แดดยามเช้าสาดเข้ามาผ่านช่องผ้าม่านเล็ก ๆ บังคับเปลือกตาบางของฉันให้ลืมขึ้นอย่างไม่เต็มใจ มือเล็กควานหาผ้าห่มเตรียมจะยกขึ้นมาปิดบังใบหน้าที่โดนแดดสาดกระทบใส่ แต่ต้องรีบสะดุ้งขึ้นมาจนตัวโยน เมื่อนึกขึ้นได้ว่าเมื่อคืนนี้เกิดอะไรขึ้นบ้าง
ฉันกวาดสายตามองไปรอบห้องแต่ไม่พบกับเงาของพี่ไทน์ที่นี่ เขาน่าจะ
ลุกออกไปตั้งแต่เช้าแล้ว
“จะกลับทำไมไม่บอกกันก่อนนะ”
ว่าพลางมุ่ยหน้าอย่างเอาแต่ใจ ก่อนจะลุกขึ้นไปหวังจะเปิดตู้เย็นเพื่อหยิบน้ำขึ้นดื่ม ทว่าก็ต้องล้มพับลงไปด้วยความเจ็บหน่วง ช่องทางด้านล่าง
ที่ถูกพี่ไทน์โจมตีอย่างหนักกำลังประท้วงให้ร่างกายหยุดขยับ ก่อนที่มันจะร้าวระบมไปมากกว่านี้
“ซี้ดดด... เจ็บอะไรขนาดนี้เนี่ย”
ปกติก็ไม่ใช่คนเจ้าสำออย ฉันมักจะสร้างเรื่องให้ตัวเองเจ็บตัวไม่เว้น
แต่ละวัน แต่สำหรับการเปิดซิงครั้งแรกมันหนักหน่วงเกินไปจริง ๆ เจ็บเหมือนเครื่องในจะหลุดออกมาจากช่องทางเล็ก ๆ นี้เลย
ครืดด...
เสียงมือถือดังขึ้นมาทำเอาฉันหูผึ่ง คาดหวังลึก ๆ ว่าจะเป็นพี่ไทน์จึงรีบควานมือไปกดรับ ทว่าต้องผิดหวังเมื่อพบว่าสายที่โทรเข้ามาคือพ่อ
“จ้ะพ่อ”
“เป็นไงบ้างตัวแสบ เปิดเทอมแล้วเงียบหายเลยนะ นึกว่าจมน้ำตายเหมือนในข่าวรับน้องแล้ว”
ผู้เป็นพ่อเอ่ยติดตลก แต่จริง ๆ ก็คงเป็นห่วงฉันจากใจนี่แหละ เพราะตั้งแต่เปิดเทอมก็ไม่ได้โทรกลับไปหาทางบ้านเลย
“งานมันยุ่งน่ะพ่อ แล้วนี่ออกไปสวนยัง”
“ยังเลย รอคุณหญิงแตงอ่อนห่อกับข้าวให้อยู่ ตั้งแต่แกไม่อยู่
เนี่ยนะวุ่นวายมากกก อะไรก็ติดขัดไปหมด กล้วยล็อตใหม่ที่เพิ่งส่งออกไปก็มีปัญหาอีก แกรีบเรียนให้จบแล้วกลับมาช่วยพ่อขนกล้วยเลยนะ”
ฉันกลอกตามองบนอย่างเหนื่อยหน่าย อุตส่าห์หนีมาเรียนบริหารแล้ว
ยังจะให้กลับไปทำสวนอีกเหรอ
“หนูเป็นผู้หญิงนะพ่อ กะจะไม่ให้แต่งตัวสวย ๆ นั่งในห้องแอร์เลยเหรอ”
“ก็กลับมาปลูกกล้วยในห้องแอร์สิ”
ดูเขาพูดเข้า แต่ละอย่างเป็นไปไหนที่ไหนล่ะ
“แล้วไปอยู่ที่นั่นเป็นไงบ้าง มีหนุ่ม ๆ มาจีบบ้างไหม?”
นั่นไง ว่าแล้วเชียวต้องเลี้ยวมาเรื่องนี้
“แต่งตัวเหมือนแม่ลูกสองแบบนี้ใครจะมาสนใจล่ะพ่อ”
“ให้มันจริง แต่งให้มันได้แบบนี้จนเรียนจบล่ะ ไอ้นุ่งกระโปรงยาวคืบเดียวนี่อย่าให้เห็นเชียวนะ เดี๋ยวตามไปฟาดถึงกรุงเทพฯ”
“ขู่อะไรลูกอีกฮะ!”
