ผ่านมาเกือบเดือนผลผลิตในนาข้าวของจิ่วเม่ยก็ดูจะงอกงามกว่าของผู้อื่นมากนัก ของชาวบ้านที่มาช่วยนางทำนาก็ดีไม่แพ้ของนาง
มีเพียงซูเจินที่รู้ว่า แมลงต่างๆ ทั้งหนู มิได้กินผลผลิตในนาข้าวของเรือนนาง แม้แต่ของชาวบ้านที่ช่วยเหลือจิ่วเม่ยก็ได้รับการละเว้น
คงมีแต่ของตระกูลชุยที่ปีนี้แทบจะไม่เหลือผลผลิตให้เก็บเกี่ยว หากถึงช่วงเก็บเกี่ยวก็คงได้แต่เก็บไว้กิน มิอาจจะนำไปขายแลกเงินได้
ผ่านมาอีกสองเดือนซูเจินน้อยที่ถูกนำไปที่นาด้วยก็ถูกจับให้นั่งรอที่ใต้ต้นไม้เช่นเดิม ตอนนี้ไม่ใครกังวลเป็นห่วงนางมากแล้ว เพราะหลายครั้งที่ผ่านมาทำให้รู้ว่านางเป็นเด็กที่รู้เรื่องเพียงใด
ซูเจินนางจะคลานไปรอบๆ อย่างสนใจ และหยุดมองพวกเขาทำงาน เด็กน้อยจะคลานอยู่ไม่ห่างทำให้พวกเขาทำงานได้อย่างเต็มที่
แต่แปลกที่เด็กคนอื่นมาเล่นกับนาง นางจะไม่ค่อยเล่นด้วย ได้แต่มองพวกเขาเล่นเท่านั้น แต่หากมีเด็กคนใดที่รังแกนาง ไม่ต้องให้ซูเจินนางลงมือ เสี่ยวอี่ก็สั่งให้พวกมดไปกัดเด็กคนนั้นแล้ว ยังดีที่มดเพียงสองสามตัวเท่านั้นที่กัด
พอซูเจินนางอายุได้เกือบขวบ ข่าวของชูเต๋อก็ส่งมาถึงหมู่บ้าน สงครามสิ้นสุดลงแล้ว และเขากำลังเดินทางกลับมา ลุงหวงกับป้าหวงที่นำจดหมายมาส่งเมื่อรู้เรื่องก็ได้แต่ยินดีกับจิ่วเม่ยด้วย
ซูเจินในตอนนี้นางเริ่มจะสื่อสารเล็กน้อยตอบโต้ได้เป็นคำแล้ว นางก็อดที่จะตั้งตารอท่านพ่อคนใหม่ของนางไม่ได้
“แม่ หิว” ซูเจินลูบท้องที่กลมของนาง บอกจิ่วเม่ยที่กำลังล้างมือ เพื่อจะพานางไปกินข้าวพอดี
“ได้ ได้ เจินเออร์ น้อยของแม่หิวเสียแล้ว” นางอุ้มบุตรสาวขึ้นแล้วพาไปที่ห้องโถง
แต่ก่อนที่จะเดินเข้าไปด้านในห้องโถง ซูเจินก็ดึงสาบเสื้อของมารดาไว้ แล้วชี้มือไปที่กวางตัวใหญ่ที่อยู่นอกกำแพงด้านหลังเรือน
“สวรรค์” จิ่วเม่ยร้องเสียงดัง นางไม่เคยเห็นกวางเดินเข้ามาในหมู่บ้านมาก่อน
เมื่อกวางที่อยู่ด้านหลังเรือนเห็นซูเจินมันก็ก้มหัวลง ก่อนจะล้มลงที่พื้น จิ่วเม่ยที่อุ้มบุตรสาวอยู่ก็รีบเดินไปดูอย่างรวดเร็ว
พอไปถึงจึงได้รู้ว่า กวางตัวนั่นตายเสียแล้ว ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น เมื่อเดือนก่อน ที่บุตรสาวเริ่มจะกินข้าวและเนื้อคำโตได้ ไก่ป่าก็เดินเข้ามาตายในลานเรือนของนาง
จิ่วเม่ยจึงได้ทำอาหารให้ซูเจินได้กิน เมื่อคืนซูเจินบ่นอยากกินเนื้อ เสี่ยวเตี๋ยจึงได้เข้าป่าไปดูว่ามีสัตว์ตัวใดที่ใกล้สิ้นอายุขั้นแล้ว ก็พบว่ากวางตัวหนึ่งที่อายุมากเต็มทีใกล้จะตาย จึงได้ยินยอมยกเนื้อของตนเองให้ซูเจินกินแทน
หากไม่มีงานเลี้ยงในหมู่บ้าน ชาวบ้านและที่เรือนของนางจะมีเพียงเนื้อแห้งที่ทำเก็บไว้กิน หรือไม่ก็หากไม่ฝากซื้อเนื้อหมูในเมืองนางก็แทบจะไม่ได้กินเนื้อเลย
จิ่วเม่ยวางตัวซูเจินลงกับพื้นให้บุตรสาวนั่งรอนาง ก่อนที่จะเปิดประตูด้านหลังเรือนออกไปดู เห็นว่ากวางตายลงแล้ว จึงได้ลากเขามาในเรือน
นางอุ้มบุตรสาวไปที่บ้านของลุงหวง เพื่อให้เขาจัดการเนื้อกวางให้นาง
“ท่านลุงหวง ท่านป้าหวง อยู่หรือไม่เจ้าคะ” นางร้องเรียนอยู่ด้านหน้า
ไม่นานป้าหวงก็เดินออกมาเปิดประตูเรือนให้นาง “อาเม่ยมีเรื่องอันใด แล้วพวกเจ้าสองแม่ลูกกินข้าวมาแล้วหรือยัง” ตระกูลหวงกำลังนั่งกินข้าวกันอยู่
“ทำไว้แล้วเจ้าค่ะ แต่ยังไม่ได้กิน ข้าจะรบกวนให้ พี่ไฉ ไปจัดการกวางให้ข้าที” หวงไฉบุตรชายคนโตของป้าหวง เขาทำงานอยู่ที่ร้านขายหมูในเมือง เรื่องชำแหละ นางจึงต้องนึกถึงเขาคนแรก
“โอ้ กวางอย่างนั้นหรือ เจ้าไปได้มาได้อย่างไร” ป้าหวงเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ เพราะไม่เคยได้ยินว่าจิ่วเม่ยนางล่าสัตว์ได้ หรือเคยเห็นนางขึ้นไปวางกับดักสักครั้ง
“ท่านไปที่เรือนของข้า แล้วข้าจะเล่าให้ฟังเจ้าค่ะ” จิ่วเม่ยไม่กล้าเล่าเรื่องประหลาดที่เกิดขึ้นที่เรือนของนางให้ป้าหวงฟังที่หน้าเรือน เพราะยังมีชาวบ้านไม่น้อยที่เดินผ่านไปผ่านมา
หากพวกเขารู้เรื่องไม่รู้จะคิดว่านางและบุตรสาวเป็นพวกปีศาจหรือไม่ เรื่องประหลาดที่เกิดขึ้นไม่ใช่ครั้งแรก ตอนนี้นางเริ่มเชื่อแล้วว่าบุตรสาวของนางต้องมีอะไรที่แตกต่างจากเด็กทั่วไป
“ได้ๆ เจ้ากลับไปก่อน ข้าจะรีบตามไป”
จิ่วเม่ยเดินกลับเรือน เพื่อมากินข้าวกับบุตรสาว ในตอนนี้ซูเจินไม่ให้มารดาป้อนข้าวอีกแล้ว นางพยายามใช้มือน้อยๆ ของนางตักข้าวเข้าปาก แม้จะหกบ้าง แต่จิ่วเม่ยก็ไม่เคยบ่น ยอมให้บุตรสาวได้ทำทุกสิ่งที่นางต้องการด้วยตนเอง
พอสองแม่ลูกกินข้าวเสร็จ ลุงหวง ป้าหวงก็พาหวงไฉมาที่เรือนพอดี เมื่อทั้งสามเห็นกวางก็อ้าปากค้างอย่างตกตะลึง
“เจ้าว่าอย่างไรนะ” ลุงหวงเอ่ยถามเสียงดัง
“มันเดินมาตายเองเจ้าค่ะ” จิ่วเม่ยยิ้มแห้งให้พวกเขา ก็มันเดินมาเองจริงๆ จะให้นางบอกเช่นไร
“สวรรค์ ประหลาดนัก เพิ่งต่ายไม่นานจริงด้วย” หวงไฉเดินเข้ามาจับที่ตัวกวางมันยังอุ่นๆ อยู่ ทั้งยังไม่มีร่องรอยการถูกทำร้าย
“แล้วเจ้าจะให้ข้าจัดการเช่นไร” หวงไฉเงยหน้าขึ้นมาถามจิ่วเม่ย
“ข้าจะเก็บไว้บางส่วน และจะแบ่งให้พวกท่านกับชาวบ้านที่ช่วยเหลือข้า ที่เหลือขายได้หรือไม่เจ้าคะ”
เงินในมือของนางตอนนี้เหลือไม่เยอะแล้ว แต่ข้าวที่เก็บเกี่ยวไว้มากก็ยังไม่ได้คิดที่จะเอาออกไปขาย รอให้สามีกลับมาจัดการเรื่องนี้ ไม่เช่นนั้นนางก็ต้องรบกวนชาวบ้านอีก
“ได้เรื่องนี้ไม่อยาก ขายในหมู่บ้านก็พอ แต่ราคาคงได้ไม่ดีเท่าในเมือง”
“เท่านั้นก็ดีแล้วเจ้าค่ะ”
แต่ป้าหวงไม่เห็นด้วยที่นางจะแบ่งเนื้อให้พวกเขา เปล่าๆ ทั้งยังจะแจกจ่ายผู้อื่นอีก
“อาเม่ยมิใช่ว่าข้าไม่อยากได้เนื้อ แต่เจ้าเก็บไว้กินมากเสียหน่อย เจินเออร์กำลังโต หากเจ้าแจกและขายหมด นางจะกินอันใด” ป้าหวงที่อุ้มซูเจินอยู่ก็เอ่ยขึ้น
ซูเจินรู้ดีว่าสิ่งที่ป้าหวงเอ่ย ก็เพราะเป็นห่วงพวกนางสองแม่ลูก นางยังหอมแก้มเขาไปหนึ่งที
“ฮ่า ฮ่า เจินเออร์ เจ้าเห็นด้วยกับยายใช่หรือไม่” นางบีบจมูกของซูเจินอย่างรักใคร่ หลานนางก็มีหลายคนแล้ว แต่ไม่มีคนใดที่รู้ความเช่นซูเจินสักคน
“เช่นนั้นข้าก็จะเก็บไว้มากเสียหน่อย แต่ส่วนของพวกท่านที่ข้าให้ก็อย่าได้ปฏิเสธเลยเจ้าค่ะ”
ซูเจินก็พยักหน้าอย่างเห็นด้วย สัตว์ป่าที่สิ้นอายุขัยยังมีอีกไม่น้อย หากนางอยากกินเนื้อก็แค่บอกเสี่ยวเตี๋ยก็พอ