เมาค้างมาทำงาน
"เมาค้างใช่ไหม"
"ปะ...เปล่าค่ะ เปล่านะคะ ไม่ได้เมาค่ะ" พิชญ์ชาพรผงะไปเล็กน้อยหลังจากได้ยินคำถามของคีรินภัทร ก่อนจะรีบส่ายหน้าโบกมือปฏิเสธอย่างลนลาน ร้อนรนราวกับคนมีความผิด
"อย่าส่ายหัวมาก มึนหัวอยู่ไม่ใช่เหรอ" คีรินภัทรว่าพร้อมกับยื่นมือออกไปจับศีรษะของเธอไว้
"ดิฉันไม่ได้เมาจริงๆ นะคะท่านรองฯ" เธอพูดขึ้นอีกครั้ง ด้วยกลัวว่าจะถูกเขาตำหนิ เมื่อคืนนี้เธอไปดื่มกับแก๊งเพื่อนของเธอจนเกือบสว่างก็จริง แต่ไม่ได้ดื่มจนถึงขั้นเมาขาดสติ ด้วยเพราะรู้ว่าวันนี้จะต้องมาทำงาน
ถ้าเป็นวันหยุดเธอถึงจะดื่มจนเมาแบบเต็มที่ ตอนนี้ถึงแม้ว่าเธอจะมีอาการมึนๆ อยู่ก็จริงแต่เธอก็ยังทำงานได้ เธอไม่อยากให้ใครมาตำหนิเธอว่าเที่ยวดื่มจนเสียการเสียงาน
"ตอนนี้อาการคุณเป็นไงบ้าง ดีขึ้นบ้างหรือยัง"
"ท่านรองฯ ดิฉันพูดจริงๆ นะคะ ไม่ได้เมาจริงๆ" เธอบอกเขาไปอีกครั้งอย่างไม่ยอมแพ้ ก่อนจะพูดต่อด้วยเสียงเบาลง "แค่ดื่มไปนิดเดียวเอง..."
"ผมรู้ว่าคุณไปดื่มมา…"
"รู้ได้ไงคะ" เธอถามกลับทันทีด้วยความแปลกใจ เขารู้ได้ยังไง
"ผมได้กลิ่นจากตัวคุณ"
พอเขาพูดจบ พิชญ์ชาพรรีบยกแขนตัวเองขึ้นมาแล้วดมกลิ่นตัวเองทันที ท่าทางของเธอทำให้คีรินภัทรหลุดขำออกมา ก่อนที่เขาจะรีบหันหน้าหนีแล้วยกมือขึ้นมาปิดบังรอยยิ้มของตัวเองไว้ ไม่ให้เธอเห็น
"แต่ดิฉันอาบน้ำแล้วนะคะ มันได้กลิ่นชัดขนาดนั้นเลยเหรอคะท่านรองฯ" พิชญ์ชาพรเงยหน้าขึ้นมาถาม พอถูกทักเรื่องกลิ่นที่ติดตัว ความมั่นใจที่พกมาเมื่อเช้าได้หายไปหมดเลยทันที คีรินภัทรกระแอ้มไอเบาๆ ในลำคอ ก่อนจะหันมาตอบคำถามของเลขาฯ สาว
"ไม่เท่าไหร่ เป็นกลิ่นอ่อนๆ น่ะ" เป็นกลิ่นกายสาวผสมกับกลิ่นน้ำหอมยี่ห้อดัง เจือด้วยกลิ่นแอลกอฮอล์อ่อนๆ เท่านั้น ไม่ใช่กลิ่นที่
น่าเกลียดเลยสักนิด
"ฮือออ ท่านรองฯ คะ ดิฉันขอตัวกลับไปอาบน้ำใหม่ได้ไหมคะ ไม่มั่นใจเลย"
"มันก็...ไม่ใช่กลิ่นที่น่าเกลียดอะไรนะ" พูดจบชายหนุ่มก็ยกมือขึ้นมาลูบท้ายทอยตัวเองเบาๆ ก่อนจะพูดต่อ "อีกอย่างวันนี้ก็ไม่ค่อยมีงานอะไรนี่ รายงานการประชุมคุณทำเสร็จหรือยังล่ะ"
"เสร็จหมดแล้วค่ะ ว่าแต่...มันไม่น่าเกียจจริงๆ ใช่ไหมคะ"
ถามอีกครั้งเพื่อความชัวร์ ถึงแม้ว่าความมั่นใจจะลดลงไปแล้วเกินครึ่ง
"ไม่ครับ แต่ไหนๆ คุณก็ทำงานเสร็จหมดแล้ว และคุณก็ไม่ค่อยสบายด้วย วันนี้ผมให้คุณลางานหนึ่งวันแล้วกัน กลับไปพักผ่อน"
คีรินภัทรบอกเลขาฯ สาวอย่างใจดี
"เอ่อ...ขอบคุณนะคะ แต่ดิฉันไม่ลาดีกว่าค่ะ คือไม่ได้เป็นอะไรมาก" แค่มึนๆ นิดหน่อยเอง แค่นั่งพักอีกนิดก็น่าจะดีขึ้น อีกอย่างเธอไม่อยากให้เขามองไม่ดีหรือตำหนิเธอ ถ้าป่วยเป็นไข้หรือป่วยอย่างอื่น เธอก็คงจะลาอยู่หรอก แต่นี่เพราะเธอไปดื่มมา ใครจะกล้าลากัน เหตุผลนี้ช่างดูไร้ความรับผิดชอบที่สุด
"แล้วคุณไหวแน่นะ" คีรินภัทรถามอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ
"ไหวค่ะ" เธอตอบพร้อมกับฉีกยิ้มกว้าง ยกมือขึ้นมาทำสัญลักษณ์โอเคเพื่อยืนยันว่าเธอไหว และไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ
คีรินภัทรหยักหน้าเล็กน้อย ก่อนจะเดินออกจากห้องไปหยิบกระเป๋าที่วางไว้บนโต๊ะทำงานของหญิงสาว แต่เมื่อเดินออกมาแล้วเห็นบันไดเหล็กที่ยังคงวางอยู่บนพื้น ชายหนุ่มมองมันด้วยความลังเล
สักพักหนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ จากนั้นก็ก้มลงไปยกมันขึ้นมาแล้วแบกไปเก็บที่ห้องเก็บของที่อยู่มุมบันไดหนีไฟ ขืนปล่อยไว้แล้วรอช่างมาเก็บ มีหวังเลขาฯ เขาได้แผงฤทธิ์อีกแน่ๆ
วันทำงานของพิชญ์ชาพรผ่านไปอย่างราบรื่นอีกวัน ก็จะไม่ให้ราบรื่นได้ยังไง วันนี้ทั้งวันเธอแทบจะไม่ได้ทำอะไรเลยต่างหาก ที่ทำมากสุดก็คือการเปลี่ยนหลอดไฟตอนเช้าแค่นั้น หลังจากนั้นเธอก็ไม่ได้ทำอะไรเลยนอกจากเดินลงไปทานข้าวที่ฟู้ดคอร์ต
ปกติตอนกลางวันพิชญ์ชาพรจะทานข้าวกับกมลชนก แต่ถ้าวันไหนกมลชนกไม่อยู่ เธอก็จะทานคนเดียว ไม่ลงไปทานข้างล่างก็จะซื้อขึ้นมาทานข้างบน
แต่วันนี้ไม่รู้ว่าเจ้านายเธอเกิดคึกอะไร จู่ๆ ก็เดินออกมาจากห้องทำงานแล้วชวนเธอไปทานข้าวที่ฟู้ดคอร์ตด้วยกัน เธอก็งงนิดๆ แหละ เพราะปกติแล้วคีรินภัทรไม่เคยลงไปทานข้าวที่ฟู้ดคอร์ตเลย มากสุดก็ให้เธอซื้อขึ้นมาให้ แต่สงสัยคงเบื่อทานข้าวในห้องแหละ ก็เลยอยากลงไปเปิดหูเปิดตาบ้าง
เสียงสมาร์ตโฟนของพิชญ์ชาพรดังขึ้น ในขณะที่เธอเปิดประตูเข้ามาในห้อง เธอเปิดกระเป๋าแล้วหยิบสมาร์ตโฟนขึ้นมาดูว่าใครเป็นคนโทร. มาก่อนจะกดรับและกรอกเสียงลงไปทันที เมื่อเห็นว่าเป็น
คณาธิปเพื่อนรักของเธอนั่นเองที่โทร. เข้ามา
"ฮัลโหล ว่าไงจ๊ะ"
[มึง...]
"ไม่จ้ะ! คืนนี้งด" พิชญ์ชาพรรีบปฏิเสธก่อนที่ปลายสายจะได้พูดจบ แค่คำว่า ‘มึง’ คำแรกที่ออกจากปากเพื่อนรักอย่างคณาธิปนั้น ทำให้เธอรู้ได้ทันทีว่าเพื่อนของเธอจะพูดอะไร คงไม่พ้นโทร. มาชวนไปเที่ยวคืนนี้
[คุณพระ! คืนนี้ฝนจะตกไหม เป็นครั้งแรกเลยนะที่มึงกล้าปฏิเสธกูเนี่ย] ถ้าให้เดา ฟังจากเสียงแล้วตอนนี้อีคิณณ์มันต้องทาบมือไว้ที่อกด้วยแน่ๆ [เกิดอะไรขึ้นอีนีพิชญ์ บอกกูมาเดี๋ยวนี้ เกิดอะไรขึ้นกับมึง]
"ไม่มีอะไร กูแค่อยากพักบ้าง" บอกพร้อมกับเดินไปทิ้งตัวแผ่หลาบนเตียง ทั้งๆ ที่วันนี้ไม่ได้ทำงานหนักแต่เธอกลับรู้สึกเพลียมาก
[ใครก็ได้หยิกกูแรงๆ ที กูไม่ได้หูฝาดใช่ไหม] คณาธิปยังคงเล่นใหญ่อย่างต่อเนื่อง เพราะมีน้อยครั้งมากจริงๆ ที่พิชญ์ชาพรจะปฏิเสธ
"อือ ตอนนี้กูยังมึนๆ อยู่เลย วันนี้ก็เกือบเป็นลมแหนะ"
[จริงป้ะ!? แสดงว่าอาการหนักจริง แล้วได้ไปหาหมอมาหรือยัง] คณาธิปเลิกเล่นใหญ่ แล้วเปลี่ยนมาถามด้วยความเป็นห่วงทันที
"ไม่ได้ไปอะ จริงๆ คุณคีรินภัทรจะให้กูลา แต่ใครจะไปกล้าลาวะ เหตุผลเพราะเมื่อคืนดื่มหนักไปหน่อยงี้เหรอ"
[แล้วเขารู้ปะว่าเมื่อคืนมึงไปดื่มมาอะ]
"จะเหลือเร๊อะ กลิ่นมันออกอะ เขาเลยรู้"
[หือ...เขาได้กลิ่นได้ไง?] แล้วพิชญ์ชาพรก็เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้คณาธิปฟัง ซึ่งพอเล่าจบ คณาธิปก็ลืมประเด็นการป่วยของเพื่อนไปทันที แล้วมุ่งประเด็นไปที่ความใกล้ชิดของพิชญ์ชาพรกับเจ้านายหนุ่มสุดหล่อแทน [คุ้มแล้วมึง เมาครั้งนี้คุ้มสุดแล้วจริงๆ ถึงไม่ได้กิน แต่ได้สัมผัสก็ถือว่าเป็นบุญของพญาอินทรีย์อย่างมึงแล้ว]
"มึงเบาได้เบาก่อน นั่นเจ้านายกูค่ะ"
[กูถามจริง ไหนตอนแรกบอกชอบนักชอบหนา หล่ออย่างนั้นหล่ออย่างนี้ ตอนนี้ไม่ชอบแล้วหรือไง ถึงได้ดูไม่กรี๊ดกร๊าดเหมือนตอนแรกๆ] คณาธิปจำได้ว่าตอนที่พิชญ์ชาพรเข้าไปทำงานใหม่ๆ ตกเย็นมาก็มักจะเล่าเรื่องเจ้านายสุดหล่อให้ฟัง
"ถ้าเรื่องความหล่ออะ ยังชอบอยู่ เพราะนับวันเจ้านายกูยิ่งกร้าวใจมากขึ้นทุกวัน แต่ก็ชอบแบบขำๆ ปะ กูทำงานกับเขามาปีกว่าแล้ว
มึงจะให้กูกรี๊ดอะไรได้ทุกวันคะ"
[ไม่คิดจะจีบจริงๆ จังๆ บ้างเหรอ เหมือนในซีรีส์หรือนิยายอะ
ที่เจ้านายกับเลขาฯ ชอบได้กันเอง]
"ฮัลโหลลล! ตื่นค่ะ ตื่นเดี๋ยวนี้เลยอีกะเทยช่างเพ้อฝัน เรื่องแบบนั้นมันก็มีแค่ในนิยายกับในซีรีส์เท่านั้นแหละ มึงดูด้วยเขารวยระดับหมื่นล้าน ส่วนกูนี่อยู่ระดับหมื่นบาท" แถมหนี้สินอีกเพียบ
[แล้วถ้าเขาจีบมึงก่อนล่ะ มึงเอาปะ]
"ไม่น่าถามอะไรโง่ๆ นะ เอาสิคะ ถ้าได้กูจะป่าวประกาศให้รู้ทั้งหมู่บ้านเลย ได้ผัวรวยค่า" จากนั้นสองเพื่อนซี้ก็ระเบิดหัวเราะออกมาพร้อมๆ กัน ก่อนจะคุยกันไปในเรื่องอื่นๆ เมาท์เรื่องผู้ชายที่มาจีบ
คณาธิปบ้าง เมาท์เรื่องชะนี้คนอื่นๆ บ้าง ผ่านไปสักพักใหญ่ๆ ในระหว่างที่ทั้งคู่คุยกันอย่างออกรสออกชาติ ก็มีคนโทร. ซ้อนเข้ามาในสมาร์ตโฟนของพิชญ์ชาพร
"คิณณ์ๆ แค่นี้ก่อนนะ พี่เปรมโทร. มาว่ะ"
[เดี๋ยวอีนีพิชญ์ สรุปคือคุยกัน?] เปรมหรือปรเมศวร์คือผู้ชายที่พิชญ์ชาพรกำลังคุยๆ อยู่ เมื่อหนึ่งเดือนก่อนปรเมศวร์กับพิชญ์ชาพรเจอกันที่ร้านข้าวต้มร้านหนึ่ง ทั้งคู่ต่างพึ่งไปดื่มมาเหมือนกัน
ในขณะที่พิชญ์ชาพรกำลังนั่งทานมื้อดึกอยู่กับแก๊งเพื่อนสาว จู่ๆ ปรเมศวร์ก็เดินเข้ามาบอกว่าสนใจ และขอช่องทางการติดต่อของ
พิชญ์ชาพรไป ซึ่งตอนนั้นเธอก็เมาๆ อยู่ เธอจึงให้อินสตราแกรมของตัวเองกับเขาไป พอบ่ายวันต่อมาปรเมศวร์ก็ไดเรกมาคุยกับเธอเลยทันที
"ก็...อือคุยๆ อยู่ พี่เปรมเขาก็หล่อดีนะมึง ดูเป็นผู้ใหญ่ดีด้วย"
[ไม่รู้ว่ะ กูว่าท่าทางมันเจ้าชู้แปลกๆ คุยได้แต่ก็ระวังหน่อยแล้วกัน ถ้าจะนัดเจอกันก็บอกกูด้วย จะได้ไปเป็นแบล็กให้] น้ำเสียงของคณาธิปจริงจังขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด เพราะถึงพิชญ์ชาพรจะดูแรดๆ ในสายตาเพื่อน แต่ก็ยังอ่อนประสบการณ์เรื่องผู้ชาย ซึ่งข้อนี้ทุกคนในแก๊งจะรู้ดี
"อือ ขอบใจมึงมากนะ แต่แค่นี้ก่อน ผู้ชายรอนานแล้วค่ะ" พูดจบพิชญ์ชาพรก็กดวางสายจากคณาธิป แล้วรีบกดรับสายของปรเมศวร์ที่โทร. เข้ามาอีกครั้งเลยทันที
"ฮะ...ฮัลโหลค่ะ" พิชญ์ชาพรทักทายปลายสายด้วยเสียงสั่นนิดๆ ด้วยเพราะยังไม่เคยคุยกันผ่านเสียง ส่วนมากจะคุยผ่านตัวหนังสือมากกว่า
[ฮัลโหลครับ เมื่อกี้น้องพิชญ์คุยกับใครอยู่ ทำไมสายซ้อน]
"คุยกับคิณณ์น่ะค่ะ พอดีเมาท์กันเพลินนิดหน่อย แล้วพี่เปรมมีอะไรหรือเปล่าคะ"
[ไม่มีอะไรครับ ต้องมีอะไรด้วยเหรอ พี่ถึงจะโทร. หาน้องพิชญ์ได้] ปลายสายถามด้วยน้ำเสียงติดน้อยใจนิดๆ
"ไม่ใช่แบบนั้นค่ะ ก็แบบว่า...ปกติ เราคุยกันในไดเรกไอจีมากกว่านี่คะ พอพี่เปรมโทร. มาแบบนี้ ก็เลยรู้สึกไม่ชินน่ะค่ะ"
[ก็เดี๋ยวฝึกไว้ คุยบ่อยๆ จะได้ชินไงครับ]
"อ๋อ ค่ะ..."
[แล้วนี่น้องพิชญ์ทำอะไรอยู่]
"ไม่ได้ทำอะไรค่ะ พึ่งจะเลิกงาน แล้วพี่เปรมล่ะคะ"
[พี่ก็พึ่งเลิกงานเหมือนกัน พรุ่งนี้หลังเลิกงานกี่โมง ไปทานข้าวกันไหม] ปลายสายเอ่ยชวน เนื่องจากคุยกันมาสักพักแล้ว เขาจึงอยากกระชับความสัมพันธ์กับหญิงสาวให้มากขึ้น อีกอย่างที่ทำงานของทั้งคู่ก็อยู่ใกล้ๆ กัน ไม่ใช่เรื่องลำบากอะไรที่จะนัดเจอกัน
พิชญ์ชาพรเงียบและครุ่นคิดอยู่สักพักหนึ่ง แต่เพราะเห็นว่าเป็นช่วงเวลาหลังเลิกงาน ยังไม่ค่ำมาก เธอจึงตกลงที่จะไปทานข้าวกับปรเมศวร์ในที่สุด
"ได้ค่ะ"