ตอนที่ 2 งานพิเศษ(1)

1096 Words
กริ๊ง...กริ๊ง...กริ๊ง... เสียงโทรศัพท์ในตอนสาย ปลุกให้คนที่หลับสนิทมาตลอดคืนค่อยๆ ปรือตาขึ้นมอง ก่อนที่มือบางจะควานหาต้นเสียงแล้วกดรับสายโดยไม่ได้ดูว่าใครโทรมา (“ฮัลโหล”) (“สวัสดีค่ะ นี่เบอร์ลูกสาวของคุณดาริกาและคุณสมบัติ พิมลลักษณ์ ใช่รึเปล่าคะ”) เสียงที่ฟังไม่คุ้นเคยรวมถึงคำถามที่ฟังดูเป็นทางการทำให้ความง่วงเหมือนจะหายไปอย่างรวดเร็ว (“ใช่ค่ะ ไม่ทราบว่าใครโทรมาคะ”) (“เราโทรมาจากโรงพยาบาลนะคะ ตอนนี้คุณพ่อกับคุณแม่ของคุณประสบอุบัติเหตุค่ะ เราเลยต้องติดต่อญาติเป็นการเร่งด่วนค่ะ เพราะต้องให้คุณเซ็นใบอนุญาตการผ่าตัดค่ะ”) ได้ยินอย่างนั้นดารภาก็ตกใจมาก มือของเธอสั่นไปหมดแต่ก็พยายามบอกตัวเองว่าเธอต้องมีสติให้มากที่สุด (“ละ...แล้วอาการของพวกท่านร้ายแรงมากรึเปล่าคะ”) (“เดี๋ยวเราค่อยมาคุยกันที่โรงพยาบาลนะคะ เนื่องจากมีรายละเอียดหลายอย่างค่ะ เดี๋ยวรบกวนญาติมาที่โรงพยาบาล...”) (“ได้ค่ะได้ หนูจะรีบไปตอนนี้เลยค่ะ”) หลังจากวางสายเธอก็รีบไปล้างหน้าแปรงฟันแบบลวกๆ จากนั้นก็เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วรีบเรียกแท็กซี่ไปโรงพยาบาลอย่างรวดเร็ว หลายชั่วโมงผ่านไป... ดารภานั่งอยู่ที่หน้าห้องผ่าตัดอย่างคนที่หมดแรงหลังจากได้คุยกับคุณหมอเกี่ยวกับอาการเบื้องต้นของบิดาและมารดาก่อนหน้านี้ รวมถึงเหตุผลที่เกิดอุบัติเหตุ เนื่องจากเมื่อช่วงเช้ามืดของวันนี้มีฝนตกลงมาอย่างหนัก ทำให้รถของพวกท่านถูกชนท้ายอย่างแรงจนรถตกคลองส่งน้ำ ข้าวของหลังกระบะกระจัดกระจายเสียหาย ส่วนคนขับคนนั้นหนีไปจากที่เกิดเหตุยังไม่สามารถติดตามตัวได้ ที่สำคัญคืออาการบาดเจ็บของบุพการี มารดาของเธอศีรษะกระแทกอย่างรุนแรงทำให้ต้องผ่าตัดบริเวณสมอง ส่วนบิดานั้นทั้งแขนและขาหักทั้งสองข้าง ทำให้ต้องเข้าห้องผ่าตัดไม่ต่างกัน ในช่วงเวลาแห่งความมืดมนและสิ้นหวัง เธอพยายามติดต่อหาพี่ชายเพียงคนเดียวแต่ก็ยังไม่สามารถติดต่อได้ แม้ค่ารักษาพยาบาลจะเป็นหน้าที่ของบริษัทประกันที่รับผิดชอบ แต่ค่าใช้จ่ายอื่นๆ หลังจากนี้ยังต้องมีอีกมาก ในเมื่อตอนนี้เสาหลักของครอบครัวต้องนอนอยู่ในโรงพยาบาลเป็นเดือนๆ แน่นอนว่ารายได้ที่เคยมีกลายเป็นศูนย์ แต่ค่าเช่าตึก ค่าน้ำค่าไฟ ไหนจะค่าเทอม ค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันของเธอก็ยังต้องมีอยู่ สิ่งเดียวที่เธอพอจะคิดได้ในตอนนี้คือต้องหางานทำและต้องเป็นงานที่ได้เงินมากพอจะชำระทุกค่าใช้จ่ายที่มี แล้วมันควรจะเป็นงานอะไรกันล่ะที่จะทำให้มีรายได้ต่อเดือนหรือต่อวันมากขนาดนั้น? และในวันนี้เธอก็หางานนั้นเจอ... “น้องดาว ยกเครื่องดื่มไปที่ห้องวีไอพีเบอร์ห้าหน่อยจ้ะ ระวังด้วยนะ ขวดนี้ราคาเป็นหมื่นเลย” “ได้ค่ะพี่ซิน” ดารภารีบยื่นมือไปรับก่อนจะค่อยๆ ก้าวขึ้นไปบนชั้นสองซึ่งเป็นโซนวีไอพีของไนต์คลับชื่อดัง เมื่อมาถึงหน้าห้องเบอร์ห้าเธอก็ค่อยๆ ผลักประตูเข้าไป “ขออนุญาตเสิร์ฟเครื่องดื่มค่ะ” เสียงหวานเรียกความสนใจจากผู้ชายสองในสามคนที่นั่งอยู่ด้านในได้ไม่ยากนัก มีเพียงคนเดียวซึ่งนั่งอยู่ฝั่งซ้ายมือของเธอที่ไม่ได้แม้แต่จะเงยหน้ามามองหน้าเธอเลยด้วยซ้ำ “เชิญตามสบายเลยครับคนสวย” หนุ่มหล่อที่นั่งอยู่ฝั่งขวามือบอกพร้อมกับโปรยยิ้มทรงเสน่ห์มาให้ แต่เธอก็แค่ส่งยิ้มบางๆ กลับไปเท่านั้น ตั้งแต่เกิดเรื่องกับบิดามารดา ดารภาก็ได้ปรึกษาเพื่อนสนิทของเธอคนหนึ่งและได้รู้ว่าเพื่อนทำงานอยู่ที่นี่ซึ่งได้ค่าทิปมากกว่าเงินค่าจ้างรายเดือนเสียอีก เธอจึงได้ขอให้เพื่อนพามาสมัครและโชคดีที่สาวสวยเช่นเธอได้งานทำไม่ยากเย็นนัก เธอจึงได้ทำมาตลอดระหว่างที่รอให้บิดาและมารดาพักรักษาตัวในโรงพยาบาล ซึ่งแม้พวกท่านจะพ้นขีดอันตรายแล้ว แต่สภาพร่างกายก็ยังต้องได้รับการดูแลอีกแรมเดือนกว่าจะสามารถกลับบ้านได้ หญิงสาววางเครื่องดื่มลงบนโต๊ะจากนั้นก็รินลงแก้วและนำมาเสิร์ฟให้ลูกค้าทั้งสาม “ลูกค้าจะรับอะไรเพิ่มเติมอีกมั้ยคะ” “ไม่อยากรับอะไรครับ แค่อยากให้น้องมานั่งสวยๆ อยู่ข้างพวกพี่แล้วรินเหล้าไปเรื่อยๆ ก็พอ” “เอ่อ...คือว่าหนู...” “พี่ให้ทิปสองหมื่น โอเคมั้ย? แค่นั่งเฉยๆ ไม่มีลวนลามแน่นอนครับ” เพราะรู้ว่าลูกค้าวีไอพีอย่างพวกเขาสามารถเลือกเด็กเสิร์ฟประจำในแต่ละคืนได้ เขาจึงได้เสนอทิปก้อนโตให้กับเธอก่อนที่แขกคนอื่นจะแย่งไปเสียก่อน “ได้ค่ะ” หญิงสาวโปรยยิ้มหวานเมื่อได้ยินราคาที่ถูกใจ เพราะมั่นใจว่าที่นี่ไม่ได้ส่งเสริมให้มีการขายบริการอย่างอื่นนอกจากการเสิร์ฟและนั่งคุยเป็นเพื่อนลูกค้าเท่านั้น “งั้นไปนั่งข้างพี่คนนั้นเลยครับ ชวนเค้าคุยหน่อย เค้าจะได้หายหน้าบูดซะที” เขาชี้ไปยังเพื่อนคนที่นั่งฝั่งซ้ายสุดและเอาแต่ทำหน้าเครียดจนเธอยังรู้สึกหวั่นใจกลัวจะโดนเขาไล่ตะเพิดไปไกลๆ เสียก่อน “จะดีเหรอคะ ดูเหมือนเพื่อนของคุณจะไม่ได้ต้องการคนคุยเท่าไหร่” เธอบอกยิ้มๆ “ไม่ต้องกลัวหรอกครับ หน้ามันดุไปอย่างนั้นแหละ รับรองไม่โดนกัดแน่นอน มันฉีดวัคซีนพิษสุนัขบ้ามาหลายเข็มแล้ว” ได้ยินเพื่อนพูดแบบนั้น จิณณ์ ก็เงยหน้าจากแก้วเครื่องดื่มแล้วหันมามองตาขวาง แต่เมื่อเห็นว่าสาวเสิร์ฟคนนั้นเดินเข้ามาหา ใบหน้าบึ้งตึงก็ค่อยๆ คลายลงโดยไม่รู้ตัว “สวัสดีค่ะ ขออนุญาตนั่งด้วยคนนะคะ” หญิงสาวส่งยิ้มพิมพ์ใจไปให้เผื่อเขาจะไม่บีบคอเธอตายไปเสียก่อน “อืม” หนุ่มหล่อมาดขรึมตอบสั้นๆ เธอจึงค่อยๆ ทิ้งสะโพกกลมกลึงลงบนโซฟาแล้วเว้นระยะห่างจากเขาพอประมาณไม่ให้เขารู้สึกว่าเธอรังเกียจแต่ก็ไม่ใช่ระยะที่ดูเหมือนยั่วยวนซึ่งนั่นก็ทำให้เขารู้สึกพอใจไม่น้อยที่เธอรู้จักวางตัว
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD