“มื่อนี่ไปฮดผักเด้อบัว พ่อสิเข้าป่า” (วันนี้ไปรดน้ำผักนะบัว พ่อจะไปเข้าป่า)
พ่อหันมาบอกในขณะที่เดินไปตักน้ำกิน หลังจากที่เพิ่งผละออกไปจากถาดอาหารที่วางอยู่บนแคร่ใต้ถุนบ้าน
“เจ้าสิไปเฮ็ดหยัง แฮงบ่ซำบายอยู่” (พี่จะไปทำไม ยิ่งไม่สบายอยู่)
“จริงจ้ะ ฉันว่าพ่อพักก่อนดีกว่า ช่วงนี้เราก็ขายผักได้เรื่อย ๆ”
ฉันมองพ่อที่กินน้ำเข้าไปได้ไม่นาน ก็สำลักออกมายกใหญ่ด้วยสายตาเป็นห่วง พักหลัง ๆ มานี้อาการป่วยของเขาทรุดหนัก จากที่เคยร่างกายกำยำ ตอนนี้เริ่มหนังหุ้มกระดูกข้อแขนแล้ว
“ใกล้สิฮอดงวดส่งดอกเพินแล้ว เงินยังบ่พอ” (ใกล้จะถึงงวดส่งดอกแล้ว เงินยังไม่พอเลย)
ฉันไม่รู้หรอกนะว่าพ่อจ่ายดอกเบี้ยเดือนละเท่าไหร่ รู้แค่เพียงหามาเยอะแค่ไหนก็ไม่พอจ่ายเสียที
“บ่เข้าไปลึกดอก ไปจักคาวกะสิมา” (ไม่เข้าไปลึกหรอก ไปไม่นานก็จะกลับ)
พ่อพูดพร้อมกับเดินไปสวมใส่เสื้อตัวเก่งและเตรียมจะหยิบตะกร้าที่ใช้สำหรับเก็บสมุนไพร แต่จู่ ๆ เขาก็หยุดนิ่งไป ก่อนจะล้มฟุบลงไปกับพื้น
“พ่อ!!”
ฉันอุทานเสียงหลง รีบทิ้งถาดอาหารที่กำลังจะถือเข้าไปในครัวแล้วเข้าไปพยุงพ่อขึ้นมาทันที
“พ่อเป็นอะไร”
“คือสีวิน ๆ บุ๊” (อยู่เฉย ๆ ก็หน้ามืดน่ะ)
เขาหลับตาพริ้มอย่างเหนื่อยอ่อน ก่อนจะพยายามพยุงตัวเองขึ้นโดยมีฉันกับแม่ช่วยพยุงอีกแรง
“ดีนะล้มอยู่บ้าน ยังบ่เข้าป่า” (ดีนะล้มที่บ้าน ยังไม่เข้าป่า)
แม่รีบเดินไปที่ตะกร้าที่ห้อยอยู่เสากลางบ้าน แล้วหยิบยาดมขึ้นมาจ่อจมูกให้กับพ่อ ส่วนฉันก็ใช้พัดโบกเบา ๆ ให้เขารู้สึกดีขึ้น
“ข่อยว่าไปหาหมอซะไป๋” (ฉันว่าไปหาหมอดีกว่า)
แม่ออกความคิดเห็นด้วย/สีหน้าเคร่งเครียด
“บ่เป็นหยัง...” (ไม่เป็นไร)
“เป็นโพด บัวไปเอารถมา พาพ่อมึงไปหาหมอ” (เป็นสิ บัวไปเอารถมา พาพ่อแกไปหาหมอ)
แม่จัดแจงทุกอย่างด้วยตัวเอง ไม่ฟังคำคัดค้านจากพ่อทั้งสิ้น ฉันก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี จนในที่สุดก็สามารถเอาพ่อขึ้นซ้อนท้ายรถแล้วขับมายังโรงพยาบาลประจำอำเภอได้
“จักสิพามาเฮ็ดหยัง นอนพักกะไคแล้ว” (ไม่รู้จะพามาทำไม นอนพักก็หายแล้ว)
พ่อบ่นอุบตลอดทาง แต่ฉันก็แสร้งหูทวนลมไปจนกระทั่งขับรถมอเตอร์ไซค์คันเก่ามาถึงโรงพยาบาล
ขั้นตอนนี้พ่อของฉันแทบไม่ต้องทำอะไรเลย แค่นั่งรออย่างเดียว เพราะหน้าที่ยื่นเอกสารทุกอย่าง ฉันทำเองทั้งหมด
โชคดีที่เรามากันช่วงบ่าย จึงไม่ค่อยมีผู้คนหนาตา รอเพียงไม่นานก็ถึงคิวตรวจแล้ว
“ถ่าพ่ออยู่นี่ล่ะ เดี๋ยวพ่อมา” (รอพ่ออยู่นี่แหละ เดี๋ยวพ่อมา)