เสียงที่แทรกเข้ามาคงเป็นใครอื่นไปไม่ได้ นอกจากคุณหญิงแตงอ่อน ผู้หญิงคนเดียวที่ปราบพ่อฉันได้อย่างอยู่หมัด
“โทรไปกวนลูกอีกแล้วใช่ไหม บอกแล้วไงว่าถ้ามันว่างเดี๋ยวมัน
ก็โทรกลับมาเอง ไปกวนเวลาเรียนลูกทำไมฮะ”
“แค่นี้นะตอง แม่แกจะกินหัวพ่อแล้ว อ้อ! แล้วอย่าลืมที่ตกลงกันไว้นะ ห้าม มี แฟน จนกว่าจะเรียนจบ”
“จ้าา”
ฉันตอบกลับเสียงหวาน พลางยกนิ้วชี้กับนิ้วกลางขึ้นมาไขว้กันไว้เพื่อแก้เคล็ดเวลาเอ่ยคำโกหก
ปลายสายถูกตัดไปแล้ว ฉันก็ลุกขึ้นมาเปิดตู้เย็นเพื่อหยิบน้ำขึ้นมาดื่ม
แล้วเดินอย่างทุลักทุเลเพื่อกลับมาเปิดโน้ตบุ๊กบนโต๊ะทำงาน
จอภาพขนาดใหญ่เผยให้เห็นภาพผู้ชายตัวสูงในชุดนักกีฬาแขนกุดสีส้ม กำลังจะกระโดดชู้ตลูกบาสลงห่วง เป็นภาพที่เท่ระเบิดไปเลย
“ในที่สุด หนูก็มีตัวตนในสายตาของพี่สักที”
ริมฝีปากบางทาบจูบที่หน้าจอโน้ตบุ๊กอย่างสุขล้น ผู้ชายคนนี้คือเหตุผลเดียวที่ทำให้ฉันตะเกียกตะกายมาเรียนไกลถึงที่นี่ แม้จะถูกพ่อสั่งห้ามและ
ตั้งกฎเอาไว้สูงเฉียดฟ้าก็ไม่เคยหวั่น ก็ใจมันรักไปแล้วนี่ รักมา 6 ปีแล้วด้วย
“ไหนดูซิ พี่ไทน์ไปเรียนหรือยังนะ”
นิ้วเรียวกดจิ้มแป้นพิมพ์ค้นหากลุ่มเอฟซีพี่ไทน์ ก่อนจะเจอโพสต์ล่าสุดคือภาพที่เขาอยู่ที่โรงอาหารพร้อมกับพี่เรสแล้วก็... ผู้หญิงคนนั้นอีกแล้ว
เพียงแค่เห็นว่าคนชื่อแพมอยู่ร่วมโต๊ะด้วยฉันก็เบ้ปากออกมาโดยอัตโนมัติ เกลียดจริง ๆ เลย แค่พ่อสนิทกันทำไมต้องมาทำตัวติดกับพี่ไทน์เหมือนเป็นเมียเขาด้วย หน้าด้าน!
ฉันเม้มปากเล็กน้อยอย่างมีแผนร้าย ในตอนนี้โรงอาหารน่าจะแน่นจนไม่มีที่นั่ง ถ้าลองไปที่มอในตอนนี้ก็อาจจะโชคดีได้นั่งร่วมโต๊ะกินข้าวกับพี่ไทน์ก็ได้...
คิดได้แบบนี้ก็ไม่รอช้า รีบกระโดดลงจากเตียงแล้วจัดการธุระส่วนตัวให้แล้วเสร็จ แต่งตัวอยู่หน้ากระจกไม่นานก็นั่งวินมาที่ตึกโรงอาหารของคณะ ตามจริงก็ตั้งใจจะเดินมานั่นแหละ แต่ไม่ไหวจริง ๆ เจ็บเหมือนมดลูก
จะหลุดออกมาอยู่แล้ว ส่วนรถของฉันนี่ไม่ต้องพูดถึงเลย พ่อบอกว่าอยู่
หอในไม่จำเป็นต้องใช้รถ แต่เขาหารู้ไม่ว่าฉันแอบมาเช่าอยู่ที่หอนอก...
