ยิ่งอยากหนียิ่งต้องเจอ

1556 Words
“อีชบามันตื่นล่ะเบาะ คือบ่มาล้างถ้วย” (นังชบามันตื่นหรือยัง ทำไมไม่มาล้างจาน) แม่เอ่ยถามในขณะที่กำลังยกหม้อนึ่งข้าวลงจากเตา ตั้งแต่เช้าฉันก็ยังไม่เห็นหน้าชบาเลย ดูท่าจะตื่นสาย “เดี๋ยวฉันไปปลุกน้องเอง” ฉันรีบอาสา เพราะถ้าแม่ขึ้นไปเอง มีหวังชบาได้โดนไม้แขวนเสื้อแม่ฟาดแน่ แต่พอเดินขึ้นมาที่ชั้นบนและเปิดประตูห้อง ก็พบว่าตอนนี้ชบากำลังนั่งจุ้มปุ๊กอยู่บนเตียงนอน พลันก้มหน้านิ่งไม่พูดไม่จา “พี่นึกว่ายังไม่ตื่นซะอีก” ฉันรีบเอื้อมมือไปเปิดไฟที่อยู่ติดประตูทางเข้า แล้วเตรียมจะเดินออกจากห้อง แต่ทว่ากลับต้องชะงักฝีเท้าเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะเย็นยะเยือกออกมาจากคนที่กำลังนั่งนิ่งไม่ไหวติง “ขำอะไรเหรอ?” ฉันขมวดคิ้วด้วยความงุนงง ทำไมวันนี้ชบาดูแปลก ๆ นะ “เป็นอะไรหรือเปล่า ไม่สบายไหม” ด้วยความที่มันผิดวิสัยของชบาไปมาก ฉันจึงรีบเดินไปนั่งบนเตียงแล้วเอามือแตะสัมผัสไหล่ เป็นจังหวะที่ใบหน้าหมองคล้ำหันควับมามองตา พลันแสยะยิ้มในขณะที่ตาแข็งกร้าวจนขนลุก “น้องมึง กูขอซะเด้อ” (น้องมึง กูขอนะ) “...” นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ชบาโดนผีเข้า ฉันถึงได้มั่นใจว่าในร่างของชบาตอนนี้ ต้องมีวิญญาณตนอื่นสิงสู่อยู่แน่นอน “พ่อ! แม่! มานี่เร็ว” ฉันรีบตะโกนเรียกคนในบ้านแล้วถอยหลังกรู แต่กลับถูกชบาที่ถูกครองร่างด้วยวิญญาณร้ายกระโจนเข้ามาหา และพยายามที่จะแลบลิ้นเลียใบหน้า ในขณะที่ฉันดิ้นขัดขืน ปากก็ตะโกนเรียกพ่อกับแม่ที่อยู่ด้านล่าง โชคดีที่พวกเขาวิ่งขึ้นมาได้ทันพอดี และจับชบามัดใส่กับเตียงได้สำเร็จ “ถ่าอยู่นี่เด้อ พ่อไปเอิ้นหิรัญมาก่อน” (รออยู่นี่นะ พอไปเรียกหิรัญก่อน) พูดจบพ่อก็รีบตรงไปคว้ามอเตอร์ไซค์คันเก่าออกจากบ้านไปยังสำนักหมอธรรมทันที ใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีพ่อหมอหิรัญก็มาถึง แล้วเข้าไปจัดการผีตนนั้นในห้องเพียงลำพัง “ชบาเอ้ย! จักแมนเป็นเวรเป็นกรรมหยังของมึงดอก ตั้งแต่น้อยเท่าใหญ่เอาโลด” (ชบาเอ้ย ไม่รู้ว่าเวรกรรมอะไรของแก ตั้งแต่เล็กจนโตเลย) แม่ยกมือขึ้นมากุมขมับและเริ่มน้ำตาคลอ ในขณะที่พ่อยกมือขึ้นสวดมนต์ภาวนาช่วยพ่อหมออีกแรง ในที่สุดพ่อหมอหิรัญก็เดินออกมาจากห้องพร้อมกับชบาที่ถูกอุ้มอยู่ในอ้อมแขน แต่ยังอยู่ในท่าสลบไสล มองดูแล้วใจไม่ดีเลย “พ่อหมอ เป็นยังไงบ้างจ๊ะ” ฉันรีบตรงเข้าไปหาชายร่างกำยำด้วยความรู้สึกห่วงจับใจ สายตาก็เพ่งมองน้องสาวที่ตัวอ่อนปวกเปียก ใต้ตายังดำคล้ำราวกับคนอดหลับอดนอนมาเป็นเวลานาน “คงต้องกลับไปทำพิธีที่สำนัก” พ่อไม่รีรอ รีบพาพ่อหมอและชบากลับไปที่สำนักทันที ตอนนี้จึงมีเพียงฉันกับแม่อยู่ด้วยกันตามลำพัง “สาธุเด้อ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย คุ้มครองอีชบาแนเด้อ” (สาธุ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายทั้งปวง คุ้มครองนังชบาด้วยเถิด) แม่พนมมือยกขึ้นหน้าผาก ก่อนจะเหลือบมองขึ้นฟ้าเพื่อหวังพึ่งพาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่มองไม่เห็น ฉันเองก็รีบทำตามเช่นกัน ผ่านไปหลายชั่วโมง พ่อก็มารับฉันกับแม่ไปที่สำนัก และได้รู้ข่าวร้าย ว่าตอนนี้แม่เก่าในชาติที่แล้วจะตามมาเอาชีวิตชบา ระหว่างนี้ชบาจึงต้องไปอยู่ที่สำนักพ่อหมอหิรัญก่อน จนกว่าจะจัดการเรื่องแม่เก่าที่คอยตามติดชบาได้ “มื่อนี่บ่ต้องไปขายผักเด้อบัว คือสิบ่ทันแล้วล่ะ” (วันนี้ไม่ต้องไปขายผักนะบัว คงจะไม่ทันแล้วล่ะ) พูดจบ พ่อก็ไอออกมาอย่างหนัก จนฉันต้องรีบตักน้ำออกมาให้ พักนี้อาการป่วยของพ่อทรุดหนักลงไปมาก บอกให้ไปหาหมอจริงจังก็ไม่ยอมไปเสียที กลัวแต่จะเสียเวลาทำมาหากิน “บ่พอไปหาหมอล่ะเบาะเฒ่า” (ไปหาหมอดีไหมพี่) แม่หันมาถามอย่างเป็นกังวล แต่พ่อก็ส่ายหน้าระรัวทันที หลังจากที่กระดกน้ำในแก้วจนเกือบหมด “ไปหาหมอกะได้แต่ยามากินคือเก่า” (ไปหาหมอก็ได้แค่ยามากินเหมือนเดิมนั่นแหละ) พ่อตอบปัด ๆ อย่างไม่ใส่ใจ และเตรียมจะไปรดน้ำผักที่สวน แต่ก็ต้องหยุดนิ่งแล้วหันมองไปที่หน้าบ้าน เพราะมีรถกะบะสีดำที่คุ้นตาเลี้ยวเข้ามา ปลัดมาอีกแล้ว ฉันได้แต่ถอนหายใจออกมาเบา ๆ อย่างปลงตก แต่ต้องแกล้งทำเป็นไม่หนักอกหนักใจที่จะต้องเจอเขา เพราะไม่อยากทำให้พ่อกับแม่ต้องลำบากใจ “สวัสดีครับ ผมมารับน้องบัวไปขายผักครับ” “วันนี้ไม่ได้ไปหรอกจ้ะคุณปลัด หยุดหนึ่งวันจ้ะ” ฉันตอบออกไปอย่างเกรงใจ แอบรู้สึกดีที่ไม่ต้องทนอึดอัดนั่งรถไปกับเขา แต่ว่า... “งั้นดีเลย ไปเดินตลาดกัน” “เอ่อ...” ฉันอ้ำอึ้ง อยากจะปฏิเสธ แต่ก็ไม่รู้จะเอาอะไรมาแก้ตัวดี “ฉันต้องไปรดน้ำผักน่ะจ้ะ” “บ่เป็นหยัง พ่อกับแม่สิไปดอก ไปกับคุณปลัดโลด” (ไม่เป็นไร เดี๋ยวพ่อกับแม่ไปเอง ไปกับคุณปลัดเถอะ) ในเมื่อไร้สิ้นหนทางหลบหนี ฉันจึงต้องขึ้นรถแล้วมาตลาดกับคุณปลัด แต่ระหว่างทางก็เอาแต่เหม่อลอยอย่างคนไร้สติ ทั้งเป็นห่วงชบา ทั้งคิดมากเรื่องที่ต้องแต่งงานกับคนที่ฉันไม่คิดจะรักอย่างคุณปลัด “เป็นอะไรหรือเปล่า ทำไมวันนี้เงียบ ๆ” อีกฝ่ายสังเกตได้ถึงความผิดปกติ จึงรีบเอ่ยถามพลางแตะมือสัมผัสที่หลังมือของฉันเบา ๆ ฉันจึงรีบชักออกกะทันหันด้วยความตกใจ “เอ่อ... ปกติบัวก็ไม่พูดไม่ใช่เหรอจ๊ะ” “พี่จับมือไม่ได้เหรอ ยังไงเราก็ต้องแต่งงานกันอยู่แล้ว” คนปากหวานเอ่ยถามโดยไม่มองหน้า ทำเอาฉันอ้ำอึ้งหนักเข้าไปกว่าเดิม “หรือว่า บัวรังเกียจพี่หรือเปล่า” “ปะ เปล่าจ้ะ บัวไม่ได้คิดแบบนั้น แต่เราแค่ยังไม่ได้แต่งงานกัน บัวเลยคิดว่ามันไม่เหมาะสม” คนหน้าพวงมาลัยยิ้มออกมาบาง ๆ ในขณะที่เลี้ยวรถจอดเทียบข้างเพราะถึงตลาดพอดี ก่อนที่จะขยับยื่นหน้าเข้ามาใกล้จนฉันต้องถอยหลังหนีอย่างประหม่า “พี่จะรอวันที่บัวพร้อมเป็นของพี่นะ” ฉันส่งยิ้มเจื่อน ๆ กลับไปอย่างเกรงใจ ก่อนจะรีบคลำหาที่เปิดประตูรถแล้วเอาตัวเองออกไปให้เร็วที่สุด ใช่ว่าฉันไม่พยายามเปิดใจให้กับปลัด แต่ทันทีที่เห็นหน้าพี่ทิศ ฉันก็ยิ่งอยากจะเดินหนีออกจากพันธะที่ไม่มีสิทธิ์ได้เลือก ตอนนี้ฉันคงดูเป็นผู้หญิงที่เลวมาก ทั้งที่กำลังจะเข้าพิธีแต่งงานอยู่แล้ว แต่ใจเจ้ากรรมยังเอาแต่พะวงหาชายอีกคนอยู่ไม่เลิก “แตงโมไหมจ๊ะ แตงโมลูกใหญ่ ๆ” เสียงหวาน ๆ จากแม่ค้าขายแตงโมท้ายรถตะโกนเรียก ผู้คนต่างหลั่งไหลเข้าไปซื้ออย่างให้ความสนใจ และที่เตะตามากยิ่งกว่าแตงโม คงเป็นหน้าอกแม่ค้าที่ใหญ่จนแทบแยกไม่ออกว่าอันไหนคือหน้าอก และอันไหนคือแตงโมกันแน่ ยิ่งเสื้อที่สวมใส่เป็นสายเดี่ยวรัดรูป นั่นยิ่งทำให้เนินอกของเธอเด่นยิ่งขึ้น “รอพี่ที่รถก่อนนะ พี่ไปซื้อแตงโมฝากลุงหมายก่อน จะได้เอากลับมาไว้บนรถเลย ไม่อยากถือเข้าไปในตลาด มันหนักน่ะ” “จ้ะ” ฉันตอบรับอย่างว่าง่าย แล้วมองตามผู้ชายที่เพิ่งเดินไปถึงรถขายแตงโมที่อยู่ไม่ไกล แต่เนื่องด้วยเสียงเพลงที่ดังทั่วตลาด ทำให้ฉันไม่สามารถรับรู้ได้ว่าปลัดคุยอะไรกับแม่ค้าบ้าง แต่สายตาที่หวานหยาดเยิ้ม และรอยยิ้มที่ประดับใบหน้าของทั้งคู่อย่างเคอะเขิน ก็ทำให้ฉันรู้ได้ในทันทีว่าคำพูดเขาคงกำลังหยอดคำหวานให้กันอยู่ ฉันไม่ได้รู้สึกหึงหวงหรอกนะ เพียงแค่รู้สึกเศร้าขึ้นมาในใจ ปลัดเองก็ใช่จะเป็นคนรักเดียวใจเดียว เขาเจ้าชู้ยิ่งกว่าอะไรดี ยิ่งฉันไม่พูดไม่จา เป็นคนง่าย ๆ และอยู่ในสถานะที่จำยอม ในอนาคตไม่ไกล คงจะได้เป็นแค่เมียในทะเบียนสมรสที่มีเอาไว้เพื่อทำกับข้าวและงานบ้าน ส่วนเรื่องอย่างว่า... คงต้องปล่อยให้เขาไปหาความสุขเอาเอง ชีวิตฉันจะต้องลงเอยแบบนี้จริง ๆ น่ะเหรอ?
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD