“เรื่องขนส่ง ฉันจะให้ทีมกฎหมายร่างสัญญาใหม่ให้ละเอียดกว่าที่เคย ใครมีข้อเสนอเพิ่มอีกไหม”
เสียงทุ้มของเขาก้องกังวานไปทั่วห้อง ทุกคนต่างเงียบลงเมื่อไม่มีใครอยากออกความคิดเห็นต่อ
มีนาคอยนั่งจดบันทึกทุกคำอย่างตั้งใจ ปากกาวิ่งฉิวไปบนกระดาษโดยไม่พลาดแม้แต่คำเดียว ใบหน้าของเธอยังคงก้มต่ำ แต่ในใจกลับแอบรู้สึกภูมิใจเล็กๆ ที่ก่อนหน้านี้สิ่งที่เธอพูดไป ได้รับการยอมรับจากสายธารแม้เขาจะไม่เอ่ยชมตรงๆก็ตาม
“ถ้าไม่มีแล้วการประชุมก็จบแค่นี้”
น้ำเสียงทรงอำนาจตัดบทอย่างเฉียบขาด ก่อนสายธารจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูง สูทสีเข้มตัดกับร่างกายที่สง่า ทำให้ทุกสายตาในห้องประชุมหันมามองอย่างเกรงขาม
ทุกคนทยอยเก็บเอกสารและออกจากห้องทีละคน เสียงเก้าอี้ขยับดังแผ่วๆ จนในที่สุดบรรยากาศในห้องเริ่มเงียบลง
มีนายังคงก้มหน้ารวบเอกสารลงแฟ้ม เธอกำลังจะลุกขึ้นแต่เสียงเข้มที่ดังขึ้นกลับทำให้ร่างกายเธอชะงัก
“เลขาอยู่ก่อน”
มือเล็กที่กำลังจะเก็บแฟ้มชะงักค้างทันที ดวงตากลมโตเบิกเล็กน้อยก่อนจะค่อยๆ เงยหน้าขึ้นสบสายตาคมที่กำลังจ้องมาอย่างเย็นชา
หัวใจของมีนาสั่นระรัวในหัวคิดไปถึงเรื่องเมื่อคืน ใช่เธอคิดเลยเถิดไปถึงเรื่องนั้นตลอดทั้งการประชุม และทุกครั้งที่เธอเผลอสบตากับเขา เธอก็กลัวเขาจะพูดถึงเรื่องนี้ตลอด ทั้งที่เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเธอคือสาวแซ่บที่ร้องครางใต้ร่างของเขาทั้งคืน
“ค่ะท่านประธาน”
มีนาเอ่ยเบาๆ ดวงตาแอบสั่นไหวด้วยความสงสัยปนเกร็ง ก่อนจะก้มหน้ารับคำสั่งอย่างว่าง่าย
“ชงกาแฟให้ฉันแล้วเอาไปวางไว้ที่ห้อง ฉันคุยธุระกับคุณแพนเสร็จเดี๋ยวฉันตามไป”
น้ำเสียงทรงอำนาจของสายธารก้องสะท้อนในห้องประชุม
“ได้ค่ะท่านประธาน”
หญิงสาวโค้งเล็กน้อยก่อนเดินออกจากห้องด้วยหัวใจที่เต้นแรง เธอคิดว่าคงจะเป็นเรื่องงานสำคัญอะไรสักอย่าง และในตอนนี้เธอก็ระแวงไปซะหมด แต่กลับกลายเป็นเพียงคำสั่งธรรมดา ไม่เกี่ยวกับเรื่องที่เธอคิดกลัวเลยสักนิด
ทันทีที่ประตูปิดลงเธอก็ก้าวเท้าตรงไปที่ห้องเครื่องดื่มทันที เสียงกระซิบกระซาบของพนักงานสาวสอง คนและพนักงานหนุ่มอีกหนึ่งคน ก็ดังขึ้นอย่างอดไม่ได้
“แกเห็นสายตาของท่านประธานมองยัยเฉิ่มเมื่อกี้มั้ย ยังนั่นคงจะภูมิใจตายล่ะสิ ที่ได้เสนอความคิดเห็นง่อยๆแบบนั้นน่ะ”
ตะวันเบ้ปากพลางยักไหล่ราวกับคำพูดของตัวเองช่างสะใจ
“จริงด้วยแก ความคิดเห็นกิ๊กก๊อกแบบนั้นใครก็เสนอได้ทั้งนั้น อยู่ที่ว่าท่านประธานจะเห็นด้วยหรือเปล่า”
วาดรีบเสริมสีหน้าดูถูกจนเก็บไม่มิด
"นั่นสิแกไม่รู้ไปหลงเสน่ห์อะไรอย่างนั้นนักหนา เฉิ่มก็เฉิ่ม แต่งตัวก็โคตรเชยอย่างกับป้าข้างบ้าน"
ตะวันยังไม่วายที่จะตำหนิมีนาไม่หยุด ทั้งที่เธอก็ไม่เคยไปตามความเดือดร้อนให้กับคนทั้งสามเลย แถมยังช่วยงานพวกเธอด้วยซ้ำ
โอบที่ยืนกอดอกอยู่ข้างๆ ก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงมั่นใจราวกับรู้ความลับใหญ่โต
“พวกเธอไม่รู้กันหรือไงยัยเฉิ่มนั่นมีแฟนนะ แถมแฟนยังเป็นถึงคู่แข่งของบริษัทท่านประธานด้วย เหมือนจะชื่อบอสหรืออะไรซักอย่างนี่แหละ”
“จริงใช่ๆ ฉันก็เคยได้ยินยัยเฉิ่มมันเมาท์กับยัยเพลงเหมือนกัน ว่ามีแฟนแล้วนั่นแหละฉันเคยแอบได้ยินมาเหมือนกัน”
ตะวันตาโตขึ้นมาทันทีที่วาดพูดจบ ก่อนจะหัวเราะหยันขึ้นด้วยความพอใจ
“ผู้ชายคนนั้นรสนิยมบัดซบชะมัด มีผู้หญิงสวยๆอยู่เต็มเมืองไม่เลือก กลับไปคว้ายัยเฉิ่มนี่มาเป็นแฟนน่าอายแทนว่ะ”
เสียงหัวเราะคิกคักปนเหยียดหยามดังขึ้นเรื่อยๆ
“พวกเธอพูดเรื่องบ้าอะไรน่ะ!!”
เสียงเข้มแหวขึ้นแทรกจนทั้งสามสะดุ้งโหยง หันไปก็เห็นเพลงกำลังเดินตรงมาพร้อมถาดกาแฟในมือ แววตาของเธอสาดประกายเดือดจัด
“มันเรื่องอะไรของพวกเธอที่จะมานั่งนินทาเพื่อนฉันแบบนี้ พวกเธอไม่ต้องทำงานกันหรือยังไง ถึงเอาแต่มานั่งนินทาคนอื่นกันสนุกปากอยู่แบบนี้ หรือว่าท่านประธานจ้างพวกเธอมานั่งเม้าท์เล่น หาเรื่องคนอื่นกันไปวันๆงั้นหรอ”
เพลงตอกกลับเสียงดังชัดถ้อยชัดคำ
ตะวันกับวาดชะงักกึกใบหน้าเริ่มซีดเผือด ส่วนโอบก็หันหน้าหนีเล็กน้อยอย่างไม่สบตา
มีนาที่ยืนอยู่ข้างๆเพลงเธอก็ชะงักไปเช่นกัน ดวงตาเบิกเล็กน้อยเมื่อเห็นเพื่อนสนิทลุกขึ้นปกป้องเธอเต็มตัว
บรรยากาศแถวนั้นเงียบกริบ สายตาของพนักงานคนอื่นๆ ที่เดินผ่านเริ่มเหลือบมองเข้ามาเหมือนอยากรู้
ทันทีที่เสียงของเพลงดังขึ้น สามสาวถึงกับชะงัก หันหน้ามามองอย่างไม่สบอารมณ์
“ก็พูดตามความจริงไม่เห็นจะผิดตรงไหน”
ตะวันยกแขนกอดอกพร้อมทำหน้าทะเล้นอย่างไม่เกรงกลัว
“จริงตรงไหนกันวะ สักแต่จะพูดให้คนอื่นเขาเสียหาย เรื่องไร้สาระแบบนั้นก็กล้าเอามาพูดกันปากพล่อยๆ ไม่อายปากตัวเองรึไง พวกเธอดีกว่าเพื่อนฉันตรงไหนถึงเอาเธอไปพูดเสียหายแบบนั้น"
เพลงย้อนเสียงดังจนพนักงานที่เดินผ่านไปมาหยุดมอง
มีนายืนอยู่ข้างๆรีบยกมือไปแตะแขนเพลงเบาๆ กระซิบเสียงแผ่วเมื่อเธอเห็นว่าพนักงานคนอื่นๆเริ่มมารุมเยอะขึ้น
“พอเถอะแกอย่าไปมีเรื่องกับพวกนี้เลย”
แต่เพลงกลับยิ่งขึ้นเสียง
“ฉันไม่พอใจ คนเราจะนินทาใครมันก็ต้องมีมูลบ้างสิ ไม่ใช่มโนปั้นเรื่องขึ้นมาเองแล้วเอาไปพูดเสียๆหายๆแบบนี้”
วาดหันมาค้อนใส่ทันที
“ทำอย่างกับตัวเองเป็นแม่พระ ไม่เคยนินทาใครงั้นแหละ”
“ใช่ ฉันอาจจะนินทาเหมือนกัน และฉันก็นินทาพวกแกนั่นแหละ แต่ฉันไม่เคยโกหกปั้นเรื่องเพื่อทำลายใคร”
เพลงตอกกลับทันควัน
บรรยากาศตรงมุมนั้นเริ่มดึงสายตาคนทั้งชั้นให้หันมาสนใจมากขึ้น พนักงานหลายคนเริ่มกระซิบกระซาบ แต่มีนารีบก้มหน้ากอดแฟ้มแน่น ใบหน้าขาวซีดด้วยความอึดอัด
“แกพอแล้วเพลง คนมองกันเต็มไปหมดแล้ว ฉันไม่อยากให้เรื่องถึงหูของท่านประธาน แกก็รู้นี่ว่าฉันเป็นเลขาของท่านประธาน ฉันต้องโดนหนักกว่าคนอื่นแน่ๆ พอก่อนไว้ค่อยไปต่อที่อื่นที่นี่ไม่เหมาะ”
เสียงมีนาเอ่ยห้ามเพลง ไม่ใช่เพราะเธอกลัวแต่เพราะเธอไม่อยากมีเรื่องในบริษัทมากกว่า
“อืม…ก็ได้ นี่เห็นว่ากลัวว่าแกจะโดนท่านประธานดุหรอกนะ ฉันถึงยอม”
เพลงยอมลดเสียงลงทั้งที่ใบหน้าบึ้งตึงชัดเจน น้ำเสียงยังคงขุ่นมัว เหมือนต้องกลืนคำด่าแสบๆคันๆลงคอ เพราะจริงๆแล้วเธออยากจะกระโจนเข้าไปกระชากผมสามคนตรงหน้า แล้วขยี้ให้เละไม่ต่างจากผ้าขี้ริ้วซะด้วยซ้ำ
“หึ! นึกว่าจะแน่”
ตะวันแค่นหัวเราะลอยๆ แต่จงใจให้คนทั้งสองได้ยินชัด
เพลงหันขวับดวงตาวาวโรจน์ทันที กำมือแน่นจนเส้นเลือดปูด มืออีกข้างเผลอขยี้ขอบถาดกาแฟจนสั่นเครือ เธอสูดลมหายใจลึก กลืนความเดือดลงท้องพยายามไม่ระเบิดออกมา เพราะรู้ดีว่าถ้าเธอหลุดตอนนี้ คนที่จะซวยไม่ใช่แค่เธอแต่รวมถึงมีนาด้วย
“สงสัยเห็นว่าเพื่อนตัวเองมันเฉิ่มจริงๆล่ะสิ ถึงได้ไม่กล้าเถียงต่อ ก็ดูสภาพชุดที่ใส่มาสิยังกะจะไปขายของตลาดนัด มากกว่ามาทำงานบริษัทใหญ่ๆแบบนี้”
วาดกระแทกเสียงพลางกวาดตามองตั้งแต่หัวจรดเท้ามีนา สายตานั่นเต็มไปด้วยความดูถูกเหยียดหยาม
"ถ้าไม่อยากให้คนอื่นเขาว่าก็หัดแต่งตัวให้มันดูดีหน่อยสิ ไม่ใช่แต่งตัวโคตรเชยแล้วรับไม่ได้เวลาที่คนอื่นเขาวิจารณ์"
โอบพูดพร้อมทั้งมองมีนาด้วยสายตาที่บ่งบอกว่าไม่ชอบชัดเจน
คำพูดนั้นบาดลึกยิ่งกว่าใบมีด มีนาก้มหน้าลงมองชุดตัวเองทันที มือทั้งสองข้างสั่นน้อยๆ หัวใจเหมือนถูกบีบรัดจนหายใจแทบไม่ออก
ส่วนเพลงดวงตาของเธอแดงก่ำ ขากรรไกรขบกันแน่นจนรู้สึกเจ็บ เสี้ยววินาทีเดียวเท่านั้นที่เธอเกือบจะพุ่งใส่วาดกับตะวันอยู่แล้ว แต่เพราะมีนาแอบสะกิดแขนเบาๆราวกับขอร้องว่าอย่า เพลงจึงได้แต่กัดฟันกรอด ดันลมหายใจแรงๆออกมาเท่านั้น