“ผมคิดว่าคุณจะพาเลขาฯ แสนหวานของคุณมาด้วยซะอีก”
“อย่ายั่วโมโหฉันหลินจื่ออี้” บารเมษฐ์มองตาขุ่น “และไอ้ความสุภาพจอมปลอมของนายเก็บมันไปเถอะฉันไม่ต้องการ”
“โอเค”
หนุ่มไต้หวันหน้าหล่อไหวไหล่ก่อนจะเอนตัวเข้ากับพนักเก้าอี้ คว้าแก้วน้ำบนโต๊ะอาหารขึ้นมาดื่มอย่างสบายอกสบายใจ ส่วนบารเมษฐ์นั้นกำลังลงมือตักอาหารเข้าปาก
“นายเลือกฉันแบบนี้ไม่มีใครมีปัญหาอะไรใช่ไหม”
“มีสิ”
“อ้าว”
หลินจื่ออี้อุทานด้วยความแปลกใจ จ้องมองหน้าเพื่อนอย่างต้องการคำอธิบายมากกว่านี้ แต่อีกฝ่ายยังคงตักอาหารกินอย่างหน้าตาเฉย จนสุดท้ายหลินจื่ออี้ก็ร้อนรนทนไม่ไหวต้องเป็นฝ่ายเอ่ยปากถามเสียเอง
“มี แล้วนายจัดการยังไง”
“ฉันไม่ได้เลือกนายเพราะเส้นสาย ฉันเลือกนายเพราะต้องการคอนเนกชั่นและเพื่อผลประโยชน์ ฉันไม่รับความเห็นต่างของใครทั้งนั้น”
“ว้าว เผด็จการดีแฮะ” หลินจื่ออี้ยกยิ้มมุมปาก
“ฉันไม่ได้เผด็จการ แต่คัดสรรสิ่งที่ดีที่สุดเพื่อองค์กร”
“ฉันคือสิ่งที่ดีที่สุดที่นายกำลังพูดถึงใช่ไหม”
หนุ่มไต้หวันขยับยิ้มกว้าง แต่ชั่วพริบตาก็ต้องหุบยิ้มแทบไม่ทัน
“เงินของนายและคอนเนกชั่นของนายต่างหากคือสิ่งที่ดีที่สุดที่ฉันเลือกให้องค์กร”
หลินจื่ออี้แสร้งมองค้อนคนที่เป็นทั้งเพื่อนและคู่ค้า ซึ่งแน่นอนคนถูกมองไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรทั้งนั้น บารเมษฐ์ยังคงตักอาหารกินอย่างหน้าตาเฉย ทว่าการกินของเขาต้องชะงักเมื่อหลินจื่ออี้เปิดบทสนทนาใหม่
“เมื่อช่วงเช้าฉันเจอเลขาฯ แสนหวานของนายด้วย”
ชะงักไปชั่วครู่บารเมษฐ์ก็ตักอาหารกินต่อ ราวกับไม่ได้ยินเรื่องที่หลินจื่ออี้เพิ่งจะเอ่ยออกมาเมื่อครู่ หนุ่มไต้หวันหรี่ตามองเพื่อนคล้ายกำลังจับผิด
“นายไม่สนใจจะถามต่อหน่อยเหรอ”
“ทำไมต้องถาม”
“ถามหน่อยสิฉันอยากเล่า”
“จะเล่าไม่เล่าก็เรื่องของนาย ฉันไม่เกี่ยว”
“ไม่เกี่ยวจริงอะ”
“จะกินไม่กิน ถ้าไม่กินจะไปไหนก็ไป”
“ฉันเป็นคู่ค้าของนายนะ สุภาพกับฉันหน่อย”
“ฝันไปเถอะ”
เอ่ยเสียงเรียบแล้วบารเมษฐ์ก็ตักอาหารกินต่อ หลินจื่ออี้มองค้อนแต่สุดท้ายก็หายงอนไปเองแล้วเริ่มตักอาหารกินอย่างจริงจัง แต่ไม่วายเอ่ยถึงแสนหวานอีกครั้งราวกับต้องการป่วนประสาทท่านประธานบีเอสมอลล์
“ฉันเจอเลขาฯ นายตอนช่วงเช้า ตัวจริงก็ดูน่ารักดีแฮะ”
ได้ยินแบบนั้นบารเมษฐ์ก็คิ้วกระตุก แต่ถึงกระนั้นเจ้าตัวก็ยังควบคุมใบหน้าให้เรียบนิ่งได้ จนหลินจื่ออี้แทบจะสังเกตไม่เห็นว่าเขาสีหน้าเปลี่ยนไปครู่หนึ่ง แต่เพราะรู้จักกันมาเนิ่นนานหลินจื่ออี้จึงยกยิ้มมุมปากอย่างรู้ทัน
“ฮั่นแน่ คิ้วกระตุกเลยนะ”
หลินจื่ออี้กลั้วหัวเราะที่ในที่สุดความพยายามของเขาก็ไม่สูญเปล่า ทำเอาคนฟอร์มจัดอย่างบารเมษฐ์คิ้วกระตุกได้เขาดีใจเสียยิ่งกว่าการเจรจาธุรกิจสำเร็จเสียอีก
“แต่ฉันสงสัยอยู่นิดหน่อย”
“สงสัยอะไร”
ความอยากรู้ทำให้บารเมษฐ์เผลอถามออกไปอย่างลืมตัว แต่หลินจื่ออี้ก็ไม่คิดจะขัดจังหวะความอยากรู้ของบารเมษฐ์ แสร้งปล่อยผ่านสีหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัยนั้น
“ตอนที่ฉันพูดว่าคุณนี่เอง เลขาฯ แสนหวานของคุณบารเมษฐ์เท่านั้นละ จู่ๆ เลขาฯ ของนายก็หน้าแดงขึ้นมา แดงแบบแดงมาก แต่ฉันถามแล้วนะเธอบอกว่าร้อนก็เลยหน้าแดง”
มาถึงตรงนี้บารเมษฐ์ก็ยกยิ้มด้วยท่าทางผ่อนคลาย ความสงสัยที่ฉายชัดอยู่บนใบหน้าหล่อเหลาในตอนแรกไม่หลงเหลืออีกแล้ว เขาตักอาหารกินด้วยท่าทางเอร็ดอร่อยมากขึ้น แสนหวานไม่ใช่คนขี้ร้อนข้อนั้นเขารู้ดี แถมยังอยู่ในห้างสรรพสินค้าที่เครื่องปรับอากาศเย็นฉ่ำขนาดนี้จู่ๆ จะหน้าแดงเพราะร้อนได่อย่างไร ไม่มีทางเป็นไปได้ นอกเสียจากเจ้าตัวจะเขินอายจนหน้าแดง
“นายยิ้มอะไร” หลินจื่ออี้หรี่ตามมองอย่างจับผิด
“ฉันยิ้มเพราะเอ็นจอยกับการกิน สงสัยอะไรอีกไหม”
“เอ็นจอยกับการกินหรือเพราะเอ็นจอยกับ…โอ้ย ไอ้เมษฐ์ ไอ้เวร”
บารเมษฐ์ไม่ได้รู้สึกขุ่นเคืองเลยแม้แต่น้อยที่หลินจื่ออี้สบถถ้อยคำหยาบคายใส่ เป็นเขาเองที่แกล้งมันก่อนด้วยการยัดหอยจ๊อคำโตใส่ปากอีกฝ่าย
“ภาษาไทยนายดีขึ้นเยอะเลยนี่ ชัดถ้อยชัดคำดี”
“ฮึ่ย”
หลินจื่ออี้ได้แต่ทำท่าทางฮึดฮัด มองค้อนก็แล้ว ส่งสายตาเขียวขุ่นก็แล้ว แต่บารเมษฐ์ก็ไม่ได้มีท่าทีสะทกสะท้าน แถมเจ้าตัวยังตักอาหารกินด้วยท่าทางอันรื่นรมย์เกินกว่าปกติ สุดท้ายหลินจื่ออี้ก็เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ ยอมตักอาหารตรงหน้ากินไปพลางทำท่าฮึดฮัดไปจนกระทั่งจัดการอาหารจนอิ่มท้อง
“หวานเอาตัวนี้ค่ะคุณแพรว ลงบัญชีคุณเมษฐ์นะคะ”
แสนหวานหยิบชุดราตรีเปลือยไหล่ข้างหนึ่งสีฟ้าน้ำทะเลออกมาจากราวแขวนของห้องเสื้อแพรวที่ตั้งอยู่ในห้างบีเอสมอลล์ แพรวพรรณรายคือเจ้าของห้องเสื้อที่แสนหวานคุ้นเคยเป็นอย่างดีเพราะเคยมารับเสื้อสูทที่บารเมษฐ์สั่งตัดจากร้านนี้อยู่บ่อยๆ
“อิจฉาคุณหวานเลยนะคะ มีเจ้านายใจดี๊ใจดี”
“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกค่ะ แค่คืนนี้คุณเมษฐ์ให้หวานไปงานเลี้ยงลูกค้าแบบปัจจุบันทันด่วน แล้วอยากให้หวานใส่ชุดที่ดูเข้ากับชุดของคุณเมษฐ์เพื่อไม่ให้หวานดูแปลก คุณเมษฐ์ก็เลยจำต้องยอมควักกระเป๋าค่ะ”
“แบบนี้เหมือนสามีพาภรรยาไปออกงานเลยนะคะ”
คำแซวของแพรวพรรณรายทำให้แสนหวานหน้าร้อนผ่าวรามกับมีไฟกองใหญ่มาสุมอยู่ใกล้ๆ และแสนหวานก็เผลอระบายความเขินอายนั้นด้วยกันจับไม้แขวนเสื้อเอาไว้เสียแน่น ยิ่งแพรวพรรณรายหรี่ตามองด้วยสายตาล้อเลียน หญิงสาวก็ยิ่งหน้าร้้อนฉ่า
“พี่แพรวพูดอะไรก็ไม่รู้ ไม่ใช่แบบนั้นเสียหน่อยค่ะ หวานก็แค่ไปออกงานกับคุณเมษฐ์ในฐานะเลขาฯ เท่านั้นเองค่ะ ถ้าคุณเมษฐ์มาได้ยินเข้ามีหวังหวานหัวหลุดออกจากบ่าแน่ๆ หวานขอตัวไปลองชุดก่อนนะคะ”
ไม่รอให้แพรวพรรณรายตอบรับหรือปฏิเสธ แสนหวานก็เดินตัวปลิวไปด้วยความเขินอาย พวงแก้มสองข้างของเธอเปลี่ยนเป็นสีเรื่ออย่างน่ามอง และก็ทำให้เจ้าของห้องเสื้อที่มองตามแผ่นหลังร่างบางอดยิ้มอย่างเอ็นดูไม่ได้
“ไก่น้อยกำลังจะถูกสมภารจับกินแต่ไม่รู้ตัว ช่างน่ารักจริงๆ”