การทำนาปีเหมือนจะไม่หนัก แต่จริง ๆ แล้วแต่ละปีก็วิ่งวุ่นกันแทบไม่ได้หยุดพัก ทำตั้งแต่ก่อนกลางปีลากยาวถึงช่วงปลายปี แม้ไม่ต้องคอยเฝ้าตลอดแต่ก็ใช่ว่าทำแล้วจะละเลยไม่สนใจได้เช่นกัน
“แอบปล่อยเช่าให้หมดน่าจะดี” ร่างสูงของธีร์ทิ้งตัวนอนเหยียดบนกระท่อมกลางสวนที่นาตัวเอง หลังเขาออกมาปล่อยน้ำออกจากนาลงสระ เพราะตอนนี้ข้าวเริ่มออกรวงแล้ว ขืนปล่อยน้ำไว้นานกว่านี้มีหวังต้นข้าวได้เน่าพอดี
แต่มันไม่ใช่เรื่องสนุกเลยน่ะสิ นาจำนวนกว่าหกสิบไร่ที่เขาต้องช่วยพ่อแม่ดูแล เล่นทำเอาหมดแรงจนบางครั้งอยากขายนาทิ้งบางส่วน
วิถีชาวบ้านแบบนี้ก็ไม่พ้นทำไร่ทำนา ยิ่งนาเยอะยิ่งดี แต่บางทีก็เยอะเกินไป!
บ้านเขามีนาเป็นร้อย ๆ ไร่ แบ่งให้คนมาเช่าทำมากกว่าครึ่ง พ่อแม่เก็บไว้ทำเองอีกเกือบร้อย
แต่ถึงจะบ่นยังไงก็ยังต้องทำ เรียนจบมาไม่คิดออกไปทำงานทำการที่ไหน อยู่เป็นชาวนาเหมือนพ่อแม่ ทำนาทุกปี เหนื่อยตอนทำ แต่สบายตอนได้เงิน
มีบ้างที่ราคาข้าวตกจนน่าเบื่อหน่ายแต่ราคาปุ๋ยขึ้นจนอยากให้นายทุนแดกปุ๋ยแทนข้าว แต่ถึงอย่างนั้นเพราะเป็นนาตัวเอง เพราะไม่มีหนี้สิน ทำให้ได้กำไรทุกปีไม่เคยขาดทุน
อยู่ซือซือก็ดันซื่อบื้อ~ ~
เสียงเรียกเข้าเป็นเพลงที่เขาชอบดังขึ้น มือหนายกเสื้อลายสก๊อตออกจากหน้าก่อนจะหยิบโทรศัพท์รุ่นใหม่ล่าสุดขึ้นมาดูน่าจอ
ถึงผมจะเป็นหนุ่มไทบ้าน แต่เรื่องเทคโนโลยีก็ตามทันเสมอนะ
“มีไร” สไลน์รับสายแล้วกรอกเสียงถามปลายสายขึ้น
(เย็นนี้ว่าไง)
“ต้องถามเหรอ ทำนาเหนื่อยขนาดนี้ต้องหาตัวช่วยสิวะ” ตอบกลับเพื่อนตัวดีของตัวเองไปอย่างไม่คิดมาก
(วันนี้บ้านไอ้บูม ช่วงนี้ลูกมันซนออกจากบ้านไม่ได้)
“เออ” ตอบกลับอย่างไม่คิดมาก
ที่ไหนก็ได้ทั้งนั้น ที่ไหนก็กลืนเหล้าลงคอครับ
พูดจบก็วางสายไปพร้อมกับหลับตาต่อด้วยความเหนื่อยล้า
ช่วงนี้ปลายฝนต้นหนาว บรรยากาศบางวันก็ร้อน แต่บางวันก็เย็นสบายเหมือนวันนี้ ทำให้ได้นอนพักและคิดอะไรเรื่อยเปื่อย
เวลาผ่านไปเร็วจริง ๆ บูมก็มีลูกจนเริ่มคลานเป็นแล้ว แล้วยังได้ลูกแฝดอีก น่าอิจฉาฉิบหาย
ส่วนเพื่อนอีกสองคน อย่าไปพูดถึงพวกเหี้ยเลยดีกว่า
ครูประถมวัยจะว่าง่ายก็ง่ายจะว่าเหนื่อยก็เหนื่อย แต่ถึงอย่างนั้นก็เป็นความฝันของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งมาตลอด พอทำฝันเป็นจริงก็เลยสนุกกับมันมากกว่า
“อย่าลืมทำการบ้านที่คุณครูให้นะคะ” บอกเด็กชั้นประถมสองด้วยเสียงหวาน เป็นครูภาษาไทยขวัญใจเด็ก ๆ มาก
“คร้าบ!”
“ค่า!”
“เก็บการบ้านใส่กระเป๋าให้เรียบร้อย แล้วก็ดูกล่องข้าวใต้โต๊ะด้วยว่าลืมหรือเปล่า” บอกเด็กน้อยเหมือนทุก ๆ วันไม่ให้ลืมของสำคัญ
ทุกคนทำตามอย่างว่าง่าย กระเป๋าวางไว้บนโต๊ะเตรียมตัวสำหรับกลับบ้าน
“ถ้าเสร็จแล้วก็เจอกันวันจันทร์ค่ะ”
“นักเรียนทำความเคารพ”
“ขอบคุณค่า/คร้าบ คุณครู”
“ค่า” ตอบรับไหว้เด็ก ๆ ด้วยรอยยิ้มใจดีก่อนจะยืนรออยู่หน้าห้องให้เด็ก ๆ เดินออกจากห้องจนหมด
คุณครูอย่างเธอเช็กความเรียบร้อยภายในห้องอีกครั้ง หยิบกระเป๋าตัวเองขึ้นสะพายแล้วออกจากห้องเรียน ปิดล็อคห้องให้เรียบร้อยแล้วเดินไปยังรถมอเตอร์ไซต์ออโต้คันสีชมพูเพื่อกลับหอพักที่อยู่ห่างจากโรงเรียนประมาณสามกิโล
เพราะระยะทางจากที่นี่ไปบ้านเธอมันเกือบหกสิบกิโลเมตรได้ ตั้งแต่เธอเรียนมหาฯลัยจนได้กลับมาทำงานก็เช่าหอพักอยู่ตลอด
หลังจากเธอเรียนจบก็สอบบรรจุทันที เธอติดที่โรงเรียนต่างจังหวัด แต่โชคดีที่ระเบียบเปลี่ยนทำให้สอนได้สองปีก็สามารถทำเรื่องย้ายได้ เลยไม่รอช้ารีบย้ายกลับบ้านเกิดตัวเองเพราะคิดถึงคนที่นี่ อีกทั้งยังมีคนบ่นคิดถึงเธอบ่อย ๆ
แต่ก็น่าเสียดายที่โรงเรียนในหมู่บ้านไม่มีตำแหน่งว่าง ที่ใกล้ที่สุดก็คือโรงเรียนแห่งนี้ในอำเภอเมือง เป็นโรงเรียนประถมวัยแถวชานเมืองนั่นเอง
และน่าเสียดายกว่านั้น ที่คนคิดถึงเหลือไม่เท่าเดิมแล้ว
รถสกู๊ปปี้สีชมพูขับเข้ามายังหอรวมขนาดสองชั้น มีทั้งนักศึกษาและคนวัยทำงานอยู่รวมกัน โดยห้องของเธออยู่ชั้นล่างห้องริมสุด
วันสุดสัปดาห์ที่ปกติไม่ได้กลับบ้านเธอก็ไม่ได้ทำอะไรมาก มีงานบ้าน เตรียมการสอนให้เด็ก แล้วก็ดูหนังพักผ่อน เหมือนจะสบายแต่แป๊บ ๆ ก็วันจันทร์แล้ว
เป็นการใช้ชีวิตสาวโสดที่นับว่าไม่ได้แย่อย่างที่คิด