สหายร่วมตาย

1631 Words
ท่ามกลางเปลวหิมะที่โปรยปรายลงเบาบาง ดรุณีโฉมงามผู้ครอบครองเครื่องหน้าหวานซึ้งราวนางเซียนเดินถือตะกร้าพร้อมพลั่วด้ามเล็กๆเพื่อสำรวจหาสมุนไพรที่พอเก็บไปใช้ได้ และนอกเหนือไปจากนั้นก็ยังมีความมุ่งมาดปรารถนาที่แฝงไปด้วยภัยอันตรายสุดลึกเร้น ดงดอกสือซว่านสีดำที่เต็มไปด้วยด่านอสรพิษร้ายตรงเชิงหุบผาพิษคือจุดหมายลับๆของนางในครั้งนี้ แม้วั่นเสอร์ผู้เป็นอาจารย์และบุรุษปริศนาในคราวเดียวกันจะคอยรั้งนางไว้ แต่อู๋เฟยเฟิ่งก็อดไม่ได้ที่จะฝืนคำสั่งและเดินข้ามเขตที่เขากำหนดเอาไว้ให้ เนื่องจากบิดาของนางมีดวงตาที่มืดบอดเพราะถูกบังคับให้ดื่มพิษร้ายแรงเมื่อหลายปีก่อน เมื่อทราบจากตำราโอสถลับของวั่นเสอร์ว่าเกสรดอกพลับพลึงดำที่หายาก คือหนึ่งในเครื่องยาที่จะช่วยให้บิดากลับมามองเห็นได้อีกครั้ง อู๋เฟยเฟิ่งก็เต็มใจที่จะเสี่ยง ผงเครื่องหอมป้องกันงูถูกหญิงสาวชโลมไว้ทั่วผิวกายและเสื้อผ้าจนถ้วนทั่ว อู๋เฟยเฟิ่งสูดลมหายใจเข้าจนเต็มปอดเพื่อเรียกความกล้าทั้งหมดไว้ในกายตน ก่อนจะก้าวขาข้ามไปสู่เขตป่าหุบผาพิษที่เต็มไปด้วยอสรพิษนับหมื่นคลานวนเวียน มองเช่นไรก็ไม่อาจเห็นพื้นดินด้านล่างเลยสักนิด อาจเพราะรู้นิสัยความดื้อรั้นของหญิงสาว วั่นเสอร์จึงมอบนกหวีดหยกให้นางแขวนติดตัวไว้หนึ่งชิ้น นกหวีดชนิดนี้ประหลาดนัก ครั้งหนึ่งเฟยเฟิ่งเคยทดลองเป่าเล่นจนคอแทบแตกก็ยังไม่เกิดเสียง หากแต่บุรุษสวมอาภรณ์แดงผู้เป็นอาจารย์ก็จะมาปรากฏตัวใกล้ๆนางเสมอ พร้อมลงโทษด้วยการเขกหน้าผากนวลเบาๆ ก่อนจะสะบัดชายเสื้อคลุมหายไปอย่างเป็นปริศนาในทุกๆครั้ง ด้วยเหตุนี้ นางจึงมั่นใจยิ่งนัก ว่าถ้าเกิดเหตุไม่คาดฝันใดๆ วั่นเสอร์ก็ต้องมาช่วยนางไว้ได้ทันเวลา หรืออย่างน้อยๆ ถ้ารั้งลมหายใจของนางไว้ไม่อยู่แล้วจริงๆ อาจารย์ประหลาดที่น่าจะไม่ใช่มนุษย์ผู้นี้ก็น่าจะเต็มใจรับช่วงต่อ ช่วยรักษาดวงตาของบิดาให้กลับมามองเห็นได้อีกครั้งตามที่นางมุ่งมาดปรารถนา โชคดีที่ฤทธิ์ของผงหอมนั้นได้ผล อู๋เฟยเฟิ่งค่อยๆข้ามผ่านสัตว์เลื้อยคลานและงูพิษหลากชนิดไปทีละน้อย ป่าพลับพลึงดำปรากฏอยู่ตรงหน้าในระยะไม่เกินห้าก้าวของบุรุษ แววตาของหญิงสาวเปล่งจึงประกายขึ้นมาด้วยความพอใจ ก่อนจะสะดุ้งจนสุดตัวและพลาดล้มลงในดงงูพิษ ด้วยมีร่างของสตรีนางหนึ่งลอยละลิ่วลงมาจากเบื้องบนตกกระทบกับพื้นดินต่อหน้าต่อตา จนสองหูได้ยินเสียงแตกลั่นของกระดูกในกายนางผู้นั้นอย่างชัดเจน เมื่อหลัวซูซินรู้สึกตัวอีกที ร่างของนางก็ตกกระแทกพื้นลงอย่างหนัก ตามมาด้วยความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสจนไม่สามารถเปล่งเสียงได้ สตรีผู้เคราะห์ร้ายเห็นลำตัวช่วงล่างของตนเองหักพลิกหงายไปอีกทาง ในขณะที่ร่างกายท่อนบนกลับหันตะแคงมาสบตากับสตรีอีกนางหนึ่งที่กำลังนอนเบิกตาโพลงจ้องร่างที่น่าเวทนาของตนอยู่ด้วยความประหลาดใจ “เจ้า…เจ้าเป็นใครกัน? และเพราะเหตุใด เจ้าจึงตกจากผามาในสภาพนี้” อู๋เฟยเพิ่งพยายามประคองตัวเองให้ลุกขึ้น หากแต่การลื่นล้มอย่างกระทันหันทำให้นางต้องพลาดท่าแก่อสรพิษร้ายที่จำเป็นต้องฉกกัดนางเพื่อปกป้องตัวเอง ผงหอมป้องกันงูที่อุตส่าห์ฉาบทามาทั้งตัวดูท่าจะไม่เป็นผลเอาเสียเลยในยามนี้ พิษร้ายของพวกมันค่อยๆซึมเข้าสู่กระแสเลือด และมีอิทธิพลมากพอที่จะทำให้การเคลื่อนไหวของนางเริ่มช้าลง แต่ถึงกระนั้นก็ยังอดไม่ได้ที่จะห่วงใครอีกคน สตรีผู้เคราะห์ร้ายนางนี้ยังมีลมหายใจอยู่ แม้ร่างกายเปลือยเปล่านั้นจะดูบิดเบี้ยวและฟกช้ำ แต่ดวงตาของอีกฝ่ายก็ยังเบิกโพลงและพยายามจะพูดอะไรออกมาอยู่เสมอ แต่ด้วยระยะที่ไกลห่างกันพอสมควร อู๋เฟยเฟิ่งจึงได้ยินคำกล่าวของนางไม่ชัดนัก เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้สวมเสื้อผ้า อู๋เฟยเฟิ่งจึงกลั้นใจข่มความเจ็บร้าวจากพิษงูและกลืนยาต้านพิษลงไปถึงสองเม็ด พยายามคว้านกหวีดหยกเป่าเรียกอาจารย์หนุ่มผู้แสนประหลาดให้ตามมาช่วยเหลือ ก่อนจะถอดเสื้อคลุมกันหิมะของตนเองออก เพื่อหวังจะนำไปสวมให้แก่สตรีผู้นั้น หากแต่ไปไม่ทันถึง พิษที่เริ่มซึมไปตามร่างกายก็ออกฤทธิ์จนขาทั้งสองข้างเริ่มคลานไม่ได้อีก ในสายตาของอู๋เฟยเฟิ่ง สตรีผู้มีเค้าความงดงามนางนั้นกำลังนอนไร้เรี่ยวแรงอยู่ท่ามกลางดงอสรพิษเช่นเดียวกัน ใบหน้าที่สมบูรณ์แบบแต่บอบช้ำกำลังซีดเซียวและเริ่มเจือไปด้วยสีเขียวจางๆอย่างเห็นได้ชัด หากแต่นางก็ยังคงมีน้ำใจ จึงพยายามอย่างยิ่งที่จะพาร่างอันใกล้ไร้ลมหายใจของตนเองคลานเข้ามาหาหลัวซูซิน แล้วแบ่งปันชายเสื้อคลุมกันหิมะที่ถอดรอไว้แล้วก่อนหน้านี้ ยื่นมาปกปิดร่างเปล่าเปลือยของอีกฝ่ายเอาไว้จนมิดชิด พร้อมลูบศีรษะของคนที่เพิ่งมาใหม่ด้วยใจอาทรภายใต้รอยยิ้มอันสวยสด.. “รุ่ยอ๋อง…อาซัน…ฝากบอกเขา…รัก…ข้ารัก…” ยิ่งอีกฝ่ายพยายามจะพูด เลือดที่คั่งอยู่ภายในก็ยิ่งทะลักล้นออกมาทางริมฝีปาก แม้จะเจ็บปวดทรมานจากพิษงูมากเพียงใด แต่อู๋เฟยเฟิ่งก็รู้สึกได้ว่าความทรมานที่อีกฝ่ายได้รับมานั้นมีมากกว่า แววตาที่รวดร้าวและสภาพที่ได้เห็นอยู่ตรงหน้าทำให้อู๋เฟยเฟิ่งเวทนานางอย่างจับใจ สตรีผู้นี้คงถูกหยามเกียรติมาจนสิ้นสภาพ แล้วสุดท้ายก็ถูกนำมาทิ้งไว้ ณ ที่แห่งนี้ ต้องหมดลมหายใจลงโดยปราศจากคนที่รักและอาทร หากไม่มีนางประสบเคราะห์กรรมอยู่เป็นเพื่อนก็คงต้องจากไปอย่างเดียวดาย ช่างน่าเวทนาเป็นยิ่งนัก… “อาซัน…ข้า…” “โธ่เอ๋ย…แม่นางน้อย