เขาลุกขึ้นจากเก้าอี้อย่างยากลำบาก แม้จะมีฉันช่วยพยุงอยู่
“เดี๋ยวฉันเข้าไปเป็นเพื่อน”
“บ่ต้อง ๆ ถ่าอยู่นี่ล่ะ” (ไม่ต้อง ๆ รออยู่นี่แหละ)
เขาออกคำสั่งเสียงแข็งอย่างที่ไม่เคยทำ ฉันจึงต้องยอมหยุดชะงักแล้วมองตามแผ่นหลังพ่อที่เดินเข้าห้องตรวจไป หวังว่าจะไม่มีอะไรให้ต้องห่วงนะ
พ่อหายเข้าไปในห้องตรวจอยู่นานมาก ในที่สุดก็เดินออกมาด้วยสีหน้าอิดโรย ฉันจึงต้องรีบเข้าไปประคองมานั่งเก้าอี้
“หมอว่าไงบ้างพ่อ”
“รอผลตรวจ”
เขาตอบกลับมาสั้น ๆ พลันเหม่อลอยราวกับกำลังคิดอะไรอยู่ในหัว สลับกับถอนหายใจออกมาเป็นระยะ พอถามก็บอกว่าไม่มีอะไร
น่าแปลกเหมือนกันที่ตอนนี้ผู้ป่วยก็แทบไม่มีแล้ว แต่หมอก็ยังไม่เรียกไปฟังผลตรวจเสียที
“กลับปะ”
“กลับได้ไงล่ะพ่อ ยาก็ยังไม่ได้ ผลตรวจก็ยังไม่รู้”
“ดนคัก” (นานเกิน)
เขาเริ่มหงุดหงิด คงทั้งเหนื่อยและเพลีย อยากนอนพักเต็มทนแล้ว
“รออีกหน่อยนะพ่อ คงใกล้แล้วแหละ”
ฉันลูบแขนคนข้างกันเบา ๆ ให้เขาใจเย็น เป็นจังหวะที่นางพยาบาลชุดขาวสะอาดตาเดินเข้ามาเรียก
“คุณหมอขอพบแค่ญาติคนไข้ก่อนนะคะ”
“จ้ะ เดี๋ยวฉันมานะพ่อ”
ฉันหันไปบอกพ่อแล้วก็รีบเดินตามหลังคุณพยาบาลเข้าห้องเพื่อพบกับคุณหมอ พอมาถึงก็พบกับชายวัยกลางคนในชุดกาวน์สีขาวที่กำลังนั่งหน้าเครียดกับกองแฟ้มตรงหน้าอยู่
“เป็นอะไรกับคนไข้ครับ”
“ลูกสาวจ้ะ”
ฉันทิ้งก้นลงเก้าอี้พร้อมกับยกมือขึ้นสวัสดีอย่างเกรงใจ
“รู้ใช่ไหมครับว่าคุณพ่อเคยมาหาหมอช่วงสองเดือนก่อน”
“จ้ะ รอบนั้นลุงฉันเป็นคนพามา”
น่าจะสองเดือนได้มั้ง แต่พ่อก็บอกว่าเป็นแค่อาการไอธรรมดา ไม่ได้มีอะไร กินยาเดี๋ยวก็หาย แต่ยิ่งนานก็ไม่เห็นจะหาย ซ้ำร้ายมีแต่ทรุดลงไปทุกวัน
“จริง ๆ หมอโทรแจ้งผลตรวจไปตั้งนานแล้ว แต่ฝั่งคนไข้ปฏิเสธการรักษา ไม่ทราบว่าติดปัญหาตรงไหนหรือเปล่าครับ”
“โทรแจ้งเหรอจ๊ะ? ฉันไม่ทราบเรื่องนี้เลยจ้ะ รอบก่อนพ่อบอกแค่ว่าเป็นอาการไอธรรมดา ไม่ได้มีอะไร”
“อ๋ออ”
หมอพยักหน้าเบา ๆ ราวกับเริ่มไล่เรียงอะไรได้บ้างแล้ว
“งั้นหมอขอชี้แจงอย่างตรงไปตรงมานะครับ คุณหมายเป็นมะเร็งปอดครับ ผลตรวจออกตั้งแต่รอบแรกแล้ว ตอนนั้นแค่ระยะที่สอง แต่ตอนนี้ลามไปถึงระยะที่สามแล้ว ถ้าไม่รีบเข้ารับการรักษา เชื้อมะเร็งจะลุกลามไปเร็วกว่านี้นะครับ”
“...”
ฉันนิ่งงันไปอย่างตกตะลึง ใจที่เต้นระส่ำตกลงไปกองที่เท้า หูมันอื้อ สายตาไม่โฟกัสอะไรทั้งสิ้น มันเลื่อนลอย และสิ้นหวังในคราวเดียวกัน
ถ้าหมอแจ้งผลตรวจนานแล้ว นั่นเท่ากับว่าพ่อรู้เรื่องนี้มาตลอด เพียงแค่ไม่ยอมบอกใครงั้นเหรอ...
