กริ๊ง...กริ๊ง...กริ๊ง...
เสียงโทรศัพท์ในตอนสาย ปลุกให้คนที่หลับสนิทมาตลอดคืนค่อยๆ ปรือตาขึ้นมอง ก่อนที่มือบางจะควานหาต้นเสียงแล้วกดรับสายโดยไม่ได้ดูว่าใครโทรมา
(“ฮัลโหล”)
(“สวัสดีค่ะ นี่เบอร์ลูกสาวของคุณดาริกาและคุณสมบัติ พิมลลักษณ์ ใช่รึเปล่าคะ”)
เสียงที่ฟังไม่คุ้นเคยรวมถึงคำถามที่ฟังดูเป็นทางการทำให้ความง่วงเหมือนจะหายไปอย่างรวดเร็ว
(“ใช่ค่ะ ไม่ทราบว่าใครโทรมาคะ”)
(“เราโทรมาจากโรงพยาบาลนะคะ ตอนนี้คุณพ่อกับคุณแม่ของคุณประสบอุบัติเหตุค่ะ เราเลยต้องติดต่อญาติเป็นการเร่งด่วนค่ะ เพราะต้องให้คุณเซ็นใบอนุญาตการผ่าตัดค่ะ”)
ได้ยินอย่างนั้นดารภาก็ตกใจมาก มือของเธอสั่นไปหมดแต่ก็พยายามบอกตัวเองว่าเธอต้องมีสติให้มากที่สุด
(“ละ...แล้วอาการของพวกท่านร้ายแรงมากรึเปล่าคะ”)
(“เดี๋ยวเราค่อยมาคุยกันที่โรงพยาบาลนะคะ เนื่องจากมีรายละเอียดหลายอย่างค่ะ เดี๋ยวรบกวนญาติมาที่โรงพยาบาล...”)
(“ได้ค่ะได้ หนูจะรีบไปตอนนี้เลยค่ะ”)
หลังจากวางสายเธอก็รีบไปล้างหน้าแปรงฟันแบบลวกๆ จากนั้นก็เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วรีบเรียกแท็กซี่ไปโรงพยาบาลอย่างรวดเร็ว
หลายชั่วโมงผ่านไป...
ดารภานั่งอยู่ที่หน้าห้องผ่าตัดอย่างคนที่หมดแรงหลังจากได้คุยกับคุณหมอเกี่ยวกับอาการเบื้องต้นของบิดาและมารดาก่อนหน้านี้ รวมถึงเหตุผลที่เกิดอุบัติเหตุ
เนื่องจากเมื่อช่วงเช้ามืดของวันนี้มีฝนตกลงมาอย่างหนัก ทำให้รถของพวกท่านถูกชนท้ายอย่างแรงจนรถตกคลองส่งน้ำ ข้าวของหลังกระบะกระจัดกระจายเสียหาย ส่วนคนขับคนนั้นหนีไปจากที่เกิดเหตุยังไม่สามารถติดตามตัวได้
ที่สำคัญคืออาการบาดเจ็บของบุพการี มารดาของเธอศีรษะกระแทกอย่างรุนแรงทำให้ต้องผ่าตัดบริเวณสมอง ส่วนบิดานั้นทั้งแขนและขาหักทั้งสองข้าง ทำให้ต้องเข้าห้องผ่าตัดไม่ต่างกัน
ในช่วงเวลาแห่งความมืดมนและสิ้นหวัง เธอพยายามติดต่อหาพี่ชายเพียงคนเดียวแต่ก็ยังไม่สามารถติดต่อได้ แม้ค่ารักษาพยาบาลจะเป็นหน้าที่ของบริษัทประกันที่รับผิดชอบ แต่ค่าใช้จ่ายอื่นๆ หลังจากนี้ยังต้องมีอีกมาก
ในเมื่อตอนนี้เสาหลักของครอบครัวต้องนอนอยู่ในโรงพยาบาลเป็นเดือนๆ แน่นอนว่ารายได้ที่เคยมีกลายเป็นศูนย์ แต่ค่าเช่าตึก ค่าน้ำค่าไฟ ไหนจะค่าเทอม ค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันของเธอก็ยังต้องมีอยู่ สิ่งเดียวที่เธอพอจะคิดได้ในตอนนี้คือต้องหางานทำและต้องเป็นงานที่ได้เงินมากพอจะชำระทุกค่าใช้จ่ายที่มี
แล้วมันควรจะเป็นงานอะไรกันล่ะที่จะทำให้มีรายได้ต่อเดือนหรือต่อวันมากขนาดนั้น?
และในวันนี้เธอก็หางานนั้นเจอ...
“น้องดาว ยกเครื่องดื่มไปที่ห้องวีไอพีเบอร์ห้าหน่อยจ้ะ ระวังด้วยนะ ขวดนี้ราคาเป็นหมื่นเลย”
“ได้ค่ะพี่ซิน”
ดารภารีบยื่นมือไปรับก่อนจะค่อยๆ ก้าวขึ้นไปบนชั้นสองซึ่งเป็นโซนวีไอพีของไนต์คลับชื่อดัง เมื่อมาถึงหน้าห้องเบอร์ห้าเธอก็ค่อยๆ ผลักประตูเข้าไป
“ขออนุญาตเสิร์ฟเครื่องดื่มค่ะ”
เสียงหวานเรียกความสนใจจากผู้ชายสองในสามคนที่นั่งอยู่ด้านในได้ไม่ยากนัก มีเพียงคนเดียวซึ่งนั่งอยู่ฝั่งซ้ายมือของเธอที่ไม่ได้แม้แต่จะเงยหน้ามามองหน้าเธอเลยด้วยซ้ำ
“เชิญตามสบายเลยครับคนสวย”
หนุ่มหล่อที่นั่งอยู่ฝั่งขวามือบอกพร้อมกับโปรยยิ้มทรงเสน่ห์มาให้ แต่เธอก็แค่ส่งยิ้มบางๆ กลับไปเท่านั้น
ตั้งแต่เกิดเรื่องกับบิดามารดา ดารภาก็ได้ปรึกษาเพื่อนสนิทของเธอคนหนึ่งและได้รู้ว่าเพื่อนทำงานอยู่ที่นี่ซึ่งได้ค่าทิปมากกว่าเงินค่าจ้างรายเดือนเสียอีก เธอจึงได้ขอให้เพื่อนพามาสมัครและโชคดีที่สาวสวยเช่นเธอได้งานทำไม่ยากเย็นนัก เธอจึงได้ทำมาตลอดระหว่างที่รอให้บิดาและมารดาพักรักษาตัวในโรงพยาบาล ซึ่งแม้พวกท่านจะพ้นขีดอันตรายแล้ว แต่สภาพร่างกายก็ยังต้องได้รับการดูแลอีกแรมเดือนกว่าจะสามารถกลับบ้านได้
หญิงสาววางเครื่องดื่มลงบนโต๊ะจากนั้นก็รินลงแก้วและนำมาเสิร์ฟให้ลูกค้าทั้งสาม
“ลูกค้าจะรับอะไรเพิ่มเติมอีกมั้ยคะ”
“ไม่อยากรับอะไรครับ แค่อยากให้น้องมานั่งสวยๆ อยู่ข้างพวกพี่แล้วรินเหล้าไปเรื่อยๆ ก็พอ”
“เอ่อ...คือว่าหนู...”
“พี่ให้ทิปสองหมื่น โอเคมั้ย? แค่นั่งเฉยๆ ไม่มีลวนลามแน่นอนครับ”
เพราะรู้ว่าลูกค้าวีไอพีอย่างพวกเขาสามารถเลือกเด็กเสิร์ฟประจำในแต่ละคืนได้ เขาจึงได้เสนอทิปก้อนโตให้กับเธอก่อนที่แขกคนอื่นจะแย่งไปเสียก่อน
“ได้ค่ะ”
หญิงสาวโปรยยิ้มหวานเมื่อได้ยินราคาที่ถูกใจ เพราะมั่นใจว่าที่นี่ไม่ได้ส่งเสริมให้มีการขายบริการอย่างอื่นนอกจากการเสิร์ฟและนั่งคุยเป็นเพื่อนลูกค้าเท่านั้น
“งั้นไปนั่งข้างพี่คนนั้นเลยครับ ชวนเค้าคุยหน่อย เค้าจะได้หายหน้าบูดซะที” เขาชี้ไปยังเพื่อนคนที่นั่งฝั่งซ้ายสุดและเอาแต่ทำหน้าเครียดจนเธอยังรู้สึกหวั่นใจกลัวจะโดนเขาไล่ตะเพิดไปไกลๆ เสียก่อน
“จะดีเหรอคะ ดูเหมือนเพื่อนของคุณจะไม่ได้ต้องการคนคุยเท่าไหร่” เธอบอกยิ้มๆ
“ไม่ต้องกลัวหรอกครับ หน้ามันดุไปอย่างนั้นแหละ รับรองไม่โดนกัดแน่นอน มันฉีดวัคซีนพิษสุนัขบ้ามาหลายเข็มแล้ว”
ได้ยินเพื่อนพูดแบบนั้น จิณณ์ ก็เงยหน้าจากแก้วเครื่องดื่มแล้วหันมามองตาขวาง แต่เมื่อเห็นว่าสาวเสิร์ฟคนนั้นเดินเข้ามาหา ใบหน้าบึ้งตึงก็ค่อยๆ คลายลงโดยไม่รู้ตัว
“สวัสดีค่ะ ขออนุญาตนั่งด้วยคนนะคะ”
หญิงสาวส่งยิ้มพิมพ์ใจไปให้เผื่อเขาจะไม่บีบคอเธอตายไปเสียก่อน
“อืม”
หนุ่มหล่อมาดขรึมตอบสั้นๆ เธอจึงค่อยๆ ทิ้งสะโพกกลมกลึงลงบนโซฟาแล้วเว้นระยะห่างจากเขาพอประมาณไม่ให้เขารู้สึกว่าเธอรังเกียจแต่ก็ไม่ใช่ระยะที่ดูเหมือนยั่วยวนซึ่งนั่นก็ทำให้เขารู้สึกพอใจไม่น้อยที่เธอรู้จักวางตัว