อีกฟากฝั่งหนึ่งของบ้านเรือนไทย ที่หน้าบ้านปลูกด้วยไม้พื้นเมืองอย่างขานาง เต็มไปด้วยชาวบ้านหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่แห่กันมาขอของดีจากพ่อครู เนื่องจากถูกตาต้องใจครูสาวที่มาบรรจุใหม่
“ไม่มีของดีทำให้ครูใหม่หลงใหลบ้างเลยเหรอครับพ่อครู” ชายฉกรรจ์คนหนึ่งที่นั่งอยู่พื้น ถามย้ำในสิ่งที่พ่อครูเอ่ยบอกอีกครั้ง
ทำเอาคนตัวสูงใบหน้าหล่อเหลาผิวคร้ามแดด แขนกำยำสองข้างเต็มไปด้วยรอยสักอักขระไม่พึงพอใจ เมื่อถูกถามคำเดิมซ้ำ ๆ ก่อนจะตอบกลับด้วยน้ำเสียงเข้มดุขณะใบหน้าเคร่งขรึม
“กูไม่มีของแบบนั้นหรอก พวกมึงไสหัวลงจากเรือนกูไปได้แล้ว” สิ้นเสียงขู่เข็ญชาวบ้านที่นั่งอยู่บนเรือน ก็รีบกรูกันลงไปข้างล่างทันที
เมื่อเห็นทุกคนลงไปหมดแล้ว กาญ พ่อครูวัยสามสิบหกปีผู้ที่มีลูกศิษย์เคารพนับถือทั่วสารทิศ เนื่องจากช่วยคนตกทุกข์ได้ยาก แก้ในสิ่งไม่ดี เสริมเสน่ห์บารมีในหน้าที่การงาน ก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความหงุดหงิดแล้วพูดพึมพำคนเดียว
“ไอ้พวกเพ้อเจ้อ” กับความงมงายไร้สาระของชาวบ้าน
จากนั้นก็หยิบหนังสือขึ้นอ่านเพื่อให้ใจเย็นลง ทว่าเพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้น ก็ได้ยินเสียงพูดคุยดังเซ็งแซ่มาจากทางหน้าบ้าน ใบหน้าคมเข้มจึงเงยขึ้นมอง เห็นลูกศิษย์ของตนและชาวบ้านเดินพูดคุยกันเข้ามาในบ้าน คนตัวสูงจึงมองด้วยความสงสัยว่าผู้คนแห่มาที่นี่กันอีกทำไม
มือหนาจึงปิดหนังสือลงแล้วนั่งรอด้วยท่าทีเคร่งขรึม…
ทางด้าน มิ่ง ชายหนุ่มวัยสามสิบปีลูกศิษย์ของกาญ เมื่อเดินพ้นบันไดขึ้นมายังชั้นสองเห็นพ่อครูของตนนั่งมองด้วยใบหน้าคล้ายไม่พึงพอใจ จึงรีบหันไปกระซิบบอกดอยและชาวบ้านคนอื่น ๆ ที่จะมาขอของดี
“มึงขอพ่อครูเองนะไอ้ดอย”
“อ้าว! ไหนมึงบอกจะขอให้ไง”
“กูพูดเหรอ ไม่เห็นจะจำได้เลยว่ะ”
ฝั่งกาญที่มองมิ่งและชาวบ้านเอาแต่นั่งกระซิบกระซาบกัน ไม่ยอมเอ่ยบอกธุระที่มาหา ก็หงุดหงิดไม่น้อยก่อนจะเป็นฝ่ายถามออกไป
“พวกมึงมีอะไร?”
พอดอยและชาวบ้านคนอื่น ๆ ได้ยินน้ำเสียงดุดัน จึงรีบหันไปทางพ่อครูแล้วประนมมือไหว้ด้วยท่าทีนอบน้อม จากนั้นก็เดินค้อมตัวไปนั่งลงยังพื้น แล้วเอ่ยบอกพ่อครูที่นั่งอยู่บนโต๊ะไม้สัก
“คือพวกผมจะมาขอของดีที่ทำให้…”
“กูไม่มีของดี ที่ทำให้ใครรักใครหลงทั้งนั้น พวกมึงกลับไปกันซะ”
สิ้นเสียงเกรี้ยวกราดก็ทำเอาคนที่อยู่บนเรือนตกใจอีกทั้งตะลึงไม่น้อย ที่พ่อครูรู้ได้อย่างไรว่าพวกตนต้องการอะไร ทั้งที่ไอ้ดอยยังพูดไม่จบเลย รับรู้เช่นนั้นก็ยิ่งศรัทธาในตัวพ่อครูยิ่งขึ้น
“พ่อครูของจริงว่ะมึง”
“ใช่ กูนี่ขนลุกเลย”
แต่ความจริงแล้วจะไม่ให้เขารู้ได้อย่างไร เพราะก่อนหน้าพวกมันจะมา เขาเพิ่งไล่ชาวบ้านที่มาขอของดีกลับไป...
