หลายวันต่อมา เวลาตีห้า
น้ำขิงตื่นแต่เช้าเหมือนเดิม เธอรีบไปยังห้องผู้ป่วยของลุงมีนัท ช่วยพยาบาลเปลี่ยนแพมเพิร์สและจัดท่านอนให้ลุงอย่างชำนาญราวกับทำสิ่งนี้มาทั้งชีวิต
“พี่พยาบาลคะ ตอนกลางคืนคุณลุงนอนไม่ค่อยหลับค่ะ ฝากช่วยดูแลด้วยนะคะ”
น้ำขิงย้ำเสียงเบา
พยาบาลพยักหน้า
“ได้ค่ะ เดี๋ยวคืนนี้ฉันจะดูให้ใกล้ชิดขึ้นนะคะ”
พอพยาบาลออกไป
ห้องก็กลับมาเงียบสงบ มีเพียงเสียงเครื่องวัดชีพจรดังแผ่ว ๆ
น้ำขิงเดินไปนั่งข้างเตียง จับมืออุ่น ๆ ของลุงเบา ๆ
แต่มือนั้นกลับเอื้อมมาลูบหัวเธอแทน
“น้ำขิงลูก… หลายวันมานี้ หนูอยู่กับลุงมากขึ้นนะ มีอะไรหรือเปล่า ที่ทำงานเป็นยังไงบ้าง”
คนตัวเล็กชะงักไปเพียงเสี้ยววินาที ก่อนยิ้มบาง ๆ ซึ่งเป็นยิ้มที่พยายามปิดบังทุกความหนักในใจ
“อ๋อ หนูแค่อยากดูแลลุงให้มากขึ้นค่ะ อีกอย่าง…วันนี้ปฐมนิเทศนักศึกษาใหม่ หนูเลยตั้งใจทำตัวให้ว่างไว้ค่ะ อย่าลืมนะคะ หนูสอบติดมหาลัยดังเชียวนะ มหาลัยเดียวกับแม่มีนาเลย”
ลุงมีนัทหัวเราะในลำคอเบา ๆ
“จ้า… ลุงขอให้หนูประสบความสำเร็จนะลูก เรียนเก่ง ๆ ถ้าไม่ว่าง…ก็ไม่ต้องมาหาลุงก็ได้”
น้ำขิงส่ายหน้ารัว ๆ ทันที
ดวงตาฉายแววจริงจังจนลุงต้องเงียบ
“น้ำขิงจะไม่มาหาลุงได้ยังไงคะ… ลุงเหมือนพ่อแท้ ๆ ของหนูนะคะ”
เสียงหวานเอ่ยอย่างมั่นคง
ก่อนรีบเก็บของเตรียมกลับบ้านเพื่อไปเปลี่ยนชุด
“งั้นหนูไปก่อนนะคะ เดี๋ยวนั่งรถกลับบ้านไม่ทัน แล้วไปปฐมนิเทศสาย”
มีนัทจับมือน้ำขิงแน่นขึ้นเล็กน้อย
เหมือนอยากบอกอะไรที่ลึกกว่าแค่คำอวยพร
“พระคุ้มครองนะลูก…”
ทั้งที่ในชีวิตเขาไม่เคยเชื่อเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์เลยแม้แต่นิด
แต่ตั้งแต่วันที่เจอทารกแดงแบเบาะคนนั้น…
ลูกของน้องสาวที่เขาทำลายชีวิตทางอ้อม ทุกวันก็ได้แต่ภาวนาให้น้ำขิงปลอดภัย
เพราะน้ำขิงนั้นเป็นเด็กดี ดีอย่างไม่น่าเชื่อ
ดีจนทำให้คนอย่างลุงมีนัทรู้สึกว่าตัวเองไม่คู่ควรกับคำว่า “ครอบครัว” ของเธอเลย
ทุกครั้งที่มองเธอ
เขาอดคิดไม่ได้ว่า…
ถ้าเขาไม่เคยทำผิดมาก่อน น้ำขิงคงไม่ต้องมาเกิดเป็นญาติของคนเลว ๆ อย่างเขา
ดังนั้นชายผู้ที่เคยเชื่อเพียงโชคชะตา
กลับภาวนาอย่างจริงจังเป็นครั้งแรกว่า
ขอให้ชีวิตเด็กคนนี้…อย่าได้มีใครทำให้เธอลำบากใจเลย
แต่เขาไม่รู้เลยว่า…
ความลำบากที่สุดกำลังจะเดินเข้ามาหาเธอ
ในวันที่เธอไปปฐมนิเทศนั่นเอง
เมื่อน้ำขิงมาถึง อพาร์ตเมนต์ลำดวน
เธอรีบเดินเข้าไปหาป้าลำดวน เจ้าของตึกที่ใจดีที่สุดเท่าที่ชีวิตเธอเคยเจอ
ป้าลำดวนยื่นหนังสือพิมพ์ปึกใหญ่ พร้อมกล่องพัสดุอีกกองให้เธอ
“เอ้า หนูขิง เอาไปส่งให้ห้องต่าง ๆ ด้วยนะลูก ตึกข้าง ๆ อีกเจ็ดตึกเหมือนเดิม”
น้ำขิงยิ้มบาง ๆ
“ค่ะป้า หนูจะรีบไปนะคะ”
นี่คือ “งานเช้า” ที่เธอทำเป็นประจำ
ส่งหนังสือพิมพ์ ส่งพัสดุเล็ก ๆ แลกกับค่าจ้างก้อนเล็ก ๆ
ซึ่งสำหรับคนอื่นอาจไร้ค่า…
แต่สำหรับเธอ ทุกบาทคือค่ารักษาลุงและค่าเทอมที่กำลังจะมาถึง
กว่าเธอจะเดินแจกครบทั้งหมดเจ็ดตึก
เข็มนาฬิกาก็ชี้ไปที่เจ็ดโมงเช้าพอดี
เหงื่อไหลเต็มหน้าผาก ขาแทบลากเพราะเดินขึ้นลงบันไดทั้งเช้า
น้ำขิงปาดเหงื่อแรง ๆ ก่อนหยิบเงินค่าจ้างใส่กระเป๋าผ้าขาด ๆ
แล้วเดินกลับ “บ้าน” ของเธอ
บ้าน…ที่เหมือนห้องเก็บของเก่าบนดาดฟ้า แต่เป็นที่เดียวที่ทำให้รู้สึกปลอดภัย
บ้านของน้ำขิงคือห้องเล็ก ๆ บนชั้นดาดฟ้าของอพาร์ตเมนต์
เป็นห้องเดียวบนหลังคา ไม่มีทางขึ้นจากด้านใน
ต้องเดินขึ้นบันไดเหล็กจากริมตึกทีละขั้น ๆ
เหล็กที่ขึ้นสนิมเล็กน้อยและส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดทุกครั้งที่เหยียบ
มันอยู่ชั้นสี่
และแสงแดดตอนเช้าส่องมาที่ใบหน้าทันทีที่ขึ้นมาถึง
แต่ถึงจะร้อน แคบ เก่า
นี่ก็เป็น “บ้านหลังสุดท้าย” ที่แม่ของเธอซื้อไว้ตอนยังมีชีวิตอยู่
ห้องที่ครั้งหนึ่งอาจเป็นแค่ห้องเก็บของ
แต่ไม่รู้แม่มีนาทำยังไง ป้าลำดวนถึงยอมขายให้ในราคาที่คนจนพอจะเอื้อมถึง
แม่เคยบอกกับป้าว่า
“ดาดฟ้านี่แหละ มองเห็นฟ้าเต็ม ๆ ไม่ต้องแย่งใคร”
น้ำขิงผลักประตูเหล็กเก่าเข้าห้อง
สูดลมหายใจลึก
ถึงมันจะเก่า แต่ทุกอย่างในนี้คือความทรงจำของแม่
และคือจุดเริ่มต้นของชีวิตใหม่ของเธอ
ในชีวิตนี้…
คนที่ดีกับเธอจริง ๆ มีไม่กี่คน
ลุงมีนัท
ผู้เป็นเหมือนพ่อคนแรกในชีวิต
และ ป้าลำดวน
ผู้ให้บ้าน ให้โอกาส และไม่เคยมองเธอด้วยสายตารังเกียจ
นอกนั้น…
โลกทั้งใบเหมือนจะคอยตอกย้ำว่าเธอ
“เป็นลูกคนเลว…ของคนที่เคยทำผิด”
แต่น้ำขิงไม่เคยยอมแพ้
วันนี้คือวันปฐมนิเทศ
วันที่เธอต้องเผชิญโลกใหม่
โลกที่อาจโหดร้ายกว่าเดิม
แต่เธอก็ยังต้องเดินไปให้ถึง ไม่ว่าขาจะล้าขนาดไหนก็ตาม
อีกด้านหนึ่ง บ้านมหิธรานนท์ยามเช้า
“อิงอิงลูก ตื่นได้แล้วครับ ปะป๊าจะไปทำงานแล้วนะ เจ็ดโมงแล้ว
เห็นสิงห์บอกว่าวันนี้หนูมีปฐมนิเทศ ไปสายไม่ได้นะลูก”
เสียงอบอุ่นของ คิณ พ่อของอิงอิง ดังขึ้นพร้อมกับการเคาะประตูเบา ๆ
แต่เจ้าตัวแสบยังคงขดตัวอยู่ใต้ผ้าห่มอย่างดื้อรั้น
“อื้อ… ป๊า พี่สิงห์ขับรถเหมือนบินอะ ให้หนูนอนต่ออีกนิดนึงนะ”
ยังไม่ทันที่คิณจะพูดอะไรต่อ
ประตูห้องก็ถูกผลักเปิดอย่างแรง
“ยัยตัวแสบ! เธอจะสายได้ไง แต่พี่ไม่ยอมสายนะ ลุกเดี๋ยวนี้เลย!”
สิงห์เดินเข้ามาแบบไม่มีความปรานี
ก่อนจับผ้าห่มยกขึ้นรวดเดียว
ร่างเล็กของอิงอิงกลิ้งไปตามแรงเหมือนลูกขนุนกลิ้งลงเขา
“โอ๊ย! พี่สิงห์! ป๊าาา พี่สิงห์แกล้งหนูอีกแล้ว!”
คิณหัวเราะเบา ๆ เหมือนชินกับภาพนี้จนไม่ต้องตกใจอะไรทั้งนั้น
“เอาน่า ๆ สิงห์เขารักน้องหรอกลูก แกล้งเพราะรัก”
อิงอิงทำหน้าบูดใส่พี่ชาย
แต่พอหันมาหาป๊า ก็เปลี่ยนเป็นสายตาลูกแมวทันที
คิณยื่นข้อเสนอที่รู้ว่าลูกสาวต้องแพ้ทาง
“เอางี้นะ… ตื่นเดี๋ยวนี้ เดี๋ยวป๊าสั่งชีสบอลมาส่ง ไม่เกินครึ่งชั่วโมงถึงบ้านเลย”
ทันทีที่ได้ยินคำว่า ชีสบอล
อิงอิงก็ลุกพรึ่บเหมือนมีคนเป่าเวทมนตร์
“จริงนะป๊า!? งั้นอิงอิงไปอาบน้ำก่อน! รักป๊าที่สุดในโลกเลย!”
เธอวิ่งปรู้ดเข้าห้องน้ำทันที
ทิ้งให้สิงห์ยืนมองอย่างเอือมระอาแต่ก็แอบอมยิ้มกับน้องสาวของตัวเอง
หลังอาบน้ำเสร็จ อิงอิงก็รีบลงมานั่งหน้าห้องนั่งเล่นทันที
ชีสบอลกล่องใหญ่ถูกวางตรงหน้า กลิ่นหอมฟุ้งจนเธอตาเป็นประกาย
“หื้มมม อร่อยยยย!”
เธอพูดพลางหยิบชีสบอลเข้าปากคำแล้วคำเล่า เหมือนเป็นของวิเศษที่ทำให้เช้านี้สดใสขึ้นทันตา
สิงห์นั่งพิงโซฟามองน้องสาวกินอย่างเอ็นดูปนปวดหัว
ก่อนเอ่ยเสียงนิ่งแต่จริงจัง
“อิงอิง… พี่มีเรื่องจะเตือน”
อิงอิงชะงักมือที่กำลังคีบชีสบอลไปครึ่งจังหวะ
“อะไรอีกล่ะพี่… จะให้ลดชีสบอลเหรอ หนูไม่ยอม”
สิงห์กลอกตา
“ไม่ได้จะพูดเรื่องกิน”
เขาหันมาจ้องตาน้องสาวเต็ม ๆ
“พี่จะบอกว่า… เลือกคบเพื่อนให้ดี เข้าใจไหม?
มหาลัยไม่เหมือนโรงเรียน มันมีทั้งคนดี และคนที่…ไม่ควรเข้าใกล้”
อิงอิงยักไหล่
“โอเคค่าาา พี่สิงห์ ขอบคุณสำหรับคำเตือนนะคะ”
แต่สิงห์ยังไม่เลิก
น้ำเสียงเขาลดต่ำลงอย่างห่วงจริงจัง
“อิงอิง… หนูโตแล้ว แต่ยังใสซื่อเหมือนเดิม พี่ไม่อยากให้ใครมาหลอกหรือทำร้าย”
อิงอิงเหยียดยิ้มนิด ๆ
“แหมะ… รักน้องก็บอกว่า ‘รักน้อง’ สิคะ ต้องทำเสียงจริงจังด้วย”
สิงห์ยกมือดีดหน้าผากน้องหนึ่งที
“ถึงว่าต้องเตือน เธอนี่มันเด็กจริง ๆ”
“โอ๊ย! พี่สิงห์!!”
คิณที่กำลังอ่านเอกสารงานอยู่ใกล้ ๆ แอบยิ้มมุมปาก
ภาพลูกสองคนเถียงกันไปมา คือช่วงเวลาแสนปกติและอบอุ่นของบ้านนี้
ทั้งที่ไม่มีใครรู้เลยว่า
วันนี้…จะเป็นวันที่ชีวิตของพวกเขาได้เจอกับ “น้ำขิง กานต์ธิดาโสภาพล” อีกครั้ง
และหลังจากนั้น ทุกอย่าง…จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป