ยิ่งเจอกัน ยิ่งหวั่นไหว

1530 Words
แม้ยังมีเรื่องให้ทุกข์ระทมใจ แต่ชีวิตของเราก็ต้องก้าวไปข้างหน้าอยู่ทุกวัน ตั้งแต่ที่ปลัดเข้ามาสู่ขอฉันกับพ่อ เขาก็แวะเวียนมาหาบ่อย ๆ และพยายามที่จะเร่งรัดให้ถึงงานแต่งเร็ว ๆ ฉันเองก็พยายามที่จะเลี่ยงการเจอเขาอยู่บ่อยครั้ง เลี่ยงได้บ้าง ไม่ได้บ้าง เพราะเขาชอบแวะมารับฉันกลับจากตลาดตอนขายผักเสร็จ โชคดีที่วันนี้เขามีประชุมที่อำเภอ จึงไม่ได้แวะเข้ามาหา ฉันถึงได้รู้สึกถึงการมีอยู่ของอิสระบ้าง “ชบาไม่มาเหรอวันนี้” น้ามินตราก้มลงมาถาม ในขณะที่กำลังเปิดกระเป๋าเพื่อหยิบเงินขึ้นมาจ่ายให้กับฉัน “ไม่มาจ้ะ ไม่รู้ไปเล่นซนที่ไหน” ฉันยิ้มบาง ๆ ส่งให้กับผู้หญิงตรงหน้าที่อยู่หมู่บ้านเดียวกัน เธอเป็นลูกค้าประจำที่มักมาอุดหนุนผักของฉันอยู่เสมอ แถมยังใจดี ให้ฉันเก็บบัวที่อยู่สระข้างแปลงผักมาทำกินได้ตลอดอีกด้วย “อะ ไม่ต้องทอนนะ” “ขอบคุณนะจ๊ะน้ามิน” ฉันรับธนบัตรสีแดงขึ้นมาถือ หลังจากที่คิดเงินไปเพียง 70 บาทเท่านั้น จะว่าไปก็รู้สึกแปลก ๆ เหมือนกัน วันนี้ชบามีท่าทีลุกลี้ลุกลน แถมยังหายออกไปจากบ้านตั้งแต่เช้า ป่านนี้ก็ยังไม่กลับ ไม่รู้ว่าไปซนที่ไหนอีก รายนี้ยิ่งวีรกรรมเยอะเสียด้วยสิ “กำละจักบาทครับแม่ค้า” (กำละเท่าไหร่ครับแม่ค้า) “สิบบาทจ้ะ” ฉันเงยหน้าขึ้นตอบกลุ่มลูกค้าผู้ชาย พลันเอื้อมมือไปหยิบถุงไว้รอ “กะหล่ำหัวนี่มันหวานคือหน้าแม่ค้าอยู่เบาะครับ” (กะหล่ำหัวนี้หวานเหมือนหน้าแม่ค้าหรือเปล่าครับ) คนปากหวานเอ่ยแซว พลางส่งยิ้มหวานให้ ในขณะที่ฉันอ้ำอึ้ง ไม่รู้ว่าควรตอบไปแบบไหนดี ทั้งที่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีผู้ชายพยายามเข้าหา แต่ทุกครั้งฉันก็มักจะวางตัวไม่ถูกอยู่เสมอ “ยามเขินแฮงตาฮักเนาะ” (ตอนเขินยิ่งน่ารักนะเนี่ย) ฉันจะบอกเขายังไงดีว่าฉันไม่ได้เขิน แต่ที่หลบตาเพราะฉันกำลังอึดอัดต่างหาก “จังซั่นเอาผักบุ้งกำหนึ่ง กะหล่ำหัวหนึ่งครับ สิเอาไปเฮ็ดกินแลง เฮ็ดกินเองนี่ล่ะ อ้ายอยู่ผู้เดียว บ่มีเมียเฮ็ดให้” (ถ้างั้นก็เอาผักบุ้งกำหนึ่ง กะหล่ำหัวหนึ่งครับ จะเอาไปไว้ทำกินตอนเย็น ทำกินเองนี่แหละ พี่ตัวคนเดียว ไม่มีเมียคอยทำให้) อีกฝ่ายพยายามโฆษณาตนสุดฤทธิ์ ในขณะที่ฉันกำลังเร่งหยิบผักใส่ถุงให้ “สามสิบบาทจ้ะ” ธนบัตรสีแดงถูกยื่นส่งมาตรงหน้า แต่ยังไม่ทันที่จะได้เอื้อมมือรับ อีกฝ่ายก็ชักมือกลับก่อน “อ้ายขอตังค์ทอนเป็นเบอร์แม่ค้าได้บ่ครับ” (พี่ขอตังค์ทอนเป็นเบอร์แม่ค้าได้ไหมครับ) “เอ่อ... ฉันไม่มีโทรศัพท์หรอกจ้ะ” ฉันไม่ได้พูดปลดแต่อย่างใด แต่ทั้งบ้านเรามีโทรศัพท์เครื่องเดียว และมีพ่อที่เป็นคนถือ “ครับ บ่เป็นหยัง บ่ใจอ่อนมื่อนี่ จีบสุมื่อต้องใจอ่อนล่ะแหมะ” (ครับ ไม่เป็นไร ไม่ใจอ่อนวันนี้ก็ต้องใจอ่อนเข้าสักวัน) เงินในมือถูกยื่นมาให้ฉันอีกครั้ง ฉันจึงรีบรับไว้แล้วทอนเงินให้เร็วที่สุด เขาก็ดูเหมือนอิดออดไม่อยากไป แต่เพราะมีลูกค้าคนใหม่เดินมาเลือกผัก ถึงได้ยอมเดินออกไปสักที “บ่มีพริกเบาะนาง” (ไม่มีพริกเหรอลูก) “หมดแล้วจ้ะ” ฉันยิ้มส่งให้กับลูกค้าขาประจำ แล้วมองตามเธอเดินผ่านหน้าไปเพราะไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการ แต่แล้วสายตาก็เหลือบไปเห็นบุคคลผู้หนึ่ง ผู้ที่ไม่ได้เจอกันตั้งหลายปี แต่ทันทีที่เห็นหน้า ฉันก็รู้ได้ในทันใดว่าเป็นเขาแน่ พี่ทิศ... ตึก ตึก ตึก! เพียงแค่เห็นว่าเป็นพี่ทิศที่เดินมาพร้อมกับแม่ของเขา ฉันก็เริ่มมือสั่นทำตัวไม่ถูก หน้าตาของฉันตอนนี้ไม่น่าพิสมัยเท่าที่ต้องการ เพราะฉันเพิ่งไปเก็บผักแล้วตรงมาที่ตลาดทันที “ทะ ทำไงดี เข้ามาใกล้แล้ว” ฉันกระวนกระวายทั้งใจเต้น ก่อนจะคว้าผ้าขาวม้าสีน้ำเงินสลับแดงที่เอาไว้คลุมผักขึ้นมาพันปิดหน้า เหลือเพียงตาสองดวงที่ยังไม่ถูกปิดซ่อน “สาธุ อย่าหยุดนะ อย่าหยุด” ฉันอธิษฐานอย่างบ้าคลั่ง ภาวนาให้น้านาวและพี่ทิศเดินผ่านหน้าไป อย่าได้มาสนใจฉันเลย แต่แล้ว... สิ่งที่ฉันวิงวอนอยู่ในใจก็ไม่สำฤทธิ์ผล คนร่างสูงหยุดเดินอยู่ตรงหน้า พร้อมกับน้านาวที่ย่อตัวลงนั่งเลือกผัก “คะน้ามาใหม่เหรอ สดเชียว” น้านาวเอ่ยถามด้วยความสนิทสนม ฉันถึงได้เอ่ยตอบออกไปโดยไม่เงยหน้า “ชะ ใช่จ้ะ” “กินผัดคะน้าไหมลูก” “ครับแม่” เสียงเพราะจัง... ฉันแอบยิ้มออกมาภายใต้ผ้าที่ปิดพันเอาไว้มิด สายตาก็เหลือบมองรองเท้าของอีกฝ่ายที่อยู่ถัดออกไปจากน้านาว แค่เห็นเท้ายังอยากเก็บไปนอนฝันเลย “งั้นน้าเอาสองกำนะ สี่สิบใช่ไหม” “ใช่จ้ะ” ฉันรีบรับเงินจากน้านาวใส่กระเป๋าในจำนวนสี่สิบบาทพอดิบพอดี คิดว่าทั้งคู่คงจะเดินออกไปจากหน้าร้านแล้ว แต่น้านาวไม่รู้นึกอะไร ถึงได้ยืนชวนคุยต่อ “ชบาไม่มาด้วยเหรอ” “ไม่มาจ้ะ” ฉันตอบอย่างประหม่า และไม่กล้าชวนคุยอะไรไปมากกว่านี้ เพราะเกร็งจนไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมาสนทนาแล้ว “ชบาลูกป้าหวาน่ะเหรอแม่” พี่ทิศหันไปถามแม่ของตัวเอง “ใช่ จำน้องได้ไหม นี่ก็บัวไง คนพี่น่ะ” “บัวเหรอเนี่ย” ไม่พูดเปล่า