ภาพในความทรงจำ

2403 Words
“ครับแม่ รู้แล้วครับ ผมไม่มีวันทำร้ายลูกสะใภ้สุดที่รักของแม่แน่นอนครับ จะดูแลอย่างดียุงไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอมเลยดีไหมครับ... ผมไม่ได้ประชดครับ ผมพูดจริงๆ ... ครับๆ ... นี่ผมก็จะพาลูกสะใภ้แม่ไปหาคุณตาเย็นนี้... ครับ ผมรักแม่นะครับ” เมื่อเอ่ยร่ำลาเสร็จเรียบร้อย อัคคีก็กดวางสายมารดาทันที ร่างสูงเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ภายในห้องทำงานด้วยความหนักใจ ลมหายใจอุ่นถูกผ่อนออกมา กับประโยคทิ้งท้ายที่มารดาเอ่ยกับเขาก่อนจะวางสายไป “ไฟ รีบๆ มีหลานให้แม่เร็วๆ นะลูก อีกอย่างถ้าปีนี้หนูขมิ้นไม่ท้อง ลูกจะมีเคราะห์เลือดตกยางออกนะลูก” ยิ่งคิดอัคคีก็ยิ่งเครียด จะให้เขามีลูกกับผู้หญิงที่เขาไม่ได้รักอย่างนั้นเหรอ ทั้งที่แม่ก็รู้อยู่เต็มอกว่าหัวใจของเขามันพังทลายจนไม่มีชิ้นดี มันแตกสลายจนไม่สามารถจับมาต่อกันได้ และที่สำคัญไม่มีใครสามารถเข้ามาแทนที่... ก๊อก ก๊อก ก๊อก ความคิดของอัคคีเป็นอันหยุดชะงักลง แววตาเศร้าหมองในคราแรกเมื่อหวนคิดถึงอดีตพลันเปลี่ยนเป็นเฉยชาดังเดิม “เข้ามา” สิ้นเสียงอนุญาตประตูห้องทำงานก็ถูกเปิดออกจากคนที่เคาะประตู และก็เป็นนารีกานต์ที่เดินเข้ามาหยุดยืนอยู่หน้าโต๊ะทำงานของชายหนุ่ม “คุณให้ทิวไปตามฉันมา มีอะไรหรือเปล่าคะ” “แม่ฉันได้โทรไปหาเธอหรือเปล่า” เพราะการที่ไม่ได้รู้จักมักคุ้น รู้จักนิสัยใจคอกันมาก่อน อัคคีจึงไม่รู้ว่าผู้หญิงที่ยืนทำสีหน้าเรียบเฉยอยู่ตรงหน้านี้มีอุปนิสัยใจคออย่างไร เป็นผู้หญิงช่างฟ้องหรือไม่ เอาเรื่องที่เขาให้มาทำงานในร้านกาแฟไปบอกแม่เขาหรือเปล่า แม่ถึงได้โทรมาหาเขาอย่างนี้ “ไม่ได้โทรค่ะ มีอะไรหรือเปล่าคะ” นารีกานต์ก็ไม่รู้เช่นเดียวกันว่าทำไมอยู่ดีๆ อัคคีถึงได้เอ่ยถามประโยคนี้ออกมา หรือชายหนุ่มคิดว่าเธอไม่พอใจที่เธอได้มาทำงานในร้านกาแฟ เปรียบเสมือนพนักงานไม่สมศักดิ์ศรีกับตำแหน่งภรรยาของไร่ไอริณ จึงโทรไปฟ้องมารดาเขาอย่างนั้นหรือ ถ้าเขาคิดอย่างนั้นก็บ้าสิ้นดี เธอไม่ใช่คนขี้ฟ้อง “ฉันก็นึกว่าเธอไม่พอใจ ที่ไม่ได้นั่งชูคออยู่บ้านสบายๆ แต่ต้องมาทำงานเป็นพนักงานในร้านกาแฟก็เลยโทรไปฟ้องแม่ฉัน” นั่นไง! คิดเอาไว้ไม่มีผิด “ฉัน ไม่ ใช่ คน ขี้ ฟ้อง” เน้นออกมาทีละคำอย่างชัดถ้อยชัดคำ และสิ่งที่ได้รับกลับมาคือรอยยิ้มมุมปาก รอยยิ้มที่นารีกานต์เกลียดที่สุด “ก็ดี จะได้อยู่ด้วยกันได้นานๆ ไปรอฉันที่รถ ฉันจะพาเธอไปหาคุณตา” “ค่ะ” พูดจบนารีกานต์ก็หมุนตัวเดินออกจากห้องไป อัคคีจึงเก็บเอกสารที่วางอยู่บนโต๊ะให้เข้าที่เข้าทาง จากนั้นก็ลุกเดินตามหญิงสาวไป ต้นไม้ขนาดใหญ่แผ่กิ่งก้านสาขาให้ร่มเงาเป็นพื้นที่กว้าง ความสูงของต้นไม้ไม่ต่ำกว่าสามสิบเมตรตั้งเด่นอยู่ท้ายไร่ แทบจะไม่มีใครกล้าเข้ามาใกล้ในบริเวณนี้โดยเฉพาะช่วงเย็น เนื่องจากบรรยากาศเงียบสงบผสมกับสายลมที่พัดโชยมาเบาๆ ช่างดูวังเวงชวนขนลุก จึงไม่มีใครอยากเข้ามาในบริเวณนี้เสียเท่าไหร่ ไหนจะบ้านไม้ทรงไทยกลางเก่ากลางใหม่ที่อายุไม่ต่ำกว่าห้าสิบปีนั้นอีก ช่างเป็นอะไรที่ทำให้บรรยากาศโดยรอบเงียบเหงาโดดเดี่ยวยิ่งนัก ภาพของต้นไม้ใหญ่และบ้านไม้ทรงไทย ทำให้นารีกานต์ยืนนิ่งไม่ไหวติงเหมือนทุกอย่างในสมองหยุดสั่งการไม่รับรู้อะไร ทว่าหัวใจกลับเจ็บปวดรวดร้าวปานจะหลุดออกมาจากขั้ว ไม่เพียงเจ็บแค่หัวใจทว่าเธอกลับเจ็บบริเวณรอยแผลที่อยู่บริเวณหน้าท้องเช่นเดียวกัน เจ็บจนน้ำตาเอ่อคลอ โดยที่หญิงสาวไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำไมอยู่ดีๆ เธอถึงควบคุมความเจ็บและน้ำตาของตัวเองไม่ได้ ต้นไม้ต้นนี้ สถานที่แห่งนี้ ทำไมมันถึงได้คุ้นเหมือนเธอเคยเห็นที่ไหนมาก่อน “นี่เธอ จะยืนนิ่งอยู่อีกนานไหม เร็วเข้าตาฉันรออยู่” เสียงห้วนที่ดังขึ้นจากด้านหน้า ทำให้นารีกานต์ถึงกลับสะดุ้ง ดึงสติที่หลุดลอยออกไปไกลจนแทบไม่รู้ตัวกลับเข้าที่ รีบสลัดใบหน้าขับไล่ความงุนงงที่เกิดขึ้นกับตัวเองเมื่อสักครู่ออกไป อดไม่ได้ที่จะหันกลับไปดูต้นไม่นั้นอีกครั้ง “นารีกานต์!” และเสียงเรียกที่ดังขึ้นมาอีกครั้งก็ทำให้นารีกานต์หันกลับมามองเจ้าของเสียงนั้น และก็พบว่าใบหน้าของชายหนุ่มนั้นบึ้งตึงคล้ายกับกำลังโมโหเธอ หญิงสาวจึงรีบเดินเข้าไปหา เพราะถ้าช้าอีกนาทีเดียวคงถูกเขาจับฉีกเนื้อเป็นชิ้นๆ แน่ “อยู่ใกล้แค่นี้ทำไมต้องเรียกเสียงดังด้วย” อัคคีส่ายหน้าไปมาอย่างไม่รู้จะพูดอะไรออกมาดี กับประโยคยอกย้อนของหญิงสาว จึงหมุนตัวเดินไปไปยังบ้านไม้ทรงไทยที่เป็นบ้านของคุณตา โฮ่ง โฮ่ง โฮ่ง และทันทีที่เดินข้ามาภายในบริเวณบ้านเจ้าแดงสุนัขเพศผู้พันธุ์ไทยหลังอานอายุสองปีก็ส่งเสียงทักทายกระดิกหางต้อนรับอัคคีด้วยความคุ้นเคย วิ่งมาคลอเคลียอยู่กับขาของชายหนุ่มพร้อมกับส่งเสียงร้องอิ๋งๆ เป็นการออดอ้อน “ว่าไงเจ้าแดง ฉันรีบมาเลยไม่ได้เอากระดูกมาฝากเลย” เมื่อพูดจบเจ้าแดงก็เห่าตอบกลับมาพร้อมทั้งกระดิกหางใส่ เหมือนกำลังตอบโต้เจ้านายของมันอีกคน และนั่นจึงทำให้อัคคียิ้มออกมายกมือขึ้นมาลูบหัวเจ้าแดงด้วยความเอ็นดู “ชื่อแดงเหรอเราอะ พี่ชื่อขมิ้นนะ ต่อไปนี้พี่จะมาหาเราทุกวัน เรามาเป็นเพื่อนกันนะ” นารีกานต์นั่งลงข้างอัคคี ยื่นมือไปหาเจ้าแดงแสดงความเป็นมิตร จึงทำให้เจ้าแดงหันมามองนารีกานต์ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองอัคคี เหมือนต้องการปรึกษาอัคคีหรือขออนุญาตชายหนุ่ม ว่าจะให้ตนเป็นเพื่อนกับผู้หญิงคนนี้หรือไม่ “รับเขาเป็นเพื่อนเถอะ ต่อไปเขาจะเอากระดูกมาให้” สิ้นเสียงของอัคคี แดงก็เดินกระดิกหางเดินเข้ามาหานารีกานต์พร้อมทั้งถูไถใบหน้าไปที่มือของหญิงสาวเป็นการรับมิตรภาพความเป็นเพื่อนที่กำลังจะเกิดขึ้น “ไม่น่าเชื่อว่าเธอจะคุยกับหมารู้เรื่องด้วย” และคำประชดประชันนั้นก็ทำให้คนที่กำลังนั่งยิ้มลูบศีรษะเจ้าแดงอยู่ต้องชะงักมือ เงยหน้ามองชายหนุ่มตาขวาง “คุณก็คุยกับหมารู้เรื่องไม่ต่างจากฉันหรอก...ใช่ไหมเจ้าแดง ตัวเองก็คุยกับแดงรู้เรื่องแต่ก็มาว่าคนอื่นเขา ไม่ดูตัวเองเลยเนาะ” และเสียงเล็กเสียงน้อยของนารีกานต์ที่คุยกับเจ้าแดงแต่ตั้งใจว่ากระทบอัคคีนั้น ทำให้ชายหนุ่มหน้าบึ้งขึ้นมาทันควัน อยากจะยื่นมือไปบีบปากเล็กที่ขยับขึ้นลงเปล่งเสียงเจื้อยแจ้วนั้นเสียจริง ยัยตัวแสบ... ชายชราวัยเจ็ดสิบห้าปีใบหน้าเหี่ยวย่นตามกาลเวลาผมสีขาวทั่วทั้งศีรษะ ใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้มอบอุ่นแลใจดี นั่งมองนารีกานต์ที่นั่งพับเพียบอยู่ที่พื้นด้านล่างคู่กับหลานชายด้วยสายตาเอ็นดูผสมกับความดีใจ “สวัสดีค่ะคุณตา” นารีกานต์ยกมือไหว้อย่างนอบน้อมพร้อมทั้งยิ้มให้คุณตาของอัคคีอย่างเคารพ สายตาที่ท่านมองมาทำให้หญิงสาวรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาแปลกๆ “ในที่สุดก็มาเจอกันจนได้สินะ” เสียงแหบแห้งตามวัยเปล่งออกมา มือเหี่ยวย่นตามกาลเวลายื่นมาลูบศีรษะของหญิงสาวเบาๆ ด้วยความเอ็นดู ในที่สุดก็เจอกันอย่างนั้นเหรอ... ทั้งนารีกานต์และอัคคีต่างก็ทวนคำพูดนี้อยู่ในใจ ด้วยความไม่เข้าใจและสงสัยว่าคุณตาหมายความว่าอย่างไร หรือว่าท่านแก่จนพูดอะไรออกมาเรื่อยเปื่อย “ค่ะ” แม้จะไม่เข้าใจในประโยคที่คุณตาเอ่ยออกมาแต่นารีกานต์ก็เลือกที่จะตอบรับออกไป “งานที่ไร่เป็นยังไงบ้างเจ้าไฟ อย่าโหมงานหนักจนลืมสนใจเมียล่ะ” อัคคีหันมองนารีกานต์ชั่วครู่กับคำว่าเมียที่ผู้เป็นตาเอ่ยออกมา