคาไม่น้อยเลยทีเดียว หนังกวางก็ถูกถลกออกมาได้ไร้ที่ติ
ในตอนแรกหวงไฉก็คิดจะนำไปขายให้จิ่วเม่ย แต่นางจะเก็บไว้ทำรองเท้าให้สองพ่อลูกมากกว่า เรื่องนี้จึงไม่ได้ขัดนาง
เนื้อกวางถูกชำแหละออกมาได้มากถึงเกือบหนึ่งร้อยชั่ง (1ชั่ง=500กรัม) จิ่วเม่ยให้ป้าหวงเลือกไปสิบชั่ง ส่วนเรือนอื่นนางเก็บไว้ให้เรือนละสองชั่ง ก็อีกสิบชั่ง ตัวนางที่อยู่เพียงสองคนแม่ลูกเก็บไว้สิบชั่งเช่นกัน ก่อนจะให้หวงไฉออกหน้านำที่เหลือไปขายให้นาง
“ขายชั่งละหกสิบอิแปะเจ้าเห็นเป็นเช่นไร” หากขายในเมืองเนื้อที่สดใหม่อย่างน้อยต้องได้ชั่งละหนึ่งร้อยอิแปะ
แต่เพราะนางไม่อาจจะเดินทางไปขายได้ อีกทั้งก็อยากจะแบ่งให้ชาวบ้านในราคาที่ไม่แพง ราคาหกสิบอิแปะจึงนับว่าเหมาะสม
ค่าเงิน
1 อิแปะ = 1 เหรียญทองแดง
1 ก้วน = 100 อิแปะ
1 ตำลึงเงิน = 1 ก้วน (100 อิแปะ)
1 ตำลึงทอง = 10 ตำลึงเงิน
หวงไฉนำเนื้อกวางใส่ตะกร้าแล้วยกออกไป ขายกับลุงหวงที่จะนำเนื้อไปเก็บที่เรือน ป้าหวงอยู่ช่วยจิ่วเม่ยเก็บของและหมักเนื้อของนางเสียก่อน
ซูเจินเมื่อเห็นป้าหวงจะนำกระดูกกวางไปโยนทิ้งนางก็ร้องห้ามไว้เสียก่อน
“ย่า” เพราะนางพูดยังไม่ชัด ทั้งยังพูดได้ทีละคำ จึงทำให้สื่อสารได้อย่างลำบาก
“เรียกยายรึ” ป้าหวงหันกลับมามองซูเจินที่ปกตินางจะเรียกป้าหวงว่ายาย
“ไม่...ทิ้ง”
“กระดูกรึ เจ้าจะเอาไปเล่นมิได้” ป้าหวงมองนางอย่างเอ็นดู
“กิน...ดะ ได้”
“หึ ไม่ได้ มันกินไม่ได้เจินเออร์ เนื้อมีเยอะนัก ยายจะทำของอร่อยให้เจ้ากิน”
ซูเจินอยากจะร้องไห้นัก นางจะบอกป้าหวงเช่นใดดี กระดูกกวางมีประโยชน์ไม่น้อย หากนำมาต้มเป็นซุปจะช่วยเพิ่มแคลเซียมให้นางได้มากนัก
ซูเจินส่ายหน้าสู้ตาย นางเดินเตาะแตะเข้ามากอดขาป้าหวง พร้อมทั้งเงยหน้ามองอย่างออดอ้อนเช่นที่นางชอบทำ ยามที่ขอของอร่อยจากป้าหวง
“ต้ม ย่อยยย”
“เอาไปต้มหรือ ทำน้ำแกงใช่หรือไม่” จิ่วเม่ยเอ่ยถามบุตรสาว
เพราะนางรู้ดีว่าซูเจินต่างกับเด็กในวัยเดียวกันมากนัก เหมือนนางจะรู้เรื่องต่างๆ อย่างดี
“ใช่ ใช่” นางพยักหน้าราวกับไก่จิก
“เช่นนั้นก็อย่าทิ้งเลยเจ้าค่ะ ข้าจะลองทำน้ำแกงให้นางกิน”
“เพ้ย เจ้าตามใจนางประหลาดนัก ได้ๆ ข้าจะล้างทำความสะอาดให้” สุดท้ายป้าหวงก็ยอมตามใจ และช่วยล้างทำความสะอาด
ความจริงซูเจินนางก็เสียดาย เครื่องในอยู่ไม่น้อย แต่ไม่รู้ว่าจะพูดเช่นใดว่ามันกินได้ จึงได้แต่มองดูท่านแม่นางนำไปทิ้งอย่างเสียดาย
เมื่อหมักเนื้อและนำไปตากเรียบร้อย จิ่วเม่ยก็นำกระดูกไปต้มน้ำแกงทิ้งไว้ ก่อนจะนำเนื้อที่แบ่งไว้ออกไปให้เรือนที่ช่วยเหลือนางตอนที่ทำนากับป้าหวง
ป้าหวงอุ้มซูเจินแล้วเดินไปพร้อมกับจิ่วเม่ย ชาวบ้านทั้งห้าเรือนที่ได้เนื้อจากนาง ต่างขอบคุณจิ่วเม่ยยกใหญ่ หากไม่มีความสามารถเรื่องวางกับกัดสัตว์พวกเขาก็แทบจะไม่ได้กินเนื้อ หากไม่ซื้อเขากิน
พอกลับมาถึงเรือน น้ำแกงที่เคี่ยวไว้ก็เดือดได้ที่ ป้าหวงจ้องมองจิ่วเม่ยที่กำลังตักน้ำแกงในชามเพื่อชิมอย่างไม่มั่นใจ
“อร่อย หวานมากเจ้าค่ะ” จิ่วเม่ยร้องขึ้น
“จริงหรือ” ป้าหวงยังทำหน้าไม่อยากจะเชื่อ แต่เมื่อนางลองตักน้ำแกงเข้าปาก ก็ต้องแสดงอาการไม่ต่างจากจิ่วเม่ยสักนิด
"จริงด้วย ไม่น่าเชื่อว่าน้ำแกงจะหวานเช่นนี้” กลายเป็นว่า ป้าหวงแบ่งกระดูกที่ยังมีอีกมากกลับเรือนของนางไปกว่าครึ่ง เพื่อทำน้ำแกงให้ทุกคนได้กิน
ชาวบ้านที่ป้าหวงเดินผ่านต่างเอ่ยถามนางเรื่องกระดูกที่นางถือกลับเรือน เพราะไม่เห็นว่าบ้านนางจะมีสุนัขที่รอกินกระดูกสักตัว
คนตระกูลหวงต่างก็แปลกใจไม่น้อยที่วันนี้ ที่ป้าหวงทำน้ำแกงกระดูกกวาง ทั้งยังนำกระดูกมาให้หลานทั้งสองของนางแทะเนื้อที่ติดอยู่อีกด้วย
แต่เมื่อทุกคนได้ลองกินก็พบว่าน้ำแกงทั้งหวานและส่งกลิ่นหอม เนื้อที่ติดอยู่ที่กระดูก เมื่อได้แทะไปด้วยก็เพิ่มความอร่อยได้มากทีเดียว
“ต่อไป ข้าต้องนำกระดูกที่ทิ้งกลับมาที่เรือนแล้วขอรับ” หวงไฉแทะไปด้วยแล้วเอ่ยออกมา
“ดีดี ข้าจะแบ่งไปให้อาเม่ย ต้มให้เจินเออร์บ้าง”
หลังจากนั้น ซูเจินนางก็ได้แทะกระดูกหมูไปอีกนาน จนเมื่อนางเริ่มพูดได้ แล้วบอกมารดาของนาง จึงได้เลิกนำมาให้นางทุกวันเสียที เป็นนานๆ ทำให้นางได้กินสักครั้ง
ก่อนงานวันเกิดครบรอบหนึ่งหนาวของซูเจิน ซูเต๋อก็เดินทางกลับมาถึงเมืองเหอหนาน ลุงหวงรีบให้หลานชายวิ่งมาส่งข่าวที่เรือนของจิ่วเม่ย
“ท่านน้า ท่านน้าเม่ย อยู่หรือไม่ขอรับ” หวงฉือ บุตรชายของหวงไฉ ตะโกนเรียกเสียงดัง
“ฉือเออร์ มีเรื่องอันใดรึ เข้าเรือนก่อนมา” ซูเจินเดินเตาะแตะมายืนมองอยู่ที่ด้านหลังของมารดานาง
หวงฉือรีบเดินเข้าไปจูงมือของซูเจินอย่างสนิทสนม เพราะเขามักจะตามป้าหวงมาเล่นกับซูเจินบ่อยครั้ง
“เจินเออร์ ท่านน้าเม่ย ท่านอาเต๋อกลับมาแล้วขอรับ เขากำลังไปที่เรือนตระกูลชุย ท่านย่าจึงบอกให้ข้ามาบอกท่าน”
“กะ กลับมาแล้ว” จิ่วเม่ยดวงตาพร่าไปด้วยน้ำตา นางอดที่จะดีใจไม่ได้ เมื่อรู้ว่าสามีกลับมาเสียที
“ท่านน้าไปเลยขอรับ ข้าจะพาเจินเออร์ตามท่านไป”
“ได้ ได้ ขอบใจเจ้ามาก” จิ่วเม่ยรีบวิ่งไปทางเรือนตระกูลชุย
“เจินเออร์ จะได้พบหน้าท่านพ่อเจ้าแล้ว ดีใจหรือไม่” หวงฉือเอ่ยถาม พร้อมทั้งอุ้มซูเจินเดินตามจิ่วเม่ยไป
ซูเจินไม่รู้ว่านางจะบอกเขาเช่นไรดี ว่านางดีใจหรือไม่ เพราะยังไม่เคยเห็นหน้าผู้เป็นบิดาสักครั้ง แต่ตอนนี้นางเริ่มจะไม่พอใจแล้ว ที่เด็กน้อยวัยสิบหนาวมาอุ้มนางเช่นนี้
แต่จะทำอย่างไรได้ ขาที่สั้นของนางคงเดินไปได้ไม่ไกลก็เหนื่อยแล้ว เสี่ยวเตี๋ยบินมาเกาะที่ไหล่ของซูเจิน
“นายหญิงท่านไม่ต้องกังวล บิดาของท่านผู้นี้ ข้าเคยพบว่าก่อน เขาจิตใจดีไม่น้อย และยังปกป้องท่านกับท่านแม่ของท่านได้อย่างแน่นอน” ซูเจินพยักหน้าอย่างเข้าใจ
พอใกล้เข้าเรือนตระกูลชุย นางก็ได้ยินเสียงโวยวายของบุรุษและเสียงด่าทอของนางไห่ซื่อ
“หึ ท่านพ่อของเจ้าคงทะเลาะกับนางไห่ซื่ออยู่” หวงฉือกระซิบบอกซูเจิน
“เจ้าไปดูเสียหน่อย หากพวกเขาตีกัน ข้าจะได้ไม่เข้าไป” ใครจะเข้าไปให้ตัวเองถูกลูกหลง
“เจ้าค่ะ” เสี่ยวเตี๋ยบินล่วงหน้าไปสืบเรื่องให้ซูเจิน