หลังจากกระซิบกระซาบกันกับเรื่องสุดทึ่งเมื่อครู่ ดอยและเพื่อน ๆ ก็นั่งคิดว่าจะเอาอย่างไรต่อ จะให้กลับมือเปล่าคงไม่ได้ ดินที่นั่งอยู่ข้างดอยจึงตัดสินใจพูดรบเร้าพ่อครูอีกครั้ง
“แล้วคาถาดี ๆ ที่ทำให้หญิงเห็นแล้วหลงใหลมีไหมครับพ่อครู”
“กลับไป อย่าให้กูต้องพูดซ้ำ!”
สิ้นน้ำเสียงขึงขังชายหนุ่มสามสี่คนก็มองหน้ากันเลิ่กลั่ก จากนั้นก็รีบไหว้ลาพ่อครูแล้วแยกย้ายกันกลับบ้านด้วยท่าทีเซ็ง ๆ
เมื่อบนชั้นสองเหลือเพียงกาญกับมิ่ง คนตัวสูงก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่กับเรื่องราวไร้สาระในวันนี้ที่ก่อกวนตนไม่ว่างเว้น จากนั้นก็เลือกไม่สนใจ ละสายตาจากชาวบ้านไปยังลูกศิษย์ พอเห็นมันมองด้วยใบหน้ายิ้ม ๆ คล้ายกับหวังอะไรจากเขาอยู่ จึงเอ่ยถามออกไปตรง ๆ
“ยิ้มอะไรของมึงไอ้มิ่ง?”
“พ่อครูไม่มีของดี หรือคาถาเด็ด ๆ จริงเหรอครับ?”
“อย่าบอกว่ามึงก็สมองไหลเหมือนพวกมัน”
“ใครจะอดใจไหวครับพ่อครู ก็ครูใหม่สวยขนาดนั้น นี่วันจันทร์ผมว่าจะไปสมัครเป็นภารโรงของโรงเรียนด้วยนะ เห็นว่าว่างพอดี” เมื่อเห็นมิ่งพูดด้วยใบหน้าเคลิบเคลิ้ม อีกทั้งอาการที่ดูเป็นเอามากกาญจึงอดพูดไม่ได้
“เพ้อเจ้อนะมึง”
“จริง ๆ นะครับพ่อครู คนอะไรสวยอย่างกับนางฟ้า”
คนที่นั่งฟังถึงกับส่ายหน้าเบา ๆ กับประโยคที่ได้ยิน ก่อนจะเลือกไม่สนใจหยิบหนังสือขึ้นอ่านอีกครั้ง ขณะดวงตากวาดมองยังตัวหนังสือ ในหัวก็นึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนี้ ที่มาจากผู้หญิงคนนั้น ก็ทำเอาอดสงสัยไม่ได้ จึงปิดหนังสือลงเพราะอ่านไปคงไม่มีสมาธิ แล้วหันไปถามลูกศิษย์ด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
“หน้าตามันเป็นยังไงวะ ทำไมพวกมึงถึงหลงกันนักหลงกันหนา”
“พ่อครูอยากเห็นไหมครับ?”
“กูแค่อยากรู้ ไม่ได้อยากเห็นหน้ามัน” สิ้นเสียงทุ้มมิ่งก็เอ่ยบอกกาญถึงหญิงสาวที่เขาไม่เคยเห็นใครสวยเท่านี้มาก่อน
“สวยมากครับพ่อครู สวยเหมือนไม่มีอยู่จริง”
“มึงก็พูดเกินความจริงไปมาก”
“จริง ๆ นะครับพ่อครู”
“สวยแต่ไม่มีเสน่ห์ หมาตาเหล่ก็ไม่มองหรอกไอ้มิ่งมึงจำไว้”
เพราะความสวยมันก็มีอยู่ในตัวทุกคน แต่เรื่องเสน่ห์นั้นหาได้ยากไม่ใช่ทุกคนจะมี พูดจบร่างสูงกำยำก็ดันตัวลุกขึ้นจากโต๊ะไม้สัก จากนั้นก็มองหาหลานชาย ลูกของน้องสาวที่ทิ้งไว้ให้เลี้ยง เนื่องจากคนเป็นแม่ไปทำงานที่กรุงเทพ ทว่าก็ไม่เห็นจึงถามมิ่ง
“ไอ้ไข่มันไปไหนวะ?”
“ผมเห็นเล่นอยู่ที่บ้านไอ้น้ำครับพ่อครู”
“มึงไปตามมันกลับบ้านให้กูหน่อยเย็นแล้ว แล้วมึงก็เลยไปซื้อกับข้าวที่ตลาดมาให้กูด้วย”
“ได้ครับ”
สิ้นเสียงตอบรับคนตัวสูงก็เตรียมลงไปข้างล่างเพื่อหุงข้าวทิ้งไว้ เนื่องจากอยู่กันสองคนลุงหลานจึงต้องหุงหาให้มันกิน ขณะที่กาญกำลังจะเดินไปยังบันได เป็นจังหวะที่มิ่งเหลือบเห็นนิกาและเพื่อน ๆ ของเธออยู่ทางหน้าบ้านพอดี จึงรีบเรียกพ่อครูของตนพร้อมกับเอ่ยบอกด้วยท่าทีตื่นเต้น
“พ่อครูครับ! นั่นไงครูคนใหม่ที่มาบรรจุโรงเรียนหมู่บ้านเรา”
กาญได้ยินเช่นนั้นก็หันมองยังหน้าบ้าน ทำให้ตาเข้มดุสะดุดกับเจ้าของร่างเล็กใบหน้าสวยหวานรับกับปากนิดจมูกหน่อย ซึ่งน่ารักน่าเอ็นดูอย่างที่ลูกศิษย์มันบอก กำลังยืนถ่ายรูปดอกไม้สีขาวที่ตนเป็นคนปลูกด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม จึงมองเธอนิ่ง ๆ โดยไม่พูดอะไร
ไม่นานคนตัวเล็กที่อยู่หน้าบ้านก็มองขึ้นมายังชั้นสอง ทำให้เขาและเธอสบตากันโดยไม่ได้ตั้งใจ แม้รับรู้เช่นนั้นก็ไม่ได้คิดถอดถอนสายตาไปจากเธอ ตาคู่คมยังคงมองใบหน้าสวยหวานของสาวน้อยไม่ละไปไหน
กระทั่งคนตัวเล็กส่งยิ้มหวานละมุนให้ จึงได้สติจากนั้นก็เบือนหน้าไปทางอื่น แล้วพูดย้ำมิ่งในสิ่งที่บอกก่อนหน้าอีกครั้ง
“มึงอย่าลืมตามไอ้ไข่กลับบ้านให้กูด้วย” จากนั้นกาญก็เดินลงบันไดบ้านไปทันที
ท่าทีเมินเฉยอีกทั้งไม่มีปฏิกิริยาต่อผู้หญิงสวย ๆ ของพ่อครู ไม่ได้ทำให้มิ่งแปลกใจ เพราะตนรู้ดีว่าอีกคนนั้นมีอดีตที่ขมขื่นจึงเข้าใจดี จากนั้นมิ่งก็เลือกไม่สนใจแล้วหันมองนิกาด้วยใบหน้าเคลิบเคลิ้ม
ทางด้านนิกาแม้อีกคนจะเดินหายไปแล้ว แต่เธอก็ยังไม่ละสายตาไปไหน ตาคู่สวยยังคงมองบนชั้นสองของบ้านเรือนไทย ขณะมือเล็กเลื่อนขึ้นลูบยังอกข้างซ้าย ที่วูบหวั่นสั่นระรัวไม่เป็นจังหวะ หัวใจดวงน้อย ๆ พองโตอย่างไม่มีเหตุผล
เพียงแค่ได้สบตากับใครก็ไม่รู้แค่เสี้ยววินาทีเท่านั้น ก็ทำเอาเธอรำพึงถึงแต่เขาแล้ว
ในเวลาที่นิกาตกอยู่ในภวังค์พอได้ยินป๊อบเอ่ยถาม...
“นิแกถ่ายรูปเสร็จยังเนี่ย?” ก็ทำให้ได้สติก่อนจะหันไปหาเพื่อนแล้วตอบกลับด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“เสร็จแล้ว”
“เสร็จแล้วก็ไปกันเถอะ เดี๋ยวมืดก่อน”
“โอเค”
สิ้นเสียงหวานนิกาก็เดินไปคร่อมรถจักรยาน ขณะกำลังจะปั่นพ้นบ้านเรือนไทยหลังดังกล่าว ใบหน้าสวยก็ไม่ลืมหันกลับไปมองยังจุดที่เคยมีอีกคนนั้นยืนอยู่ แต่พอไม่เห็นใครคนตัวเล็กจึงรีบปั่นจักรยานตามเพื่อนของเธอไป...