ข้าคงไปบอกอาซันแทนเจ้าไม่ได้แล้ว เพราะข้าเองก็อาจจะต้องตายด้วยเช่นเดียวกัน” อู๋เฟยเฟิ่งยังคงลูบศีรษะปลอบใจอีกฝ่ายทั้งรอยน้ำตา แต่เอาเถิด…ไหนๆก็เตรียมใจเอาไว้แล้ว ถ้าวั่นเสอร์มาช่วยนางทั้งสองไว้ไม่ทัน อู๋เฟยเฟิ่งก็ต้องหมดลมหายใจลงอยู่ดี โชคดีแค่ไหนแล้วที่ยังมีสตรีอีกนางมาตายเป็นเพื่อน มองเผินๆแล้วก็น่าจะมีอายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับนางนี่แหละ ถ้าเช่นนั้นก็ถือเสียว่ามีน้องสาวเพิ่มมาอีกคนเถิด.. “ก็ถือว่าสวรรค์ยังปรานี ที่ไม่ทิ้งให้ข้าต้องตายอย่างเดียวดาย จึงได้ส่งเจ้าให้มาอยู่เป็นเพื่อนข้า แต่ถึงอย่างไรเสียข้าก็ยังไม่อยากให้เจ้าตายอยู่ดี เพราะฉะนั้น เจ้าจะตายไม่ได้นะ เหม่เหม...” คำเรียกอย่างทะนุถนอมจากอีกฝ่ายทำให้หลัวซูซินรู้สึกตื้นตันจนน้ำตาไหลพราก เพราะตั้งแต่เกิดมานางต้องทนกับการถูกกดขี่และลอบทำร้ายจากพี่น้องต่างมารดาอยู่เนืองๆ แม้จะสืบสายเลือดมาจากตระกูลเดียวกัน แต่ก็ยังไม่มีใครแม้สักคนที่คิดจะเรียกนางอย่างจริงใจว่าเหม่เหม... ด้วยความซาบซึ้งใจ หลัวซูซินจึงพยายามซบใบหน้าลงกับฝ่ามือของอีกฝ่ายที่กำลังซับน้ำตาให้ จากหางตานางเหลือบเห็นพี่สาวคนงามที่เพิ่งพบเจอกันคว้านกหวีดที่ห้อยคอขึ้นมาเป่า แต่กลับไม่มีเสียง พิษจากงูที่กัดฉกเข้ามาตามร่างกายทำให้ทั้งสองนางเริ่มปรือตา สตรีที่อยู่ภายใต้อาภรณ์อันเลอค่ากระตุกกายงอตัวด้วยความทุกข์ทรมาน เลือดสีแดงฉานกระอักออกมาจากหางตาและริมฝีปาก แต่ถึงกระนั้นนางก็ยังกอดหลัวซูซินเอาไว้แน่นราวกับแม่นกที่กางปีกปกป้องลูก “พี่หญิง...” ด้วยสภาพร่างกายที่แตกร้าว ส่งผลให้หลัวซูซินทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าการส่งเสียงเรียก คำนับญาติจากฝ่ายที่เจ็บกว่าทำให้พี่สาวคนงามเริ่มคลี่ยิ้ม แม้จะเป็นรอยยิ้มที่เจือไปด้วยความเจ็บปวดแต่ก็ยังงดงามนัก พิษงูที่วิ่งวนไปตามกระแสเลือดทำให้หลัวซูซินคลายความเจ็บปวดตามร่างกายไปได้ชั่วขณะ เลือดในกายเริ่มเปลี่ยนอุณหภูมิจนรู้สึกเย็นยะเยือกไปทั่วร่าง พี่สาวคนงามยังคงส่งยิ้มให้ทั้งๆที่ตัวเองก็สุดแสนจะทรมาน เสียงแสกสากคล้ายของหนักถูกลากเลื่อนดังเข้ามาใกล้ตัวอยู่เรื่อยๆ วินาทีนั้นหลัวซูซินเหลือบไปเห็นพญาอสรพิษสีแดงขนาดใหญ่กำลังแผ่พังพานอยู่เหนือศีรษะ นางพยายามกรีดร้องออกมาด้วยความหวาดกลัวอย่างสุดขีด ทั้งๆที่ลำคอไม่อาจส่งเสียงได้ ก่อนที่อาการรับรู้ทั้งหมดจะดับวูบไป หลัวซูซินคล้ายได้ยินเสียงของพี่สาวร่วมชะตากรรมเรียกหาใครบางคนที่นางเองก็ยังไม่รู้จัก... “ทะ...ท่านอาจารย์...ในที่สุด ท่านก็ยอมมาช่วยข้า...”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD