ทำไมเกิดมาหล่อขนาดนี้คะ 2

2003 Words
ทำไมเกิดมาหล่อขนาดนี้คะ หลังจากทานอาหารเสร็จ ก็อยู่คุยกับผู้บริหารวินเพิร์ล นัดแนะสำหรับการลงพื้นที่ตรวจดูงานพรุ่งนี้เล็กน้อย จากนั้นคีรินภัทรก็ขอตัวกลับโรงแรมทันที เมื่อกลับมาถึงโรงแรม พิชญ์ชาพรก็คุยรายละเอียดเรื่องงานวันพรุ่งนี้กับคีรินภัทรเล็กน้อย ก่อนที่ทั้งคู่จะแยกย้ายกันเข้าห้องเพื่อพักผ่อนตามอัธยาศัย ก่อนหน้านี้ที่เธอชวนคีรินภัทรไปเดินเล่น UD town แล้วเขาบอกว่าขอคิดดูก่อน หลังจากนั้นเขาก็ไม่ได้พูดอะไรอีกเลย สงสัยว่าเขาคงไม่ไปแน่ๆ เพราะเขาเงียบไปเลย พิชญ์ชาพรเข้าห้องมาเปลี่ยนชุดให้เป็นชุดที่สบายชิลล์ๆ เตรียมพร้อมจะไปเดินเล่นและนั่งดื่มแก้เซ็งคนเดียว แต่พอเธอเดินลงมาถึงลอบบีของโรงแรมเธอก็ต้องหยุดชะงัก เมื่อเห็นคนที่บอกว่าขอคิดดูก่อนลงมานั่งรอเธออยู่ก่อนแล้ว! "ท่านรองฯ เคยมาเดินตลาดแบบนี้ไหมคะ" พิชญ์ชาพรหันหน้าไปถามคีรินภัทรที่เดินอยู่ข้างๆ ในระหว่างที่ทั้งคู่กำลังเดินดูของหลากหลายชนิดที่วางขายอยู่บนแผงลอยเต็มสองข้างทาง "เคย เมื่อก่อนผมไปตลาดนัดรถไฟกับพ่อแล้วก็ไอ้ริวประจำ" ชายหนุ่มตอบเสียงเรียบ สายตามองไปที่สินค้าต่างๆ ด้วยความสนใจ ส่วนริวหรือภัท**นนที่เขาพูดถึงคือน้องชายคนเล็กสุดของเขา บิดากับมารดาของเขามีลูกทั้งหมดสามคน คีรินภัทรเป็นลูกชายคนโต ศรัณภัทรเป็นลูกชายคนกลาง ส่วนภัท**นนเป็นลูกชายคนเล็กสุด "หืม ท่านประธานก็ด้วยเหรอคะ" พิชญ์ชาพรถามอย่างแปลกใจ เพราะไม่คิดว่าระดับเศรษฐีรวยระดับหมื่นล้านอย่างประวิตร จะชอบเดินตลาดที่อากาศอบอ้าวแบบนี้ จริงๆ เธอไม่ได้แปลกใจแค่ประวิตรคนเดียวหรอก เธอแปลกใจเจ้านายของเธออย่างคีรินภัทรด้วย ไม่คิดว่าเขาจะเดินตลาดร้อนๆ แบบนี้ได้โดยไม่บ่นสักคำ แถมยังดูสนใจของที่วางขายตามสองข้างทางอีกต่างหาก "ใช่ ไอ้ริวมันชอบกินเล้งที่ตลาดรถไฟ ทุกคนก็เลยต้องไปกับมันด้วย" ด้วยเพราะภัท**นนเป็นน้องชายคนเล็ก จึงมักจะถูกทุกคนในบ้านตามใจและเอาใจมากเป็นพิเศษ "ฟังดูเหมือนคุณริวเอาแต่ใจที่สุดในบ้านเลยนะคะ" พิชญ์ชาพรว่าอย่างขำๆ เธอเคยเจอภัท**นนอยู่หลายครั้ง และค่อนข้างที่จะสนิทกันในระดับหนึ่ง "ทุกคนก็คิดเหมือนคุณ แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่ ไอ้ริวไม่ได้เอาแต่ใจที่สุดในบ้าน" "อ้าว แล้วใครล่ะคะ" เธอเอียงคอถามด้วยความสงสัย "ไอ้รัน" "หืม คุณรันเนี่ยนะคะ" หญิงสาวรู้สึกแปลกใจนิดๆ เพราะเท่าที่เธอได้สัมผัสจากการที่ได้ร่วมงานกับศรัณภัทรอยู่บ่อยๆ เธอคิดว่าเขาก็เป็นคนเรียบง่ายสบายๆ ดีนี่นา ไม่เหมือนคนชอบเอาแต่ใจเลย "คุณรันดูไม่น่าใช่คนเอาแต่ใจเลยนะคะ" "มันนั่นแหละ เอาแต่ใจที่สุดในบ้านแล้ว" "ท่านรองฯ ใส่ร้ายน้องชายป้ะเนี่ย" เธอแกล้งพูดกระเซ้าเย้าแหย่เขา พลางมองยิ้มๆ "ถ้าคุณคิดว่าผมใส่ร้ายมัน คุณลองไปถามพ่อผมดูก็ได้" "ได้ค่ะ ถ้ามีโอกาสดิฉันจะถามท่านประธานเอง" พิชญ์ชาพรค่อนข้างสนิทกับประวิตรเป็นอย่างมาก เนื่องจากประสานงานร่วมงานกันบ่อยๆ และประวิตรเองก็เอ็นดูเธอมากเหมือนกัน "ตอนนี้ไม่ใช่เวลางาน คุณไม่ต้องแทนตัวเองว่า ‘ดิฉัน’ กับผมก็ได้" คีรินภัทรเอ่ยบอก เพราะคิดว่าสรรพนามการเรียกแทนตัวเองของเธอมันดูเป็นทางการเกินไป อีกอย่างตอนนี้ก็ไม่ใช่เวลางานด้วย "ถ้าไม่แทนว่าดิฉัน แล้วจะให้แทนว่ายังไงล่ะคะ" "ก็...แทนตัวเองเหมือนคุยกับไอ้รันหรือเหมือนตอนที่คุณคุยกับคนอื่นๆ ก็ได้" ตอนที่เธอคุยกับศรัณภัทร ไม่ว่าจะเป็นในเวลางานหรือไม่ใช่เวลางาน เธอจะเรียกแทนตัวเองด้วยชื่อเล่นของเธอเอง ต่างกับคีรินภัทรที่เธอมักจะแทนตัวเองว่าดิฉันตลอดเวลา "ท่านรองฯ หมายถึงให้แทนตัวเองว่า ‘พิชญ์’ เฉยๆ น่ะเหรอคะ" "อืม..." เขาพยักหน้า "แล้วก็ไม่ต้องเรียกผมว่าท่านรองฯ ด้วย" "ได้ไงล่ะคะ ก็ท่านรองฯ เป็นท่านรองฯ ต้องเรียกท่านรองฯ น่ะ ถูกแล้ว ขนาดท่านประธาน ดิฉันยังเรียกท่านประธานเลย" เธอเถียง "ไอ้รันก็ตำแหน่งเดียวกับผม ทำไมคุณไม่เรียกมันว่าท่านรองฯ เหมือนที่เรียกผม" เขาเถียงกลับ "ก็ท่านรองฯ เป็นเจ้านายของดิฉันนี่คะ" เธอยังคงเถียงอย่างไม่ยอมแพ้ "แล้วไอ้รันไม่ใช่?" "ใช่ค่ะ แต่ไม่ใช่เจ้านายโดยตรงค่ะ" คีรินภัทรย่นคิ้วเข้าหากัน มองหน้าเลขาฯ สาวอย่างไม่เข้าใจ จะเจ้านายทางตรงหรือทางอ้อม เขากับศรัณภัทรก็อยู่ในตำแหน่งรองประธานเหมือนกันไม่ใช่หรือไง แถมยังเป็นบริษัทเดียวกันด้วย "อีกอย่างดิฉันก็ชินกับการเรียกแบบนี้แล้วด้วย จะให้เปลี่ยนตอนนี้ก็ไม่ทันแล้วค่ะ" "เฮ้อ...ตามใจคุณแล้วกัน" สุดท้ายคีรินภัทรก็ต้องถอนหายใจออกมา แล้วยอมแพ้ไปในที่สุด "ค่ะ ท่านรองฯ" พูดจบก็ฉีกยิ้มกว้างส่งไปให้ จากนั้นทั้งคู่ก็เดินเล่น เดินดูของต่างๆ ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเดินทางถึงโซนของกิน มีอาหารหลากหลายชนิดให้เลือกซื้อเลือกทาน มีโต๊ะเตรียมไว้สำหรับนั่งทานอยู่หลายโต๊ะ แต่ก็มีคนจับจองเต็มแล้วทุกโต๊ะ ทำให้ตอนนี้ไม่มีโต๊ะเหลือว่างเลยแม้แต่โต๊ะเดียว "คุณหิวเหรอ" คีรินภัทรถามขึ้นเมื่อเห็นพิชญ์ชาพรมองอาหารตามร้านต่างๆ ด้วยความสนใจ เหมือนกำลังหาอะไรสักอย่างทาน "หิวนิดหน่อยค่ะ กำลังดูๆ อยู่ว่ามีอะไรน่าทานบ้าง" "ก่อนหน้านี้คุณเพิ่งทานมาเองนี่" ตอนที่ร่วมรับประทานอาหารกับทางวินเพิร์ล พิชญ์ชาพรก็ร่วมโต๊ะด้วย เขาเห็นเธอทานไปเยอะพอสมควรเลยล่ะ "ทานได้อีกค่ะ ดิฉันชอบหิวตอนดึกๆ เมาแล้วชอบหิว" เธอเอ่ยขำๆ แต่มันคือเป็นความจริง เพราะปกติแล้วตอนที่เธอไปเที่ยวกับแก๊งเพื่อน หลังจากคลับปิดเธอกับเพื่อนมักจะไปหาอะไรทานกันก่อนจะแยกย้ายกันกลับ หรือถ้าครั้งไหนเมามาก เพื่อนเธอก็จะลากไปนั่งทานด้วยทั้งที่เมาๆ นั่นแหละ "แล้วไหนวันนี้คุณบอกจะมาดื่ม ทำไมผมไม่เห็นคุณเข้าไปนั่งเลย สักร้าน" "ตอนแรกก็ตั้งใจจะมาดื่มนั่นแหละค่ะ แต่พอท่านรองฯ มาด้วย ดิฉันก็เลยเกรงใจ" หลายครั้งที่ไปทำงานต่างจังหวัดด้วยกัน เธอไม่เคยเห็นเขาดื่มเลยสักครั้ง เธอเลยคิดเอาเองว่าเขาอาจจะดื่มไม่เป็นหรือไม่ชอบดื่ม และถ้าวันนี้เธอจะเข้าไปนั่งดื่มแล้วให้เขานั่งดื่มน้ำเปล่าก็กระไรอยู่ "ปกติท่านรองฯ ดื่มไหมคะ" "ผมดื่มได้" เขาบอก "คุณคิดว่าผมไม่ดื่มเหรอ" "ค่ะ" เธอพยักหน้า "ดิฉันไม่เคยเห็นท่านรองฯ ดื่มเลย ก็เลยคิดว่าท่านรองฯ อาจจะไม่ดื่มหรือไม่ชอบ" เขาก้มมองนาฬิกาข้อมือ เห็นว่าตอนนี้ห้าทุ่มแล้ว เขาจึงเงยหน้าขึ้นไปพูดกับเธอ "ตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว คุณเลือกมาสักร้านสิ" เมื่อได้ยินเจ้านายพูดมาแบบนั้นแล้ว พิชญ์ชาพรก็เลิกสนใจของกิน แล้วหันไปมองร้านนั่งชิลล์ที่มีให้เลือกประมาณสองสามร้าน เธอเลือกร้านที่คนเยอะสุด เพราะยิ่งคนเยอะเท่าไหร่ก็แปลว่าร้านนั้นพรีเมี่ยมมากเท่านั้น เข้ามานั่งในร้านพนักงานก็เอาเมนูมาให้พร้อมกับแจ้งโพรโมชันของทานร้าน แต่เนื่องด้วยพรุ่งนี้มีงานตอนเช้า พิชญ์ชาพรกับคีรินภัทรจึงมีความเห็นตรงกันว่าควรสั่งเครื่องดื่มมาแบบเบาๆ ก็พอ แต่ประเด็นคือนิยามของคำว่า ‘ดื่มแบบเบาๆ’ ของทั้งคู่ไม่เหมือนกันน่ะสิ "เบียร์สดหนึ่งทาวน์ค่ะ / เบียร์สดหนึ่งเหยือกครับ" ทั้งคู่หันขวับมามองหน้ากันทันที เมื่ออีกฝ่ายสั่งเครื่องดื่มไปคนละขนาด ซึ่งเบียร์สดหนึ่งทาวน์เวอร์ที่พิชญ์ชาพรสั่งไปนั่นมากกว่าเบียร์สดหนึ่งเหยือกที่คีรินภัทรสั่งถึงสามเท่า! "ไหนคุณบอกจะดื่มเบาๆ ไง" ชายหนุ่มถามทวนถึงข้อตกลงที่ ตกลงกันก่อนหน้านี้ "ก็เนี่ยแหละค่ะ เบาแล้ว" "หนึ่งทาวน์เวอร์นี่คุณเรียกเบาเหรอ" "ค่ะ ปกติดื่มหนักกว่านี้" เธอพยักหน้ายืนยัน ก่อนจะถามเขากลับ "ท่านรองฯ ดื่มไม่เก่งเหรอคะ" คำถามของเธอทำให้คีรินภัทรเผลอถลึงตาใส่ เธอถามด้วยน้ำเสียงปกติ แต่เขากลับรู้สึกว่ามันเป็นคำถามที่ดูถูกเขาด้วย เขาไม่ใช่คนชอบดื่มและดื่มไม่บ่อยเหมือนน้องชายทั้งสอง แต่ระดับการดื่มของเขาไม่ใกล้เคียงกับคำว่า ‘ดื่มไม่เก่ง’ แน่นอน "เอามาหนึ่งทาวน์ครับ" เขาไม่ตอบคำถามของเธอ แต่หันไปพูดกับพนักงานแทน ผ่านไปสักพักพนักงานก็ยกเครื่องดื่มที่สั่งไปมาวางไว้ให้บนโต๊ะ พร้อมเสิร์ฟให้เขาและเธอคนละแก้ว ก่อนจะถอยออกไปบริการโต๊ะอื่นๆ ต่อ "ท่านรองฯ คะ ดิฉันมีเรื่องสงสัย" ในระหว่างที่กำลังนั่งดื่ม นั่งฟังเพลง ดื่มด่ำบรรยากาศร้านเหล้าต่างจังหวัดไปสักพัก พิชญ์ชาพรก็ละสายตาจะผู้คนที่อยู่รอบๆ แล้วหันมามองคีรินภัทรที่นั่งอยู่ตรงข้ามเมื่อนึกบางอย่างขึ้นมาได้ "สงสัยเรื่อง?" คีรินภัทรเลิกคิ้วขึ้นถาม หญิงสาวชะงักไปเล็กน้อย ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะเบียร์ที่เพิ่งดื่มไปแค่แก้วเดียว หรือเป็นเพราะเธอพึ่งสังเกตกันแน่ ทำไมจังหวะที่เขาเงยหน้าขึ้นมาสบตา เธอรู้สึกว่าเขาหล่อจัง ปกติเขาก็หล่ออยู่แล้ว แต่จังหวะที่ได้สบตากับเขาเมื่อกี้ เธอกลับรู้สึกว่าเขาหล่อกว่าเดิมมาก "สรุปคุณสงสัยเรื่องอะไร" ชายหนุ่มถามเมื่อเห็นว่าเธอเอาแต่มองหน้าเขา "ทำไมท่านรองฯ หล่อจังคะ" พิชญชาพรพูดออกไปราวกับคนไม่มีสติ ยิ่งทำให้คีรินภัทรขมวดคิ้วเข้าหากันมากกว่าเดิม ใบหน้าเริ่มร้อนขึ้นมานิดๆ แต่ก็ยังพยายามควบคุมความรู้สึกบางอย่างเอาไว้ "นี่คือเรื่องที่คุณสงสัย?" ชายหนุ่มพยายามปรับสีหน้าให้เรียบนิ่งแล้วเอ่ยถาม "ค่ะ เอ๊ย! ไม่ใช่เรื่องนี้สิคะ" เมื่อได้สติ หญิงสาวก็รีบโบกมือปฏิเสธทันที เพราะเรื่องที่เธอตั้งใจจะถามเขาตอนแรก ไม่ใช่เรื่องนี้ "เรื่องหล่อก็สงสัยเหมือนกันค่ะ แต่ก็มีเรื่องอื่นด้วย" ไม่เลย ไม่ได้ทำให้ความร้อนลุ่มบนใบหน้าลดลงเลย ชายหนุ่มคิดในใจ และยังคงรักษาอาการให้นิ่งต่อไป "เรื่องอะไร" "เอาเรื่องไหนก่อนคะ" "เอาเรื่องที่มันมีสาระ" "ก็มีสาระทั้งสองเรื่องนะคะ" คราวนี้เธอเริ่มแกล้งเย้าแหย่ พลางอมยิ้มนิดๆ เธอรู้ว่าเขากำลังเขิน เพราะยิ่งเธอชมเขาก็ยิ่งทำหน้านิ่ง ยิ่งตีหน้าขรึมใส่มากเท่านั้น ซึ่งขัดกับใบหูแดงๆ ที่บ่งบอกว่าเขากำลังเขินจัดนั่นมาก "แต่เอาเรื่องที่สำคัญมากๆ ก่อนแล้วกัน" "อืม ถามมาสิ" ถามเสียงนิ่งมากพ่อ หญิงสาวอมยิ้มกรุ่มกริ่ม ท้าวคางกับโต๊ะ มองเขาอย่างไม่หลบตาก่อนจะถามออกไป "ทำไมท่านรองฯ ถึงเกิดมาหล่อขนาดนี้คะ"
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD