บิดาของนางที่เป็นรองกรมกลาโหม อาหารที่อยู่ในมิติของนาง ล้วนแต่สามารถนำไปเป็นเสบียงของกองทัพได้
“ขอบใจเจ้ามาก ไว้พ่อต้องการสิ่งใด จะบอกกล่าวเจ้าอย่างแน่นอน” เว่ยหมิงก็เห็นด้วยกับนาง เมื่อเขาเห็นกองข้าวสาร ของแห้งที่มีไม่น้อย ยังอดนึกไม่ได้ว่าหากส่งมอบให้พวกทหารจะดีเพียงใด
ทหารที่ชายแดนทั้งสี่ทิศ ล้วนแต่มีความเป็นอยู่ที่ลำบาก ผลผลิตที่ปลูกในพื้นที่เสบียงของหลวง ก็มิได้จะอุดมสมบูรณ์เท่าใด หากปีไหนผลผลิตไม่ดี พวกทหารย่อมต้องอดมื้อกินมื้ออย่างเลี่ยงไม่ได้
“อาเยว่ เรื่องนี้เจ้าห้ามบอกผู้ใดเด็ดขาด เข้าใจหรือไม่” เขามองใบหน้าของบุตรสาวอย่างเคร่งเครียด
หากคนอื่นรู้เรื่องของสิ่งที่นางมีอยู่ ไม่รู้ว่าจะเกิดความวุ่นวายมากเพียงใด
“เจ้าค่ะ ลูกก็ไม่คิดจะบอกผู้ใดอยู่แล้ว” แม้แต่บิดาของนาง นางก็ไม่คิดจะบอก หากเขาไม่มาเห็นนางโผล่ออกมาจากมิติ นางก็คงจะเก็บเป็นความลับไว้กับตัว
“เอาเถิด เรื่องอื่นไว้คุยกันภายหลัง ตอนนี้ออกไปด้านนอกกันก่อน” เขาเห็นว่าเข้ามาหลายชั่วยามแล้ว คนในจวนจะสงสัยเอาได้
แต่เมื่อสองพ่อลูกออกมาด้านนอก จึงได้รู้จากปากของแม่นมชุย ว่าทั้งสองอยู่ภายในห้องด้วยกันเพียงหนึ่งชั่วยามเท่านั้น
สองพ่อลูกมองหน้ากันอย่างมึนงง แต่พอนึกถึงความมหัศจรรย์ภายในมิติแล้ว จึงพอจะเดาได้ว่า เวลาด้านในเดินเร็วกว่าด้านนอกมากนัก
“อาเยว่ เจ้าพักผ่อนก่อนเถิด ร่างกายของเจ้ายังไม่หายดีนัก ไว้พ่อจะมาพูดคุยกับเจ้าใหม่ในภายหลัง”
“เจ้าค่ะ” ซีเยว่ส่งบิดาของนางที่หน้าเรือน นางก็กลับเข้ามานอนที่เตียงอีกครั้ง
เว่ยหมิงที่เดินกลับเรือนอย่างเลื่อนลอย เขาก็สวนกับบ่าวไม่น้อย ที่กำลังยกข้าวของมาที่เรือนของซีเยว่ เมื่อเห็นของที่พวกนางถืออยู่ เว่ยหมิงก็ถอนหายใจออกมา
หากเป็นเมื่อก่อนบุตรสาวคนรองของตนเห็นของที่สาวใช้พวกนี้กำลังนำมาให้ย่อมต้องดีใจอย่างที่สุด แต่ดูตอนนี้ท่าจะไม่เป็นเช่นนั้นแล้ว เมื่อของที่อยู่ในมิติของนางล้วนแต่ล้ำค่ากว่ามากนัก
อู๋ซื่อเพิ่งจะจัดการเรื่องที่น่าปวดหัวเรียบร้อย นางกลุ้มใจไม่น้อย เมื่อต้องคืนเงินที่ริบไว้กลับคืนไปให้ซีเยว่ ตลอดหลายปีที่ผ่านมา นางแอบเก็บเงินที่ต้องแบ่งให้ซีเยว่เดือนละยี่สิบตำลึงเงิน เก็บไว้ถึงสิบตำลึงเงินต่อเดือน
เมื่อต้องควักออกไปคืน ก็มีมากถึงหนึ่งพันสองร้อยตำลึงเงินเลยทีเดียว เช่นนี้จะไม่ให้นางปวดใจได้อย่างไร
“ท่านพี่ ท่านหายไปที่ใดมาเจ้าคะ” เมื่อเห็นเว่ยหมิงเดินเข้ามาในห้องโถงเรือนหลัก อู๋ซื่อก็เอ่ยถามเสียงหวานออกมา
“ไปดูอาการอาเยว่มา ต่อไปเรื่องของอาเยว่ เจ้าก็อย่าได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวอีก เรื่องแต่งงานของนางข้าจะจัดการเอง ส่วนเจ้าเตรียมตัวเรื่องดูตัวของอาชิง เรียบร้อยแล้วหรือยัง”
อู๋ซื่อใบหน้าบิดเบี้ยวทันที เมื่อสามีเอ่ยเรื่องจะจัดการงานแต่งให้ซีเยว่ด้วยตนเอง นางอุตส่าห์คิดจะให้ซีเยว่แต่งออกไปเป็นอนุให้หลานชายของนางเสียหน่อย
หากเป็นไปตามที่นางวางแผนไว้ นางจะสั่งให้หลานชายทรมานซีเยว่เช่นใดก็ย่อมได้ แต่พอเว่ยหมิงเอ่ยเช่นนี้ จะไม่ให้นางโมโหจนแทบกระอักเลือดได้อย่างไร
ตั้งแต่ที่ซีเยว่นางล้มป่วยครั้ง ดูเหมือนเรื่องราวก็แปรเปลี่ยนไม่เป็นไปอย่างที่นางคิดไว้เสียแล้ว
“เรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ ท่านพี่อยากให้ข้าเพิ่มสิ่งใดอีกหรือไม่เจ้าคะ” นางยิ้มกว้างออกมาเมื่อเอ่ยถึงเรื่องงานดูตัวของบุตรสาว
“ไม่มี” เว่ยหมิงเอ่ยเสร็จกำลังจะเดินไปที่ห้องตำรา ฝ่าเท้าของเขาก็หยุดชะงักลง เหมือนว่าเพิ่งจะนึกอะไรขึ้นมาได้
“อาเฟิง เจ้าเขียนจดหมายไปสอบถามจวนตระกูลมู่เสียว่าเร่งการดูตัวได้หรือไม่” เขานึกถึงเรื่องที่ซีเยว่นางเอ่ยพูด
หากเป็นเช่นนั้นจริง กู้หยางคงเดินทางมาที่เมืองหลวงแล้ว ด้วยกลัวว่าจะเกิดเรื่องขึ้น จนต้องยกเลิกงานดูตัวของหลิวชิงไปเสียก่อน
“มีอันใดหรือไม่เจ้าคะ” อู๋ซื่อเอ่ยถามออกมาอย่างแปลกใจ
แต่ก่อนที่เว่ยหมิงจะเอ่ยบอกเรื่องที่เขากังวล เสียงเรียกหน้าห้องโถงก็ดังขึ้น
“นายท่านขอรับ มีคนจากตระกูลกู้ นามว่ากู้หยางมาขอพบขอรับ”
ราวกับฟ้าผ่าลงมากลางศีรษะของเว่ยหมิง ให้มันได้เช่นนี้ เรื่องที่กลัวล้วนแต่เกิดขึ้นจนเขาไม่อาจตั้งตัวได้
“ไปเชิญเข้ามา” เขาถอนหายใจออกมา ก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงอย่างไร้เรี่ยวแรง
อู๋ซื่อก็ตกใจไม่น้อย เรื่องนี้นางพอจะรู้จากพ่อสามี ว่าพวกเขามีสัญญาหมั้นหมายอยู่กับคนตระกูลกู้ ในเมื่อไม่ได้บอกว่าจะแต่งกับรุ่นใด นางจึงมิได้กังวลมากนัก แต่ไม่คิดว่าจะมาทวงสัญญาเร็วถึงเพียงนี้
“ทะ ท่านพี่” นางเอ่ยเรียกเว่ยหมิงเสียงสั่น
“เจ้าอย่าเพิ่งกังวล รอสอบถามให้รู้เรื่องราวเสียก่อน” เว่ยหมิงแม้จะมีคำตอบอยู่ในใจอยู่แล้ว แต่เขาก็ยังเอ่ยปลอบใจนางอู๋ซื่อ
กู้หยาง เดินทางจากเจียงซาน ที่อยู่ทางตอนใต้ของแคว้นต้าฉี มาเมืองหลวงเพื่อทวงสัญญาหมั้นหมาย ที่ทั้งสองตระกูลเคยทำกันไว้
ดวงตาที่เฉียบคมราวกับเหยี่ยวของเขา กวาดมองไปทั่วจวนตระกูลเว่ย ก่อนจะเดินตามพ่อบ้านเว่ยเข้ามาที่ห้องโถงเรือนหลัก
ภายในห้องโถงมีเว่ยหมิงที่ใบหน้าเรียบเฉยดูไม่ออกว่าเขาคิดสิ่งใด กับนางอู๋ซื่อที่มีความกังวลอยู่ในแววตาอย่างเห็นได้ชัด นั่งอยู่เพียงสองคนเท่านั้น
“คารวะใต้เท้าเว่ย ฮูหยินเว่ยขอรับ” เขาก้มหัวลงอย่างนอบน้อม
“ไม่ต้องมากพิธี เดินทางมาไกลเพียงนี้ เจ้ามีที่พักแล้วหรือยัง” เขาผายมือให้กู้หยางนั่งลงที่เก้าอี้
“ยังขอรับ ข้าน้อยจะไปพักที่โรงเตี๊ยมขอรับ”
“ไม่ต้องลำบากถึงเพียงนั้น เจ้าก็มิใช่คนอื่นไกล ที่จวนของข้าก็ยังมีเรือนว่างอยู่อีกหลายหลัง เจ้าพักที่นี่ก็แล้วกัน”
“เช่นนั้นก็ต้องขอบคุณท่านมากขอรับ” เขายกยิ้มน้อยๆ ที่มุมปาก
“แล้วเจ้ามาทำอันใดที่เมืองหลวงเล่า” เว่ยหมิงเอ่ยถามออกมา อู๋ซื่อบีบมือเข้าหากันแน่น อย่างรอคอยคำตอบ
กู้หยางมองไปที่ทั้งสอง ก่อนจะล่วงเข้าไปในแขนเสื้อ หยิบกระดาษออกมาส่งให้เว่ยหมิง
เว่ยหมิงรับกระดาษด้วยมือสั่นเทา เนื้อความด้านในเป็นสิ่งที่เขารู้อยู่แล้ว ด้วยตัวเขาเองก็เก็บรักษาสัญญาไว้ด้วยหนึ่งฉบับ
“อืม...ข้ามิเคยลืม แล้วเจ้าคิดหรือยังว่าต้องการแต่งกับผู้ใด” อู๋ซื่อหันไปมองใบหน้าของเว่ยหมิงอย่างตื่นตกใจ นางคิดว่าสามีของนางจะยัดเหยียดบุตรสาวสักคนที่ถึงวัยแต่งงานแล้วให้กู้หยาง
กู้หยางยกยิ้มออกมาเล็กน้อย เขาจ้องมองเข้าไปที่แววตาของเว่ยหมิง ก่อนจะเอ่ยตอบกลับมา
“เว่ยซีเยว่ขอรับ”
เว่ยหมิงกำกระดาษสัญญาแน่น เขาตกตะลึงไม่น้อย เมื่อชื่อที่เอ่ยออกมามิใช่หลิวชิงอย่างที่เขาเคยฝันถึง
อู๋ซื่อลอบถอนหายใจออกมา ก่อนจะเปลี่ยนสีหน้าเป็นยิ้มแย้มอย่างพอใจ
“คุณชายกู้ ท่านรู้ได้อย่างไรว่าข้ามีบุตรสาวนามที่ท่านเอ่ยออกมา” เรื่องนี้สร้างความแปลกใจให้เขาไม่น้อย
“ท่านผู้เฒ่าเว่ย เคยเขียนจดหมายเล่าเรื่องหลานสาวของท่านให้กับท่านปู่ของข้าฟังขอรับ” คำแก้ตัวนี้พอจะฟังขึ้นเล็กน้อย
“เช่นนั้นก็ดี อาเยว่นางก็ไม่ได้มีสัญญาหมั้นหมายกับผู้ใด” อู๋ซื่อเอ่ยออกมา