มาถึงโรงอาหารก็มองเห็นเป้าหมายทันทีเพราะเด่นจนสะดุดตา และ
เป็นจังหวะที่อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมาสบตาฉันพอดี แต่เขาเพียงแค่จ้องมองแวบเดียว แล้วหันไปสนใจจานข้าวต่อ
ใจร้ายจังพี่ไทน์ เมื่อคืนทั้งกอดทั้งหอม ตื่นเช้ามาแกล้งไม่รู้จักกันซะได้
“เอากะเพราแล้วก็ไข่ดาวไม่สุกค่ะ”
ฉันเดินไปสั่งข้าวแล้วแกล้งเดินหาที่นั่ง จงใจให้พี่เรสมองเห็นแล้วตะโกนเรียก และแน่นอนว่าได้ผล
“อ้าว น้องก้านตอง มองหาที่นั่งอยู่เหรอ?”
เป๊ะอย่างกับเขียนบทให้เลยนะพี่เรส
“ใช่ค่ะพี่เรส”
“มา ๆ งั้นนั่งด้วยกันก็ได้ ตรงนี้ยังว่าง”
พี่เรสนั่งอยู่คนเดียวเลยขยับให้ฉันนั่ง ส่วนอีกฝั่งคือพี่ไทน์ที่นั่งอยู่กับพี่แพม คนที่ฉันไม่ถูกชะตาตั้งแต่แรกเห็น
“เอ่อ...”
“ไม่ต้องเกรงใจ นั่งได้ ไอ้ไทน์มันไม่กัดหรอก ใช่ไหมไทน์”
พี่เรสโยนคำถามให้กับคนที่นั่งนิ่ง เขาเงยหน้ามองฉันครู่หนึ่งแล้วตอบออกมาเสียงเรียบ
“จะนั่งก็นั่งสิ ไม่ได้มีชื่อใครติดไว้ที่โต๊ะสักหน่อย”
ประโยคหมางเมินไม่ต่างไปจากเข็มนับร้อยที่พุ่งเข้ามาปักลงที่กลางอก
ใจร้ายไม่เคยเปลี่ยนจริง ๆ
“เดี๋ยว!”
ก้นยังไม่ทันได้แตะลงเก้าอี้ก็ต้องชะงัก เพราะพี่แพมออกคำสั่งเสียงดัง
จนโต๊ะข้าง ๆ หันมามอง
“จำได้ว่าเมื่อกี้น้องยังไม่ไหว้พวกพี่เลยนะ ลืมมารยาทเอาไว้ที่ห้องเหรอ?”
“...”
ปากดีจริง ๆ ยัยนี่
“สวัสดีค่ะพี่ ๆ”
“พี่ ๆ เหรอ? พี่ ๆ คนไหนอะ นั่งกันอยู่ก็ตั้งสามคน”
“โอ๊ยย นั่งกันสามคนก็ไหว้พี่สามคนเนี่ยละ นั่งเถอะน้องก้านตอง”
พี่เรสรั้งแขนฉันให้นั่งลงก่อนจะก้มลงกินข้าวต่อด้วยท่าทางสบาย ๆ
ปล่อยให้ผู้หญิงที่อยู่ตรงข้ามนั่งกอดอกทำหน้าบึ้งตึงพลางจ้องมองฉันด้วยความขุ่นเคือง
“ไทน์ ปิดเทอมหน้าคุณพ่อว่าจะพาไปพักผ่อนแถวญี่ปุ่นน่ะ ไทน์ไปด้วยกันนะ”
หญิงสาวคลายแขนจากการกอดอกแล้วหันไปเกาะแขนผู้ชายที่อยู่ข้างกันแทน สารภาพตามตรงเลยว่าฉันรู้สึกไม่ดีที่ผู้หญิงคนนี้เข้าใกล้ผู้ชายที่ฉันหมายปอง แต่จะให้ทำไงได้ล่ะ ฉันก็ไม่ได้มีสิทธิ์มากขนาดนั้นนี่
“ไม่อะ ไปบ่อยแล้ว เบื่อ”
คำตอบของพี่ไทน์ทำเอาฉันชอบใจเผลอยิ้มกริ่มออกมาอย่างลืมตัว แต่ก็รีบก้มหน้าแล้วแสร้งว่ากินข้าวอย่างตั้งใจต่อ
“งั้น... ไปที่อื่นดีไหม ไทน์อยากไปไหนบอกมาเลย”
อีกฝ่ายยังไม่ยอมหยุดตื๊อ ตั้งใจจะชวนพี่ไทน์ไปด้วยให้ได้
“ไม่อยากไปไหนทั้งนั้นแหละ ช่วงปิดเทอมต้องอยู่ช่วยงานบริษัทพ่อ”
“เอ้อ พ่อมึงเปิดบริษัทส่งออกผลไม้ใช่ปะ”
พี่เรสแทรกขึ้นมากลางบทสนทนา
“อืม”
“งั้นดีเลย บ้านน้องก้านตองเขาก็มีสวนกล้วย สวนใหญ่ที่สุดในประเทศเลยนะเว้ย มึงไม่สนใจส่งออกกล้วยเหรอ?”
ฉันเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยเมื่อมีชื่อตัวเองในบทสนทนา แต่ก็ต้องรีบหลบตาเมื่อพบว่าพี่ไทน์กำลังจ้องมองฉันอยู่
“ไม่สนอะ ไม่ชอบกินกล้วย”
“กูไม่ได้บอกให้มึงกิน กูบอกให้มึงไปเสนอพ่อมึงดู”
“โอ๊ย กะอีแค่กล้วย ซื้อสวนไหนมันก็เหมือนกันหมดนั่นแหละเรส”
“ไม่เหมือนค่ะ”
ฉันชะงักมือที่กำลังตักไข่แดงเอาไว้ แล้วเงยหน้าขึ้นมาจ้องมองผู้หญิงปากดีอย่างท้าทาย
“กล้วยที่สวนเป็นกล้วยพันธุ์ดีที่ปลูกในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม แล้วที่สำคัญ กล้วยที่เราปลูกเป็นพันธุ์ใหม่ ครอบครัวเราช่วยกันเพาะพันธุ์นี้ขึ้นมา และเชื่อว่าในอีกไม่นานมันจะสามารถตีตลาดได้ หากเซ็นสัญญากันไว้ก่อนตั้งแต่เนิ่น ๆ มันก็เป็นผลดีไม่ใช่เหรอคะ”
“แล้วรู้ได้ไงว่าจะตีตลาดได้?”
อีกฝ่ายชักสีหน้าใส่อย่างไม่พอใจ แววตาอันแข็งกร้าวนี้น่ากลัวอย่างอธิบายไม่ถูก แต่ขอโทษนะ พ่อไม่เคยสอนให้อีก้านตองกลัวใคร...
“เขาเก่งถึงขนาดเพาะพันธุ์กล้วยได้ก็แปลว่าเขาวางแผนมาดีแล้วแหละน่า ไม่เก่งจริงคงขยายสวนกล้วยจนใหญ่ที่สุดในประเทศไม่ได้หรอก”
พี่เรสช่วยเถียง คงกลัวว่าฉันจะเผลอพลั้งปากเถียงอีกฝ่ายจนพี่ไทน์จับได้ว่าฉันไม่ได้ใสซื่อบ้องแบ๊วอย่างที่ต้องการสร้างภาพ
“แต่จะว่าไปพี่ก็ไม่แปลกใจหรอกนะที่บ้านน้องทำสวน เพราะดูจากการแต่งตัวแล้วเนี่ย...”
เธอมองสำรวจฉันพลางเบ้ปากเหยียดหยาม คงจงใจจะพูดให้ฉันอับอาย
“ขอโทษที่ต้องพูดตรง ๆ นะ แต่แว่นตาที่น้องใส่อะ ไม่ได้ต่างไปจากป้าแม่บ้านของพี่เลย”
“แพม...”
พี่ไทน์หันไปมองอีกฝ่ายเชิงตำหนิที่แขวะฉันซึ่ง ๆ หน้าแบบนี้ แต่ใครจะไปยอมให้แซะฝ่ายเดียวกันล่ะ
“ไม่เห็นเป็นไรเลย น้องเขาก็ไม่ได้โกรธนี่ ใช่ไหมคะน้องก้านตอง”
“ค่ะ ไม่โกรธเลย ของแบบนี้มันใช้คล้าย ๆ กันได้ ขนาดสีลิปสติกบนปากพี่แพม ยังเหมือนกับคนงานในสวนกล้วยของตองเลยค่ะ”
“...”
ฉันยิ้มบาง ๆ ส่งให้อีกฝ่ายอย่างใสซื่อ ส่วนพี่เรสขำจนกรามค้างไปเรียบร้อยแล้ว
“แพมจะไปซื้อน้ำ! ไทน์เอาอะไรไหมคะ”
เจ้าของใบหน้าบึ้งตึงหันไปถามพี่ไทน์ เพราะเธอคงไม่อาจอยู่ร่วมโต๊ะ
กับฉันได้นานกว่านี้
“ไม่อะ”
ยัยพี่แพมเดินฟึดฟัดออกไปแล้ว แต่พี่เรสยังขำน้ำหูน้ำตาไหลอยู่
“เป็นรุ่นน้อง ไม่ควรต่อปากต่อคำกับรุ่นพี่นะ มันไม่น่ารัก”
ว่าแล้วเชียว... โดนจนได้
“ขะ ขอโทษค่ะพี่ไทน์ หนูไม่ได้มีเจตนาจะต่อปากต่อคำนะคะ หนูก็แค่...”
“ฉันเห็นว่าเธอต่อปากต่อคำ อย่าเถียง”
“...”
น้ำเสียงที่ดังขึ้นเล็กน้อยก่อให้เกิดความวูบไหวที่หน้าอก ฉันนึกว่าความสัมพันธ์ของเราจะพัฒนาไปได้มากกว่านี้ นึกไม่ถึงเลยว่ามันจะยังอยู่ที่เดิม ฉันยังคงอยู่ห่างไกลจากพี่ไทน์เหมือนเดิม แม้จะยอมแลกด้วยร่างกายแล้วก็ตาม...
“แล้วมึงจะดุน้องทำไมเนี่ย น้องมันก็ไม่ได้พูดอะไรผิดสักหน่อย”
พี่เรสออกโรงปกป้องฉันอีกครั้ง แต่กลับโดนพี่ไทน์มองตาขวางแทน
“แล้วมึงไปสนิทกับน้องเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ไอ้เรส ถึงได้รู้เรื่องเขาเยอะขนาดนั้น”
“...”
ทั้งฉันและพี่เรสนิ่งค้างไปโดยอัตโนมัติ ในสมองเริ่มประมวลหาคำแก้ตัว
อย่างหนัก
“เอ่อ...”
“ว้ายย!!”
ยังไม่ทันที่พี่เรสจะได้เอ่ยตอบ ฉันก็กรีดร้องออกมาอย่างตื่นตกใจเมื่อพบว่าน้ำหวานสีแดงถูกราดลงตัวตั้งแต่หัวไหล่มาจนถึงกระโปรง
“อุ๊ย!! เป็นอะไรหรือเปล่าคะน้องก้านตอง โทษทีนะ เมื่อกี้พี่ไม่ทันระวัง”
ฉันยืนขึ้นแล้วปัดคราบน้ำแดงออกจากอกลวก ๆ รู้สึกโกรธจนควันออกหู แต่ก็พยายามระงับและขบฟันกรามเอาไว้แน่น
“ตายจริง ได้เวลาคาบแรกแล้ว เราไปเรียนกันเถอะ เดี๋ยวสาย”
คนต้นเหตุไม่คิดที่จะรับผิดชอบใด ๆ ซ้ำยังลากแขนพี่ไทน์ออกไปด้วย
ในตอนแรกเขาก็ดูเหมือนจะอยู่ช่วยฉันก่อน แต่สุดท้าย... เขาก็เดินจากไปพร้อมกับผู้หญิงร้อยมารยาคนนั้น
“รีบไปล้างตัวนะน้องก้านตอง พี่อยากช่วยจริง ๆ แต่มันได้เวลาเข้าเรียนแล้ว”
“ไม่เป็นไรค่ะพี่เรส ขอบคุณมากนะคะ”
ฉันยกมือไหว้พี่เรสอีกรอบด้วยความซึ้งใจที่เขาคอยช่วยเหลือฉันทุกอย่าง ต่างกับผู้ชายอีกคน คนที่พยายามแค่ไหนก็ไม่เคยได้เข้าไปอยู่ในสายตาเขาสักที...