บ้านไม้สองชั้นที่สภาพเก่าคร่ำครึ รายล้อมไปด้วยบรรยากาศโศกเศร้า เนื่องจากหัวหน้าครอบครัวล่วงลับจากไปด้วยโรคประจำตัว เหลือเพียงภรรยาซึ่งต้องทำหน้าที่ดูแลโซ่ทองคล้องใจ นั่นก็คือลูกสาวเพียงคนเดียว ท่ามกลางป่าไผ่ทุ่งนารายล้อม เนื่องจากเป็นหมู่บ้านชนบทที่อยู่ห่างไกลความเจริญ แต่ยังดีที่มีน้ำและไฟฟ้าใช้ บ้านบางหลังก็ยังมีโทรทัศน์จอนูนรุ่นเก่า เพื่อเอาไว้ดูรับข่าวสาร
"ฉันเสียใจด้วยนะ สายพิณ ไอ้ทศมันไม่น่ามาด่วนจากไปในช่วงที่โมรีมันกำลังโต"
"ขอบใจนะป้าแจ๋ว แต่ยังดีที่โมรีมันเรียนจบมอหก อยู่ในช่วงปิดเทอม"
"แล้วเอ็งจะเอายังไงต่อ..จะไปทำมาหากินอะไร ปกติไอ้ทศมันทำไร่ไถนา ขายผักผลไม้ รับจ้างหาบแบบหาม เอ็งสองแม่ลูกไม่เคยต้องลำบาก"
เสียงถอนหายใจของหญิงวัยใกล้ชรา ซึ่งรั้วบ้านติดกันเอ่ยถามพลางปลอบใจ สายพิณได้แต่ก้มหน้ายอมรับชะตากรรมที่เกิดขึ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้
"เอาเลยยาย จัดไป!" เสียงแจ่วแจ้วของโมรีตะโกนดังไปทั่วหลังบ้านข้างดงกล้วย สถานที่แห่งนี้ดูเหมือนจะมีกิจกรรมขนาดย่อม สาวน้อยวัยสิบแปดปีบริบูรณ์ ใบหน้าสวยหวานรูปไข่ ดวงตากลมโตน่าทะนุถนอม ผิวขาวผ่องเป็นยองใย แม้ส่วนสูงจะไม่โดดเด่น แต่ภาพรวมดูน่ารักสมวัย
เมื่อไม่เห็นลูกสาวอยู่หน้างานศพ สายพิณผู้เป็นแม่เดินอ้อมมายังกลุ่มที่ส่งเสียงดังโหวกเหวก ปรากฏภาพที่ทำให้ตกใจ เมื่อบรรดาชาวบ้านวัยกลางคนกำลังตั้งวงเล่นไฮโลกันอย่างครึกครื้น จึงรีบตรงดิ่งไปถามโมรีที่ยืนเฝ้า "พวกนี้มาเล่นไฮโลกันได้ไงที่บ้านเรา"
"หนูเปิดวงให้เช่าเองแหละ"
"แกกว่าอะไรนะ?!"
"วงละหนึ่งร้อยบาท หนูเปิดห้าวง เป็นเงินห้าร้อยบาท งานศพพ่อสามวันเราจะได้เงินพันห้าร้อยบาท เป็นไง..ความคิดหนูสุดเจ๋ง"
"เจ๋งกับพ่อมึงน่ะสิ!! โอ๊ยย ฉันจะเป็นลม งานศพพ่อแกแท้ๆ ยังมีอารมณ์มางกห่วงเงินอีก"
ผู้เป็นแม่ได้ยินเช่นนั้นก็ลมแทบจับ แต่ลูกสาวยังคงภูมิอกภูมิใจ สักพักก็เดินมายังด้านหน้าเพื่อแจกจ่ายน้ำให้แขกในฐานะเจ้าภาพ
โมรีเป็นเด็กร่าเริงแจ่มใส แม้แต่งานศพเธอก็ไม่แสดงสีหน้าเศร้าหมอง สักพักก็เดินไปหาผู้เป็นแม่ที่กำลังเติมน้ำเปล่าในถังให้แขกมาร่วมงานได้ดื่ม
"แม่จำได้ไหม..ในวันที่พ่อจะสิ้นลม พ่อบอกว่ายังไง" โมรีพูดเสียงดังฟังชัด "พ่อบอกว่าอยากให้หนูร่าเริงสดใสเหมือนที่เป็น วันที่พ่อตายห้ามเสียใจ และจงมีชีวิตอยู่ต่อไป ใช้ชีวิตให้สนุก"
"จำได้ ฮึกกก แต่ฉันก็ไม่นึกว่าแกจะร่าเริงขนาดนี้!"
"โถ่แม่ หนูเป็นคนเก่งของพ่อ ที่พ่อต้องตายเพราะว่าพ่อมีโรคประจำตัวอยู่แล้ว ชีวิตเป็นสิ่งไม่เที่ยง สังขารมีเกิดแก่เจ็บตาย แม่อย่าเสียใจไปเลยนะจ๊ะ"
แม้จะรู้ดีว่าสิ่งที่ลูกสาวพูดนั้นเป็นสัจธรรมของโลกใบนี้ แต่น้ำตาของผู้เป็นภรรยาก็ยังคงรินไหล ห่วงหาอาลัยสามีที่ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันมานานหลายปี
เวลาเที่ยงคืน
ดึกดื่นยามวิกาล บ้านนอกฟ้ามืดสนิท มีเพียงแสงไฟสลัวที่ส่องภายในงานศพเท่านั้น หลายคนยังคงเล่นไฮโลอยู่ด้านหลัง ส่วนผู้มาร่วมฟังธรรมก็นั่งไหว้พระอยู่บนชานเรือน
โมรีหยิบผ้าชุบน้ำเช็ดกรอบรูปตั้งศพของผู้เป็นพ่อ น้ำตาคลอพร้อมกับส่งยิ้มหวาน ก่อนจะพูดเสียงแผ่วคล้ายกระซิบกระซาบ "หนูจะดูแลแม่เอง พ่อไปสบายเถอะนะไม่ต้องเป็นห่วงอะไร ลูกสาวคนนี้จะเข้มแข็ง จะใช้ชีวิตให้มีความสุขดังที่พ่อปรารถนา หนูรักพ่อนะ"
เป็นคำบอกลาที่เศร้าซึ้งในคราเดียวกัน
สาวน้อยช่วยงานแม่ทุกอย่าง จนกระทั่งงานศพผ่านพ้นไปด้วยดี
วันจันทร์
บรื้นนนน
กว่ารถประจำหมู่บ้านจะแล่นมาสักคัน ก็ต้องรอสามวันครั้งเห็นจะได้ สองแม่ลูกหอบหิ้วกระเป๋าใบใหญ่ เตรียมตัวออกเดินทางไปยังจุดหมายที่ได้วางแผนกันเอาไว้ โมรีตื่นเต้นหันหน้ามาถามผู้เป็นแม่ด้วยความดีใจ
"หนูจะได้ไปอยู่เมืองกรุง เมืองที่สวยๆ มีตึกสูงๆ แล้วหนูจะได้มีโทรศัพท์ใช้ เหมือนลูกป้าแต๋วเมียผู้ใหญ่บ้านใช่ไหมจ๊ะแม่"
"อืมมม ตอนที่พ่อแกยังไม่ป่วย เราปรึกษากันว่า..เมื่อไหร่ที่แกเรียนจบมัธยมปลาย เราจะย้ายไปใช้ชีวิตที่เมืองกรุงด้วยกัน แต่พ่อแกดันมาตายเสียก่อน คงเหลือแค่เราสองแม่ลูกที่ต้องไปตามฝัน"
"หนูอยากไปอยู่ที่นั่น อยากเห็นความเจริญ อยากรู้ว่าจะเหมือนในทีวีหรือเปล่า"
"เดี๋ยวไปถึงก็รู้เองนั่นแหละ"
สายพิณใช้เงินก้อนสุดท้ายในชีวิต ลงทุนไปกับหอพักแห่งหนึ่ง ซึ่งได้เพื่อนสมัยประถมคอยติดต่อช่วยเหลือ นำไปเข้าธนาคารเพื่อให้ผ่อนจ่าย กว่าเรื่องจะดำเนินเสร็จก็ใช้เวลาเป็นปี
ถือเป็นการวางแผนอนาคตล่วงหน้าไว้เป็นอย่างดี
เมืองกรุง
สองแม่ลูกใช้เวลาเดินทางหลายวัน เนื่องจากต้องขึ้นรถทัวร์หลายต่อ เมื่อมาถึงยิ่งทำให้โมรีตกใจเพราะผู้คนที่นี่แต่งตัวทันสมัย อีกทั้งมีโทรศัพท์มือถือเป็นปัจจัยสำคัญ มีตึกสูงใหญ่เสียดฟ้า อีกทั้งรถรามากมาย
หลังจากต่อรถสองแถวเข้ามายังซอยแห่งหนึ่ง ก็ปรากฏจุดหมายตามแผนที่ โมรีก้าวขาลงพร้อมกับแบกกระเป๋ายืนอึ้งตะลึงในทันที
หอพักเก่าราวกับเป็นตึกร้าง สีขาวถลอกกลายเป็นสีเทาปนสีดำแปดเปื้อนไปทั่ว แถมรายล้อมไปด้วยต้นไม้สูงใหญ่น่ากลัว อย่างกับในหนังสยองขวัญก็ไม่ปาน
"มะ แม่..ที่นี่แน่นะ" สาวน้อยมองไปรอบๆ
"ตอนเห็นในรูปไม่คิดว่าจะเก่าขนาดนี้ ก่อนฉันกับพ่อแกจะตัดสินใจ แต่ก็ไม่เป็นไร เพราะตอนนี้เราเป็นเจ้าของหอพักแห่งนี้แล้ว"
"นอกจากตึกจะเก่าบรรยากาศจะน่ากลัว แม่ดูชื่อหอด้วย..แปลกๆ นะ"
"แปลกยังไง?" สายพิณมองลูกสาวด้วยความสงสัย โมรีถอนหายใจแล้วอ่านชื่อหอทีละประโยค "หอ พัก แคล้ว มา รวย"
"เอาเถอะ อย่าพูดมาก อย่างน้อยมันก็มีคำว่ารวย! เรารวยแน่"
"ใช่เหรอแม่..."