เช่นเดียวกับนารีกานต์ก็หันมองอัคคีเช่นกัน ก่อนที่ทั้งสองคนหันหน้าหนีไปคนละทิศละทาง และแน่นอนว่าอาการท่าทางของอัคคีและนารีกานต์ก็ไม่สามารถรอดพ้นสายตาของคนที่ผ่านร้อนผ่านหนาวไปได้ “ก็เรื่อยๆ ครับ ไม่ได้หนักอะไรมาก แล้วคุณตาล่ะครับ เป็นยังไงบ้าง” “ก็เรื่อยๆ ตามประสาคนแก่ แล้วนี่เมียแกชื่ออะไรล่ะ” “ไม่รู้เหมือนกันครับ ผมจำไม่ได้และก็ไม่คิดจะสนใจด้วยครับ” ตาผาได้ยินประโยคของหลานชายก็ได้แต่ส่ายหน้า ด้วยรู้ดีว่าหลานชายนั้นไม่ได้อยากแต่งงานกับหญิงสาวที่นั่งอยู่ตรงนี้ ที่แต่งก็เป็นเพราะถูกมารดาบังคับ แต่เชื่อเถอะว่าสักวันหลานชายผู้ปากดีของตนคนนี้จะต้องกลับคำพูดอย่างแน่นอน เพราะไม่ว่าอย่างไรทั้งสองคนก็หนีกันไม่พ้น ต่อให้เกลียดหรือไม่ชอบหน้าสักเท่าไหร่ก็ต้องได้อยู่ด้วยกันอยู่ดี แต่ไม่รู้ว่าจะได้อยู่ครองคู่กันไปตลอดชั่วอายุขัยหรือไม่ คำตอบของอัคคีทำให้นารีกานต์หน้าเสียไปเล็กน้อย แอบชำเลืองมองชายหนุ่มด้วยความขุ่นเคือง ที่เขาพูดจาทำร้ายจิตใจเธอเสียเหลือเกิน ไม่คิดจะรักษาหน้าเธอเลยหรืออย่างไร คนอะไรปากร้าย ใจร้ายชะมัด “เจ้าไฟก็ปากร้ายแบบนี้แหละ หนูอย่าเก็บเอาไปใส่ใจเลยนะ ผู้ชายปากร้ายสุดท้ายก็ใจดีทุกคน... แล้วหนูชื่ออะไรล่ะ” “หนูชื่อขมิ้นค่ะ คุณตาอยู่ที่นี่คนเดียวเหรอคะ ทำไมบ้านเงียบจัง” ไม่ใช่แค่ถามแต่นารีกานต์ยังกวาดสายตาสำรวจไปรอบบ้านอย่างถือวิสาสะอีกด้วย แม้บ้านหลังนี้จะไม่ได้ใหญ่โตมากนักแต่การปล่อยให้คนสูงอายุอาศัยอยู่คนเดียวห่างไกลผู้คนแบบนี้ ย่อมไม่ดีแน่ “อยู่คนเดียวและก็มีไอ้แดงเป็นเพื่อน ที่นี่มันเงียบสงบดี ตาอยู่มาตั้งแต่เด็กรู้สึกผูกพันไม่อยากย้ายออกไปไหน ทุกที่ตรงนี้ล้วนอยู่ในความทรงจำ หนูว่าไหม” มือของตาผายื่นมาวางลงบนศีรษะของนารีกานต์อีกครั้ง นารีกานต์เงยหน้ามองหน้าตาผา สายตาของหญิงสาวสบสายตาของตาผาที่แฝงความอบอุ่นและดีใจอยู่ในนั้น พลันความเย็นก็แผ่ซ่านจากศีรษะลงมาตามไขสันหลัง รู้สึกเหมือนสมองหยุดการสั่งงาน อยู่ดีๆ ภาพต้นไม้ใหญ่ที่สูงสง่าอยู่กลางทุ่งนาก็ฉายชัดเข้ามาในสมอง ภาพที่เธอเคยเห็นที่ไหนมาก่อน ภาพในความทรงจำ.... กลางดึกที่เงียบสงัดช่วงเวลายี่สิบสามนาฬิกาห้าสิบเก้าวินาที นาฬิกาเรือนไม้ที่แขวนอยู่ผนังห้องค่อยๆ เดินไปอย่างช้าๆ จนเข็มวินาทีมาเดินมาถึงเลขสิบสอง นกที่จับอยู่บนต้นไม้ใหญ่ก็ส่งเสียงร้องขึ้นมา