คนร่างสูงก้มลงมาส่องดูหน้า พร้อมกับส่งยิ้มกระชากใจ นาทีนี้หัวใจฉันเหมือนหยุดเต้นไปแล้วด้วยซ้ำ มันเหมือน... หลุดกระเด็นออกไปตอนไหนก็ไม่รู้ “พันหน้าพันตาเชียว นึกว่าป้าที่ไหน” “...” ฉันนิ่งเงียบก่อนจะหลบตาในทันที ป้าเลยเหรอ นี่ฉัน... ดูแก่ขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย “ทิศ อย่าไปแซวน้อง” น้านาวรีบตบหลังลูกชาย ก่อนจะชี้มือไปยังร้านขายเนื้อที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล “ไปซื้อเนื้อกันปะ จะได้ทำผัดคะน้าเย็นนี้” สองฝีเท้าเดินก้าวออกไปจากหน้าร้านแล้ว แต่ใจฉันยังสั่นระรัวไม่หาย คนอะไรหล่อวันหล่อคืน แม้ผ่านไปตั้งสิบปี แต่หน้าตาเขาก็ยังเหมือนเดิมไม่มีผิดเพี้ยน ต่างแค่เพียงร่างกายที่กำยำขึ้น ผิวยังคงขาวผ่องเหมือนหยวกกล้วยเช่นเดิม ดูดีไร้ที่ติจริง ๆ นั่งขายผักอยู่สักพักก็ได้เวลาเก็บของกลับบ้าน ฉันจึงรีบหุงหาอาหารเตรียมกับข้าว เป็นจังหวะที่ชบากลับมาพอดี เราจึงช่วยกันยกถาดอาหารออกไปกินที่แคร่ใต้ถุนจุดที่กินข้าวประจำ “วังแลงผู้ใหญ่บ้านเพินมาเฮ็ดหยัง” (ตอนเย็นผู้ใหญ่บ้านแกมาทำไมเหรอ) “มาบอกให้เจ้าไปตรวจเยี่ยวหาสารเสพติด มื่ออื่นตอน 9 โมงเด้อ อยู่ศาลากลางบ้านนั่นล่ะ” (มาบอกให้พี่ไปตรวจฉี่หาสารเสพติด พรุ่งนี้ตอน 9 โมงนะ อยู่ศาลากลางบ้าน) “เอ้า คือสิได้ตรวจ” (เอ้า ทำไมต้องตรวจ) สองสามีภรรยานั่งคุยกันระหว่างกินข้าว ส่วนฉันกับชบาก็เอาแต่นั่งกินอยู่เงียบ ๆ ไม่พูดไม่จา “สารวัตรทิศเพินลงพื้นที่ตั้ว เพินสิกวาดออกให้เบิด หมู่บ้านเฮาสิบ่ให้มีย***าเลยเพินว่า” (สารวัตรทิศแกลงพื้นที่ แกจะกวาดออกให้หมด หมู่บ้านเราจะไม่ให้มียาเสพติดเลย) “...” ฉันหูผึ่งขึ้นมาในทันที สารวัตรทิศงั้นเหรอ? นี่จะใช่พี่ทิศลูกน้านาวหรือเปล่านะ “สิเฮ็ดได้แท้บ่ล่ะ” (จะทำได้จริงเหรอ) “กะลองเบิ่ง สารวัตรทิศเลากะบ่แมนธรรมดาเนาะ” (ก็ลองดู สารวัตรทิศแกก็ไม่ธรรมดาเหมือนกัน) “พี่ทิศ ลูกน้านาวเหรอแม่” ฉันที่เงียบตั้งแต่เริ่มกินข้าวเอ่ยแทรกขึ้นมา เพราะอยากรู้ว่าใช่ทิศคนเดียวกันหรือเปล่า หรือฉันกำลังคิดไปเอง “แมน” (ใช่) เป็นตำรวจยศสารวัตรเลยเหรอเนี่ย คนอะไร ทั้งหล่อ ทั้งเก่ง เพอร์เฟคไปหมด แค่คิดเห็นรอยยิ้มของเขาวันนี้ ฉันก็ปลื้มใจจนกลืนอะไรไม่ลงอีก รีบกินข้าวแล้วกลับเข้ามาในห้อง ก่อนจะยกสร้อยของพี่ทิศขึ้นมาแนบหน้า ต่อให้วาสนาฉันจะมีแค่นี้ แต่มันก็สุขใจมากพอแล้ว...
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD