หลังจากที่ชบาต้องย้ายไปอยู่สำนักพ่อหมอหิรัญ ฉันก็ทำงานหนักขึ้น เพราะต้องทำงานคนเดียว จากเก็บผักได้ปริมาณมากก็เก็บได้น้อยลง แต่ยังคงมาขายผักที่ตลาดทุกวัน เพราะยังไงก็ต้องกินต้องใช้
“เก็บแล้วเบาะแม่ค้า” (เก็บแล้วเหรอแม่ค้า)
“จ้ะ ผักหมดแล้ว”
“ขายดีเนาะ” (ขายดีจังเลยนะ)
ฉันยิ้มบาง ๆ ส่งกลับไป จริง ๆ ก็ไม่ใช่เพราะขายดีอะไรหรอก แต่เพราะเก็บผักได้ปริมาณน้อยลงต่างหาก
ตอนนี้ก็เย็นมากแล้ว ฉันจึงรีบเก็บข้าวของใส่ตะกร้า และเตรียมที่จะเดินกลับมาที่รถ ทว่าสายตากลับเหลือบไปเห็นคุณปลัดที่กำลังเดินมาที่แผงขายผัก เขาต้องมารับฉันกลับบ้านแน่ ๆ
บอกเลยว่าวันนี้ฉันเหนื่อยมาก เพราะตั้งแต่เช้าจรดเย็นต้องหมกตัวอยู่ที่สวนผักตลอด ยังไม่พร้อมที่จะเหนื่อยใจไปมากกว่านี้จริง ๆ
เมื่อมีโอกาสที่จะไหวตัวหลบหนี ฉันก็ไม่รีรอที่จะทำ รีบเก็บข้าวของอย่างพะรุงพะรังแล้ววิ่งหนีออกมาอีกทาง แต่คงไม่ทันระวังจึงทำให้วิ่งชนกับคนที่เดินสวนมาอย่างจัง
ผลัก!
“ขอโทษจ้ะ ๆ”
ฉันรีบผงกหัวขอโทษขอโพยยกใหญ่ ในขณะที่ก้มลงเก็บข้าวของที่เกลื่อนพื้น โดยมีคนร่างสูงย่อตัวลงมาเก็บช่วย
“เจ็บตรงไหนหรือเปล่า”
“ไม่เจ็บจ้ะ ขอโทษนะจ๊ะ ฉันไม่ได้ตั้ง...”
พูดไม่ทันจะจบฉันก็ต้องกลืนคำพูดทุกอย่างกลับลงคอ เพราะทันทีที่เงยหน้า ถึงได้รู้ว่าผู้ชายที่ฉันวิ่งเข้ามาชนเขาอย่างจัง คือพี่ทิศ!
“พะ พี่ทิศ”
เสียงเรียกที่แทบจะมีเพียงลมพร้อมกับสายตาอ้ำอึ้งเผลอทำออกไปโดยไม่ได้ตั้งใจ ก่อนจะคลำหาสติของตัวเองเจอ
“แล้วรีบไปไหน หน้าตาตื่นเชียว”
จริงสิ!
ฉันหันกลับไปที่ด้านหลัง พบว่าตอนนี้ปลัดกำลังกวาดสายตามองหาฉันอยู่ จึงรีบยกผ้าขึ้นมาคลุมหัวแล้วลากแขนพี่ทิศเข้ามาหลบที่มุมห้องน้ำที่อยู่ด้านหลังสุดของตลาด
“หลบใครเหรอ”
“ชูววว”
ฉันยกนิ้วชี้ขึ้นทาบใส่ปากพร้อมกับส่งสัญญาณให้เขาเบาเสียง ก่อนที่จะชะเง้อคอออกไปส่องดูว่าปลัดเขากลับไปแล้วหรือยัง เมื่อเห็นแผ่นหลังหนาเดินกลับไปทางเดิมก็โล่งใจ เขาคงกลับไปรอฉันที่บ้านแล้วแหละ
“หลบใครเหรอ ให้รู้ด้วยสิ”
เสียงที่ใกล้ในระดับเกือบจะชิดใบหูทำให้ฉันสะดุ้ง รีบหันควับกลับไปมองถึงได้พบว่าพี่ทิศกำลังยื่นหน้าเข้ามาใกล้มาก มากเสียจนปลายจมูกเราแทบจะชนกันอยู่แล้ว
“เอ่อ...”
ฉันอ้ำอึ้งคิดคำแก้ตัวออกไป และที่อยากทุบหัวตัวเองยิ่งกว่าเดิม คือฉันจะลากเขามาหลบด้วยทำไมกัน บัวเอ๊ยบัว ตอนนั้นคิดอะไรอยู่เนี่ย
“ว่าไง หลบใครเหรอ”
“ชะ ชบาจ้ะ เล่นซ่อนแอบกัน”
ฉันโกหกออกไปพร้อมกับก้มหน้าหลบ ใจเริ่มเต้นระส่ำขึ้นมาอีกรอบ มือสองข้างเริ่มเย็นเฉียบจนต้องยกมันขึ้นมากระชับสายกระเป๋าเอาไว้แน่น
“ขายผักหมดแล้วเหรอ”
“จ๊ะ?”
จำได้ว่าตอนเจอกัน ฉันปิดหน้าปิดตาเอาไว้สนิทจนเห็นแค่ลูกตา ทำไมเขาถึงยังจำฉันได้อีกล่ะ
“อ๋อ ขายหมดแล้วจ้ะ สารวัตร... จะ จำฉันได้ด้วยเหรอจ๊ะ”
เหงื่อเริ่มซึมออกมาเต็มมือ ทั้งที่พยายามคุมเสียงไม่ให้สั่น แต่ยิ่งพยายามควบคุม น้ำเสียงที่เปล่งออกไปก็ยิ่งแปลกหู ซ้ำยังปั้นหน้าไม่ถูก เอาแต่หันมองไปทางอื่นสลับกับมองหน้าเขาเป็นระยะ
“ก็เกือบจำไม่ได้แล้วแหละ สวยขึ้นตั้งเยอะ”
“...”
เคยรู้สึกเหมือนตัวเบาหวิวลอยอยู่กลางอากาศหรือเปล่า นั่นแหละ... ความรู้สึกของฉันในตอนนี้ มันทั้งดีใจและตื่นเต้นจนอยากจะเดินหนีไปเสียดื้อ ๆ แต่กลับทำได้เพียงยืนแข็งทื่อเป็นท่อนไม้
“ป่านนี้ชบาหาพี่สาวไปถึงไหนแล้ว ไม่ใช่นั่งร้องไห้เป็นเด็กเหมือนตอนนั้นนะ”
ฉันยิ้มเจื่อนออกมาบาง ๆ เมื่อเขายังคงจำเหตุการณ์นั้นได้แม่น ยังรู้สึกอับอายไม่หายเลย
“แล้วสารวัตรมากับใครเหรอจ๊ะ”
“มาคนเดียว เบื่อ ๆ เลยมาเดินเล่นน่ะ แต่ไม่ต้องเรียกพี่ว่าสารวัตรหรอก เรียกพี่ทิศเหมือนเดิมก็ได้”
ทั้งหล่อ ทั้งเก่ง แถมยังไม่ถือตัวอีก ฉันนี่ชอบคนไม่ผิดจริง ๆ สินะ
“หน้าพี่มีอะไรติดเหรอ”
“เปล่านี่จ๊ะ”
“แล้วทำไมต้องจ้องขนาดนั้นล่ะ”
“...”
ฉันเพิ่งรู้ตัวว่าทำอะไรแบบนั้นลงไป จึงรีบเบนหน้าหลบในทันที
“หึ”
คนตรงหน้าแค่นหัวเราะเบา ๆ ให้กับท่าทีลนลานของฉัน ก่อนจะขยับเข้ามาใกล้อีกนิดจนฉันต้องถอยหลังไปชิดกำแพงโดยไม่รู้ตัว
“พะ พี่ทิศ! จะทำอะไรจ๊ะ”
ฉันเบิกตาโพลง ใจที่เต้นระส่ำก็ยิ่งเต้นโครมครามหนักเข้าไปใหญ่
“แค่จะหยิบใบไม้ออกให้”
มือหนายกขึ้นมาหยิบเศษใบมะขามเล็ก ๆ ที่ปลิวตกลงมาติดบนหัว พลันชูขึ้นให้ฉันดูประกอบคำพูดว่าเขาไม่ได้พูดเล่น
“ตัวเกร็งเชียว กลัวพี่เหรอ”
พี่ทิศยิ้มขำ พลันก้มลงมองมือฉันที่กำสายกระเป๋าแน่นจนข้อขึ้นสีขาว
“ไม่ได้กลัวจ้ะ แค่ เอ่อ… แค่ตกใจ”
“ตกใจที่พี่ขยับใกล้เราขนาดนี้เหรอ?”
คนตรงหน้าเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยเหมือนนึกสนุก ก่อนจะยกมือขึ้นเท้าเข้ากับกำแพงข้าง ๆ ฉัน
“ใกล้แบบนี้เหรอ”
“พะ พี่ทิศ ฉันไหว้ล่ะจ้ะ ถอยออกไปก่อน”
ฉันยกมือขึ้นพนมที่กลางอก พร้อมกับหลับตาปี๋ไม่กล้าสบตา แค่คุยกันธรรมดาฉันยังแทบช็อค แต่เขาเล่นขยับมาจ้องหน้ากันขนาดนี้ สติฉันจะไปเหลืออะไร มันวิ่งกระเจิงไปคนละทิศละทางแล้ว
“หึ ๆ ไม่แกล้งแล้วก็ได้”
คนตัวหนาวางแขนลงแต่ยังคงจ้องมองมาที่ฉันด้วยแววตาขี้เล่น
“ชบาน่าจะรออยู่รถแล้ว งั้นฉันขอตัวก่อนนะจ๊ะ”
“อืม พี่ก็จะกลับแล้วเหมือนกัน ขับรถดี ๆ ล่ะ”
อีกฝ่ายผละตัวออกไปก่อน ปล่อยให้ฉันอยู่ในมุมอับหลังห้องน้ำเพียงลำพัง แต่ฉันยังเอาตัวเองเดินออกไปจากตรงนี้ไม่ได้ ทั้งมือทั้งหัวใจยังสั่นไม่เลิกจนต้องทิ้งตัวลงนั่งแล้วยกมือขึ้นทาบปิดหน้า รอยยิ้มที่ปกปิดผุดขึ้นมาอย่างปิดซ่อนไม่มิด ความรู้สึกหัวใจพองโตมันเป็นแบบนี้นี่เอง
ใจจริงฉันอยากจะถ่วงเวลาแล้วยืนคุยกับเขาให้นานกว่านี้ แต่ฉันดันประหม่าจนไม่รู้เลยว่าควรทำหน้าแบบไหน ควรพูดอะไร
ขอกลับไปจดไว้ก่อนแล้วกัน เพราะถ้ารอบหน้ามีโอกาสได้อยู่ใกล้ชิดกันเพียงลำพังอีก ฉันจะได้ตั้งรับได้ดีกว่านี้