ฉันนั่งคุยรายละเอียดกับคุณหมออยู่ไม่นานก็เดินออกมา ก่อนจะตรงไปที่พ่อที่กำลังตั้งตารออยู่
“ฮู่แล้วแมนบ่” (รู้แล้วใช่ไหม)
พ่อถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ จ้องมองฉันที่น้ำตาเอ่อคลอแล้วขยับเข้าไปกอดเขาเอาไว้แน่น บัดนี้น้ำตาที่กลั้นเอาไว้ไม่อาจฝืนได้อีกต่อไป
“ฮึก ทำไมพ่อไม่บอกฉันล่ะ เราต้องหาทางออกไปด้วยกันสิ”
น้ำตาเริ่มอาบลงทั้งสองแก้ม ทรมานหัวใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ขนาดพ่ออยู่ตรงหน้าฉัน และเรากำลังกอดกันแน่น แต่ถ้าฉันต้องเสียเขาไปจริง ๆ ล่ะ ฉันจะอยู่ยังไง
“มันบ่มีไผอยู่ค้ำฟ้าดอกลูกเอ๊ย” (มันไม่มีใครอยู่ยงคงกระพันหรอกลูก)
มือสาก ๆ ลูบเส้นผมฉันอย่างแผ่วเบาเพื่อปลอบใจ ในขณะที่ปล่อยให้น้ำตาหลั่งไหลออกมาอย่างไม่ปิดซ่อน
“เราไปรักษาที่จังหวัดเถอะนะพ่อ ตอนนี้แค่ระยะที่สาม ยังไงก็ทัน”
ฉันพูดออกมาด้วยแววตาแดงก่ำ รีบรบเร้าขอให้เขาเข้ารับการรักษาที่ถูกวิธี
“แค่สิใซ่หนี้เพินยังบ่มีเงินอยู่ สิเอาเงินไสไปนอนโรงบาล” (แค่จะใช่หนี้เขายังไม่มีเลย จะเอาเงินที่ไหนไปนอนรักษาที่โรงพยาบาล)
พ่อปาดน้ำตาให้กับฉันลวก ๆ พร้อมกับส่งยิ้มบาง ๆ ให้ด้วยความทะนุถนอม
“บ่ต้องห่วงพ่อดอก ใบไม้เหี่ยวกะปล่อยให้มันหล่นจากต้นโลด บ่ต้องไปฝืน พ่อบ่ห่วงมึงดอก จักหน่อยมึงกะสิแต่งงานกับปลัดแล้ว ฝากเอาแม่มึงไปอยู่นำแนเด้อ” (ไม่ต้องห่วงพ่อหรอก ใบไม้เหี่ยวก็ปล่อยให้มันหล่นจากต้นเถอะ อย่าไปฝืน พ่อไม่ห่วงแกหรอกนะ อีกหน่อยแกก็จะแต่งงานกับปลัดแล้ว ฝากเอาแม่ไปอยู่ด้วยนะ)
“ฮึก”
ฉันเม้มปากสะอื้นไห้ ทำไมต้องพูดในเชิงสั่งเสียแบบนี้ด้วย เขาต้องไม่ทิ้งพวกเราไปง่าย ๆ แบบนี้สิ
“สิห่วงแต่อีชบานี่ล่ะ มึนจังซี่ไผสิเอามันเป็นเมีย เทิงแม่เก่ามันจ้องสิเอาอีก คันได้กับบักหิรัญกะสิไค จังเบิ่งมันกุ้ม” (จะห่วงก็แต่นังชบา ซนแบบนี้ใครจะอยากได้เป็นเมีย ไหนจะแม่เก่าจ้องจะเอาชีวิตอีก ถ้าได้กับหิรัญ... ก็คงจะดี)
“พ่ออย่าคิดแบบนี้สิ อย่าเพิ่งท้อ หมอบอกว่ามันหายได้นะ”
“ต้องรวยพุ่นแหล่วจังสิเซา เฮามันคนทุกข์คนยากเนาะ” (ต้องรวยก่อนถึงจะหาย ไอ้เรามันก็เป็นแค่คนจน)
เขาตอบกลับด้วยท่าทางสบาย คล้ายกับปลงมาได้สักพักใหญ่ ๆ แล้ว
“เรื่องนี้อย่าบอกอีชบาเด้อ” (เรื่องนี้อย่าบอกนังชบานะ)
“จ้ะ”
ฉันรับปาก เนื่องจากไม่อยากให้ชบารู้เรื่องนี้เช่นกัน เพราะแค่เรื่องของตัวเอง ชบาก็แทบจะแบกรับไม่ไหวอยู่แล้ว
“แล้วแม่ล่ะจ๊ะ เราบอกแม่ดีไหม”
“พ่อสิบอกเองดอก” (พ่อจะบอกเอง)
ฉันก็ได้แต่เฝ้าหวังและภาวนาอยู่ในใจ ขอให้แม่รบเร้าพ่อเข้ารับการรักษาได้สำเร็จ ขอให้พ่อปลอดภัย เราอยู่ด้วยกันสี่คนมาตั้งแต่ไหนแต่ไร หากต้องขาดใครคนใดคนหนึ่งไป ฉันคงทำใจไม่ได้จริง ๆ