มวลหมู่เมฆก็ลอยเข้ามาบดบังพระจันทร์ดวงโตทั้งดวง แสงสว่างพลันหายไป เสียงนกยิ่งร้องดังมากขึ้นเรื่อยๆ ชวนให้วังเวงและน่ากลัวยิ่งนัก จากนั้นไม่นานเสียงนกก็เงียบหายไปทว่ากลับมีเสียงขลุ่ยดังขึ้นมาแทนที่ เสียงเป่าขลุ่ยบรรเลงเพลงลอยมากับสายลมแผ่วเบา ทำให้หญิงสาวที่นอนอยู่บนเตียงนอนในห้องรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา ร่างบางเดินออกมายังระเบียงนอกห้อง สายตาของหญิงสาวกวาดมองไปรอบๆ เพื่อหาที่มาของเสียง อยากรู้เสียจริงว่าดึกดื่นค่อนคืนใครกันยังมีอารมณ์สุนทรีย์เป่าขลุ่ยอย่างที่ทำอยู่ในขณะนี้ แต่มองไปจนทั่วก็ไม่พบ หญิงสาวจึงหมุนตัวเตรียมจะเดินกลับเข้าไปในห้อง พลันเสียงขลุ่ยก็เงียบหายไป มีเสียงนกร้องทักขึ้นมาแทน ทำให้หญิงสาวถึงกับขนลุกซู่ หมุนตัวกลับไปด้านหลังอีกครั้ง และสิ่งที่เห็นตรงหน้าก็ทำให้ตัวแข็งทื่อ ดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกใจ หัวใจเต้นระส่ำไม่เป็นจังหวะ เพราะภาพเบื้องหน้าไม่เหมือนดังเดิม เป็นภาพของท้องทุ่งนาในยามค่ำคืนมีต้นไม้ใหญ่ตั้งสง่าอยู่ปลายท้องทุ่งนาหนึ่งต้น ขาเรียวขยับเดินถอยหลังไปด้วยความตกใจกลัว ไม่รู้เกิดอะไรขึ้นกับเธอกันแน่ ทำไมภาพนี้อยู่ดีๆ ถึงได้เกิดขึ้นมาได้ พลันเสียงขลุ่ยที่หายไปก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง พร้อมกับผู้ชายนั่งหันหลังให้เธอกำลังนั่งเป่าขลุ่ยอยู่ใต้ต้นไม้นั้น นารีกานต์รวบรวมความกล้าเพราะอยากรู้ว่ามันเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นมาได้อย่างไร ร่างบางรีบหมุนตัวกลับเข้ามาในห้องหวังจะลงไปด้านล่างดูให้แน่ชัด แต่ทันทีที่หมุนตัวกลับมาหญิงสาวก็ต้องตกใจกลัว เท้าชะงักเมื่อผู้ชายคนที่นั่งเป่าขลุ่ยอยู่ใต้ต้นไม้ก่อนหน้ายืนอยู่ตรงหน้า ในมือถือมีดปลายแหลมกำลังเงื้อมือขึ้นจะแทงเธอ “กรี๊ดดดด!!!” นารีกานต์กรีดร้องออกมาสุดเสียงด้วยความตกใจกลัว ร่างบางสะดุ้งเฮือกลุกขึ้นนั่ง เอื้อมมือไปเปิดสวิทซ์ไฟที่หัวเตียง กวาดสายตามองไปรอบๆ ห้องนอนด้วยความหวาดกลัว ใบหน้าของหญิงสาวเต็มไปด้วยเหงื่อ หัวใจเต้นระส่ำจนแทบจะหลุดออกมาด้านนอก ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกที่เหตุการณ์นั้นเป็นเพียงความฝัน สองมือยกขึ้นมาลูบหน้าตัวเอง นี่เธอฝันไปหรือนี่ ทำไมต้นไม้ต้นนั้นมันเหมือนต้นไม้ที่เธอเห็นเมื่อตอนเย็นที่บ้านคุณตาเลยล่ะ
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD