การทำงานในช่วงเช้าผ่านพ้นไปอย่างราบรื่น ทิวทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงคอยสอนงานให้นารีกานต์อย่างดีเยี่ยมไม่มีขาดตกบกพร่อง สอนตั้งแต่เช็ดทำความสะอาดโต๊ะ จัดเก้าอี้ รับออเดอร์ รวมทั้งเสิร์ฟกาแฟและอาหารให้ลูกค้า จนเวลาล่วงเลยมาจนถึงบ่ายพนักงานในร้านยังวุ่นอยู่กับการรับลูกค้าที่ทยอยเข้ามาไม่ขาดสาย
เนื่องจากวันนี้เป็นวันหยุด ทำให้มีนักท่องเที่ยวเข้ามาเที่ยวชมไร่เป็นจำนวนมาก แวะพักผ่อนหามุมเย็นสบายดื่มน้ำเพื่อผ่อนคลายความร้อนความเมื่อยล้าจากการเที่ยวชมไร่
เสียงกระดิ่งที่แขวนอยู่หน้าประตูร้านดังขึ้น เป็นสัญญาณบอกว่ามีลูกค้าเข้ามาในร้าน นารีกานต์ที่กำลังเช็ดทำความสะอาดโต๊ะอยู่บริเวณนั้นรีบทำความสะอาดให้เสร็จ จากนั้นก็เดินกลับเข้าไปหลังร้านเพื่อนำผ้าขี้ริ้วไปเก็บ ล้างไม้ล้างมือออกมารับออเดอร์ลูกค้าที่เพิ่งเข้ามา
"ไร่ไอริณสวัสดีค่ะ นี่เมนูของทางร้านค่ะ เชิญลูกค้าเลือกได้ตามสบายนะคะ" เสียงหวานผสมกับรอยยิ้มละมุนที่แต้มบนใบหน้า เรียกความสนใจจากชายหนุ่มที่เข้ามานั่งในร้านให้เงยหน้าขึ้นมองผ่านแว่นกันแดดสีชาที่สวมใส่ ริมฝีปากหยักคลี่ยิ้มบางออกมาเล็กน้อย เมื่อเห็นเจ้าของน้ำเสียงหวานหูชวนฟัง
"เพิ่งเข้ามาทำงานเหรอครับ ทำไมผมไม่เคยเห็นหน้าคุ้นเลย" คนที่เข้ามาใช้บริการร้านนี้เป็นประจำหรือจะเรียกว่าเป็นลูกค้าประจำก็จะไม่ผิดเอ่ยถามขึ้น ทว่าคนถูกถามยังไม่ทันจะได้เอ่ยอะไรตอบกลับมาก็มีเสียงทักทายดังขัดจังหวะขึ้นมาเสียก่อน
"อ้าว! พี่หมอ สวัสดีครับ ลมอะไรหอบพี่หมอคนหล่อมาถึงที่นี่ได้ครับเนี่ย" ทิวเดินยิ้มเข้ามาหาคนที่ตัวเองเรียกว่าพี่หมออย่างรู้จักมักคุ้น ทำให้ชายหนุ่มนามว่าพี่หมอต้องละสายตาจากใบหน้าของหญิงสาวตรงหน้าและหันไปทักทาย
"สวัสดี พอดีวันนี้ไม่ต้องเข้าเวรก็เลยว่าจะแวะมาหากาแฟฟรีทานสักแก้ว ว่าแต่ไอ้เจ้าของไร่มันอยู่ไหมเนี่ย"
"อยู่ครับพี่หมอ นั่งทำงานอยู่ในห้อง ให้ผมไปบอกให้ไหมครับว่าพี่หมอมาหา"
"ไม่ต้องๆ ปล่อยให้มันทำงานไปเถอะ ไปกวนมันเดี๋ยวก็ถูกมันด่าอีก ไอ้นั่นมันยิ่งอารมณ์ร้ายอยู่ นี่เด็กใหม่เหรอ พี่ไม่เคยเห็นหน้า และก็ไม่น่าจะใช่คนพื้นที่นี้ด้วยใช่ไหม พี่ไม่คุ้นเลย" ทิวหันมามองหน้านารีกานต์แล้วก็ยิ้มออกมา ก่อนจะหันไปตอบพี่หมอของตัวเอง
"ครับ พี่ขมิ้นมาจากกรุงเทพฯ เพิ่งมาเมื่อวานนี้เอง พี่ขมิ้นนี่พี่หมอ เป็น..."
"ว่างกันมากหรือไง ถึงได้มายืนจับกลุ่มคุยกันแบบนี้ ไม่ดูแลลูกค้าโต๊ะอื่นเหรอ หรือถ้าไม่มีก็เข้าไปล้างจานหลังร้าน" เสียงห้วนดังแทรกเข้ามา ทำให้วงสนทนาเมื่อสักครู่แตกออกจากกันราวกับผึ้งแตกรัง เพราะฟังจากน้ำเสียงที่ดังมาก่อนตัวนั้น คงบอกได้เป็นอย่างดี ว่าใบหน้าของเจ้าของน้ำเสียงคงบึ้งตึงไม่แพ้เสียงแต่อย่างใด และก็เป็นอย่างที่คาดเดาไว้ไม่มีผิด เมื่อเจ้าของเสียงเดินเข้ามาร่วมวงสนทนากับทุกคนด้วยสีหน้าบึ้งตึงไม่สบอารมณ์
อัคคีตวัดสายตามองหญิงสาวเพียงหนึ่งเดียวที่ยืนทำหน้าจิ้มลิ้มไม่รู้ร้อนรู้หวานอยู่ตรงนี้ ความรู้สึกคล้ายกับหงุดหงิดกระแทกเข้าที่อกอย่างจัง ตั้งแต่เห็นหญิงสาวคุยกับเพื่อนของตัวเองผ่านกล้องวงจรปิดในห้องทำงานแล้ว
เห็นผู้ชายเป็นไม่ได้ยิ้มหน้าบานเข้าใส่...
"ไปกินรังแตนมาจากไหนวะไอ้นี่ อารมณ์พร้อมบวกมากมึง และลูกน้องมึงเขาก็ไม่ได้คุยเล่นเขามารับออเดอร์ ส่วนทิวก็เข้ามาทักทายกันตามปกติ" น่านฟ้ารีบแก้ต่างให้พนักงานที่ยืนทำหน้าเรียบเฉยอยู่ข้างกัน เพราะกลัวหญิงสาวจะถูกเพื่อนปากดีคนนี้ตำหนิเข้าให้
คำพูดแก้ตัวให้นารีกานต์ของน่านฟ้ายิ่งทำให้อัคคีหงุดหงิดมากยิ่งขึ้น มองไปยังหญิงสาวที่ยืนเงียบไม่พูดไม่จาด้วยความหงุดหงิดงุ่นง่าน อยากจะกระชากตัวหญิงสาวลากเข้าไปในห้องและลงโทษให้สาแก่ใจที่กล้ามาอ่อยเพื่อนของเขา
"ถ้าทำงานก็ดีไป อย่าให้รู้นะว่ามาอ่อยลูกค้า" บรรยากาศบริเวณนั้นเงียบงันไปโดยปริยาย ความอึดอัดแผ่กระจายเข้ามาแทนที่ น่านฟ้าและทิวแอบชำเลืองมองหน้ากัน ก่อนสายตาของทั้งสองคนจะเปลี่ยนไปมองนารีกานต์และอัคคีสลับกันไปมา
ส่วนนารีกานต์ก็ไม่ได้แสดงท่าทีโกรธเคืองหรือไม่พอใจออกมาแต่อย่างใด ยังคงยืนนิ่งใบหน้าเรียบเฉยดังเดิม ก่อนใบหน้านั้นจะเชิดขึ้นอย่างถือดี หันไปสบสายตาคมที่มองมาอย่างไม่เกรงกลัว เพราะภายในใจของเธอกำลังเดือดไม่ต่างจากน้ำร้อนที่ตั้งอยู่บนเตาและเปิดไฟแรงๆ กับคำพูดดูถูกดูแคลนไม่ให้เกียรติต่อหน้าคนอื่น จากนั้นนารีกานต์ก็หันกลับมาหาลูกค้าของเธอพร้อมกับรอยยิ้มบางบนใบหน้า
"ถ้าลูกค้าไม่รับอะไร ดิฉันขอตัวนะคะ" โค้งศีรษะลงเล็กน้อยอย่างสุภาพ และหมุนตัวเดินกลับเข้าไปหลังร้าน เพื่อสงบสติอารมณ์ของตัวเอง
"ถ้าอย่างนั้นเชิญพี่หมอตามสบายนะครับ ผมไปแล้วนะครับ" ทิวก็รีบเผ่นหนีไปด้วยอีกคน สถานการณ์ตอนนี้ชวนอึดอัดหายใจไม่ทั่วท้องชอบกล ขืนอยู่ต่อคงมีหวังขาดใจตายเพราะขาดอากาศหายใจเป็นแน่
และเมื่อเหลือกันเพียงลำพังสองคน น่านฟ้าก็ลุกยืนขึ้นและจ้องเพื่อนรักตัวเองด้วยสายตาเป็นคำถามกับเรื่องราวที่เพิ่งผ่านพ้นไปเมื่อสักครู่ รวมไปถึงผู้หญิงที่ตัวเองเจอสดๆ ร้อนๆ เมื่อสักครู่นี้ด้วยเช่นกัน ว่าเป็นใคร มาจากไหนมาทำอะไรที่นี่
"สงสัยเราสองคนคงมีเรื่องต้องคุยกันยาวแล้วล่ะไอ้ไฟ"
นายแพทย์น่านฟ้า ชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งความสูงหนึ่งร้อยแปดห้าเซนติเมตร ใบหน้าขาวสะอาดสะอ้าน มาพร้อมกับแว่นตาที่สวมใส่เป็นเครื่องประดับอีกหนึ่งชิ้นบนใบหน้า ทว่าก็ไม่อาจบดบังความหล่อสไตล์ลูกครึ่งไทยจีนได้เลย เป็นเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวของอัคคี เป็นเพื่อนที่สามารถด่าอัคคีได้โดยที่ไม่ถูกชายหนุ่มถีบตกเก้าอี้ กำลังนั่งเผชิญหน้ากับเสือร้ายอย่างเอาเรื่อง
"ผู้หญิงคนนั้นเป็นใครวะ คงไม่ใช่พนักงานธรรมดาทั่วไปใช่ไหม" หลังจากปล่อยให้เจ้าเพื่อนตัวดีได้ปรับอารมณ์ให้เย็นลง น่านฟ้าจึงเอ่ยถามขึ้น เพราะถ้ารอให้อัคคีเป็นคนพูดเองวันนี้จนพระอาทิตย์ลาลับขอบฟ้าตัวเองก็คงไม่ได้คำอธิบายอะไรจากเพื่อนรัก
คนถูกถามผ่อนลมหายใจออกมาเบาๆ เอนตัวพิงพนักเก้าอี้ สายตาจ้องมองเพื่อนรักเพียงคนเดียวที่อยู่เคียงบ่าเคียงไหล่ในทุกช่วงของชีวิต ไม่ว่าจะเป็นความทุกข์หรือความสุขก็ตาม
หากทำได้อัคคีไม่อยากเอ่ยถึงเรื่องนี้เลย ไม่อยากพูดด้วยซ้ำว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใครและเกี่ยวโยงอะไรกับตัวเอง แต่นี่คนถามคือน่านฟ้า ผู้ไม่ยอมเลิกราและจบง่ายๆ หากไม่ได้คำตอบที่ตัวเองต้องการ
"ผู้หญิงที่แม่กูควักตังค์จ่าย เพื่อซื้อตัวมาแก้เคล็ดแก้กรรมให้กู" น่านฟ้านิ่งไปชั่วครู่กับคำพูดของเพื่อนรัก
"นี่แม่มึงยังไม่ล้มเลิกความเชื่อนั้นอีกเหรอวะ ก็เห็นเงียบไปเป็นปีสองปี กูก็นึกว่าแม่มึงไม่อะไรแล้วซะอีก ที่ไหนได้ ไปซุ่มเลือกผู้หญิงมาให้มึงนี่เอง ร้ายไม่เคยเปลี่ยนจริงๆ คุณนายสายธารเนี่ย ว่าแต่ทำไมรอบนี้มึงถึงได้ยอมแม่ง่ายๆ วะ" และคำถามนี้ก็ทำอัคคีลอบผ่อนลมหายใจออกมาด้วยความหนักใจ
เอ่ยถึงมารดาทีไรรู้สึกเหนื่อยใจไปเสียทุกครั้ง หากถามว่าครั้งนี้ทำไมชายหนุ่มถึงยอมให้มารดาจับผู้หญิงมาถวายตรงหน้า คำตอบที่ได้ก็คงหนีไม่พ้นคำว่าท่านเป็นห่วงกลัวชายหนุ่มจะเป็นอะไรไป รวมไปถึงน้ำตาและน้ำเสียงตัดพ้อของคุณนายสายธาร ได้เอ่ยกับตนถึงความเป็นห่วงเป็นใยที่แม่มีให้ต่อลูก และความสุขในบั้นปลายชีวิตที่อยากให้บุตรชายมีหลานให้ตนอุ้มนั้น คงเป็นตัวแปรในการตัดสินใจได้เป็นอย่างดี รวมไปถึงเป็นแรงกดดันชั้นเลิศ ที่อัคคีไม่สามารถปฏิเสธหรือหาทางหนีทีไล่ได้เหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา
"จะไม่ให้ยอมได้ยังไง เล่นบีบน้ำตาพูดจาประชดประชันตัดพ้อกูซะขนาดนั้น ถึงขั้นเอ่ยออกมาว่าถ้าไม่รับความหวังดีที่แม่มีให้ ต่อไปนี้ก็ไม่ต้องมาสนใจ ไม่ต้องมาเรียกว่าแม่ แม่จะถือซะว่าตัวเองไม่มีลูก แก่ตัวไปอีกหน่อยก็คงต้องพาตัวเองไปอยู่บ้านพักคนชราเพราะลูกไม่สนใจ พูดมาขนาดนี้มึงคิดว่ากูควรจะทำยังไงวะ นิ่งเฉยแล้วเดินหนีออกมาจากบ้านเหมือนทุกครั้งหรือไง" น่านฟ้าฟังแล้วก็รู้สึกกลัดกลุ้มและสงสารผสมกับอยากหัวเราะออกมาเสียงดัง กับบทบาทนักแสดงนำหญิงที่คุณนายสายธารเล่นในครั้งนี้
คนที่รักไม่ได้อยู่ครองคู่ คนไม่รักกลับได้อยู่เคียงข้าง....
คงไม่มีประโยคไหนเหมาะสมมากไปกว่าประโยคนี้แล้วล่ะสำหรับผู้ชายที่ชื่ออัคคี
"แล้วอะไรที่ทำให้แม่มึงมั่นใจ ว่าผู้หญิงคนนี้จะแก้เคล็ดให้มึงได้วะ จะไม่..." น่านฟ้าหยุดพูดไปโดยปริยายกับประโยคที่ตัวเองกำลังจะหลุดปากพูดออกมา ไม่รู้ตัวเองสมควรจะเอ่ยออกไปดีหรือไม่เพราะนั่นหมายถึงการไปสะกิดแผลในใจของเพื่อนให้รู้สึกเจ็บขึ้นมาอีก แม้เวลาจะล่วงเลยผ่านไปนานหลายปีแล้วก็ตาม
"เพราะว่าแม่กูเอาวันเดือน ปี เกิด กูกับผู้หญิงคนนั้นไปให้พระดูดวงมาแล้วไง แถมยังเอาไปผูกดวงกันมาเสร็จสรรพเรียบร้อย เจ๋งไหมล่ะแม่กู” น่านฟ้าพยักหน้ารับหงึกๆ
“เจ๋งจริงกูยอมรับ... นี่ไอ้ไฟ แล้วเหตุการณ์มันจะไม่ซ้ำรอยเหรอวะ” แววตาของอัคคีสลดลงไปชั่วครู่เมื่อเอ่ยถึงเหตุการณ์ในอดีต แต่เพียงชั่วครู่เท่านั้นก่อนชายหนุ่มจะปรับให้เป็นปกติดังเดิม
“ไม่หรอก เพราะผู้หญิงคนนี้จะเข้ามาเพื่อแก้เคล็ดเท่านั้น จะไม่มีความรู้สึกอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น ไม่มีแม้กระทั่งสิทธิ์ใช้คำว่าแฟน ภรรยา เป็นได้แค่ผู้หญิงที่ต้องอุ้มท้องลูกของกูแค่นั้น"
เชี่ย! หากเป็นคนอื่นที่ไม่รู้ลึกตื้นหนาบางถึงอดีตของอัคคี คงร้องออกมาแบบนี้ แต่สำหรับเขาคนที่อยู่ร่วมในทุกช่วงชีวิตของอัคคีย่อมรู้ดีว่า ที่อัคคีต้องทำอย่างนี้เพราะอะไร
"แล้วผู้หญิงเขายอมเหรอวะ" รอยยิ้มเยาะเย้ยผุดขึ้นบนมุมปากของอัคคี กับคำถามสิ้นคิดของเพื่อนที่ได้ชื่อว่าเป็นนายแพทย์
"แล้วการที่มึงเห็นผู้หญิงคนนั้นมาโผล่ที่นี่มึงคิดว่าเขายอมไหมล่ะ ท่าทางก็น่าจะหิวเงินไม่น้อยนะ เห็นแม่บอกว่าพอรู้ตัวเลขเม็ดเงินก็รีบตอบรับ โดยไม่ลังเล หึ! " น่านฟ้าพยักหน้ารับ ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าผู้หญิงหน้าตาน่ารัก ออกจะดูใสซื่อเสียด้วยซ้ำจะยอมทำอะไรแบบนี้เพื่อแลกกับเงิน แต่ก็อย่างว่าคนสมัยนี้รู้หน้าไม่รู้ใจ รู้ใจแต่ก็อาจไม่รู้สันดาน เห็นใสๆ แบบนี้ที่จริงอาจจะร้ายกาจก็เป็นได้
"มึงก็ระวังความรู้สึกตัวเองล่ะ ปากบอกว่าไม่ แต่ใจอย่าเผลอแล้วกัน อยู่กันไปอยู่กันมา ใกล้ชิดกันทุกวันจะเผลอรักเขาเข้าไม่รู้ตัว"
"มึงก็รู้ว่ากูรักใครไม่ได้แล้ว"