เมื่อตื่นขึ้นมา นิศาชลก็พบเพียงความว่างเปล่า เธออยากจะร้องไห้ แต่ก็ไม่มีน้ำตาไหลออกมาสักหยด ต่อแต่นี้ไปชีวิตของเธอคงมีเพียงความทุกข์ใจ ในเมื่อเธอเลือกเดินทางนี้แล้ว เธอก็ต้องยอมรับในผลที่จะตามมา หญิงสาวพยุงตัวลุกขึ้นด้วยความปวดร้าวไปทั่วทั้งตัว ก่อนที่เธอจะประคองตัวเดินเข้าห้องน้ำด้วยความลำบาก เธอไม่รู้ว่าสามีของเธอนั้นออกไปไหน แต่การไม่ได้เจอเขาในตอนนี้ทำให้หญิงสาวรู้สึกดีมาก
แต่เธอจะทำอย่างไร เธอจึงจะหลีกหนีเขาไปได้ มันไม่มีหนทางเลยที่เธอจะหลุดพ้นจากคนอย่างเขาไปได้ ทางเดียวของเธอนั้น ก็คือเมื่อถึงเวลาที่เธอทนไม่ไหวจริงๆ หญิงสาวก็คงต้องยอมขัดใจบิดามารดา แล้วขอหย่ากับเขา แต่นั่นแหล่ะเธอจะทำอย่างนั้นก็ต่อเมื่อหญิงสาวทนไม่ได้ และพร้อมที่จะเดินไปจากบ้านหลังนี้เท่านั้น
กว่าที่นิศาชลจะลากสังขารที่ค่อนข้างสะบักสะบอมลงมาจากห้องหอของเธอได้ก็กินเวลานานพอสมควร เมื่อเธอลงมาบริเวณห้องนั่งเล่น เธอก็พบว่าคุณผ่องพรรณกำลังนั่งดูทีวีอยู่ หญิงสาวรีบเข้าไปออดอ้อนออเซาะมารดาราวกับเด็กที่ยังเล็กๆ ก็ไม่ปาน
“มาแบบนี้สงสัยโดนพี่เขาทำอะไรมาใช่มั้ยลูก” คุณผ่องพรรณกอดร่างของบุตรสาวไว้ด้วยความห่วงใย
“ก็ไม่เกินคาดหรอกค่ะคุณแม่” นิศาชลเอ่ยเสียงเศร้า
“นี่แม่กำลังทำให้หนูทุกข์ใจอยู่หรือเปล่า” เมื่อได้ยินเสียงบุตรสาว ผู้เป็นมารดาก็เกิดความรู้สึกผิดขึ้นมาทันที
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะคุณแม่ อีกไม่นานบัวก็ชิน พี่ไผ่ไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร นี่ก็คงยังโกรธไม่หาย คุณแม่ไม่ต้องห่วงบัวนะคะ” นิศาชลปลอบใจผู้เป็นมารดา แม้ว่าตนเองจะทุกข์ใจมากเพียงใด
“แม่เชื่อว่าความดีของบัวจะเปลี่ยนใจพี่ไผ่ได้ สักวันพี่ไผ่ต้องรักลูกสาวของแม่คนนี้จนโงหัวไม่ขึ้นแน่ๆ” คุณผ่องพรรณลูบศีรษะบุตรสาวเพื่อปลอบประโลมเธอ
“ไม่ต้องขนาดนั้นก็ได้ค่ะคุณแม่ แค่พี่ไผ่เข้าใจในสิ่งที่บัวทำแค่นี้ก็พอแล้ว” นิศาชลผู้มักน้อย ก็ยังคงมักน้อยอยู่วันยังค่ำ
“เอาน่า ตอนนี้พี่ไผ่น่าจะยังโกรธอยู่เขาก็เลยพาลมาที่ลูกสาวแม่ อดทนอีกนิดนึงนะลูก” แม้ว่าคุณผ่องพรรณจะรู้สึกผิด แต่ความเชื่อมั่นในความคิดของตนเองและสามีก็ยังอยู่ ท่านเชื่อว่าอีกไม่นานนิศาชลจะเอาชนะใจวาฤทธิ์ได้