หลุนเหอจิ้งถอดเสื้อนอกแขวนไว้ ทิ้งตัวลงเตียงกว้าง ดึงผ้าห่มมาคลุมกายราวกับห้องของตนเอง ไม่เห็นว่ามันจะแปลกตรงไหนที่สามีภรรยาจะนอนห้องเดียวกัน ตาบ้า! เล่นตัวนักนะ ไม่ยอมให้ชั้นกิน ฝากไว้ก่อนเถอะ
“เจ้าจะนอนที่ห้องพี่งั้นรึ” เขาพูดอย่างไม่แน่ใจนัก
“เหตุใดข้าจะนอนที่นี่ไม่ได้เล่า” นางหันขวับไปแหวใส่เขา ทั้งเหนื่อย ทั้งง่วง การเข้าร่างนี้ทำให้นางอยากจะนอนซักวันละ 20 ชั่วโมง หรืออาจจะยังไม่ชินกับร่างใหม่ก็เป็นได้
“ข้ามิได้ห้ามเจ้า เพียงแต่เจ้าไม่เคยมาค้างที่ตำหนักข้า” เขาตอบนาง เวลานี้ทั้งแปลกใจ ทั้งงง ทั้งดีใจ จะรู้สึกยังไงก่อนดี
“สวามี ข้าง่วงนอนนัก มานอนเร็วเข้า” นางมองเขาด้วยตาปรือใกล้หลับ นางสอดตัวลงในผ้าห่ม พลางดึงเสื้อคลุมตัวในออก โยนกองไว้ข้างเตียง เหลือเพียงเอี๊ยมตัวในบางเบาติดกาย
“เจ้าถอดอาภรณ์เช่นนี้ไม่ได้” เขาตาโตเป็นไข่ห่าน พลันเอ่ยห้ามนาง
“เหตุใดไม่ได้ มันอาภรณ์ข้า อยู่บนกายข้า ข้าใส่ชุดรุงรังนี่นอนไม่สบาย” นางค้อนขวับ กล่าวอย่างไม่พอใจ เมื่ออยู่สองต่อสองก็ไม่จำเป็นต้องใช้คำราชาศัพท์ ไม่มีการทำท่าแอ๊บแบ๊วเหมือนคุณหนูในห้องหอ นี่ไม่แก้ผ้านอนก็บุญแล้ว ยังจะเอาอะไรอีก นางคิดในใจ
“...” ผู้เป็นสวามีไร้คำจะกล่าว ตาชำเลืองมองผิวขาวผ่อง ดูเอี๊ยมสีไข่มุกนั่นรึก็บางเบาแทบจะไม่ปกปิดถึงเพียงนี้ จะให้เขานอนหลับลงได้อย่างไร เขาเป็นบุรุษนักรบหาใช่ไก่ไม้ จะให้ไม่รู้สึกรู้สากับร่างเย้ายวนนี้ เขาคงไปบวชที่อารามแล้ว
เหยียนจื่อหยาประหลาดใจนักเพราะนางไม่เคยนอนค้างที่ตำหนักนี้เลยสักครั้ง เขาถอดเสื้อคลุมออก สอดตัวเข้าในผ้าห่มผืนเดียวกันนั้น รัดร่างนางแนบอก สูดดมเรือนผมนุ่ม
นางหลับไปแล้วทันทีที่นอนลง ส่วนเขานอนลืมตาอยู่อย่างนั้น พยายามข่มกลั้นอารมณ์ความปรารถนาเอาไว้ แทบอยากจะถือหมอนไปนอนเรือนอื่น ถ้าหากต้องนอนทรมานกายเบื้องล่างเช่นนี้ตลอดทั้งคืน เขามองใบหน้างามล้ำ ขนตายาวเป็นแพ พวงแก้มขาวเนียน ปากอวบอิ่มสีสดดั่งลูกอิงเถา มองลำคอระหง และทรวงอกอิ่มของนางที่โผล่พ้นเอี๊ยมตัวน้อยที่หลุดลุ่ยเมื่อนางขยับกาย กลิ่นกายนางหอมกรุ่น ใจเต้นกระหน่ำและเป็นสุขแน่นในอก ที่ได้กอดชายาของตนนอนแนบเนื้อเช่นสามีภรรยาทั่วไป
รุ่งเช้า
จวิ้นอ๋องเหยียนจื่อหยาผู้รั้งตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ มีงานต้องเข้าไปสะสางราชกิจยังค่ายทหารเช่นเคย เขาจูบลงบนหน้าผากชายารักที่ยังนอนไม่รู้สึกตัว ลุกขึ้นแต่งกาย ควบม้าไปยังค่ายทหาร ในค่ายนั้นเขาไม่อนุญาตให้ใช้ราชาศัพท์ให้วุ่นวาย ทุกคนจึงเรียกเขาเพียงท่านแม่ทัพเท่านั้น
อู๋จิ้นหง รองแม่ทัพคนสนิท เขาเป็นสหายแต่วัยเด็ก ออกรบร่วมเป็นร่วมตายกันมาก็หลายครั้งเขาทำหน้างงๆ ที่เห็นผู้เป็นนาย นั่งก็ยิ้ม เดินก็ยิ้ม อ่านสาส์นก็ยิ้ม ดื่มชายังยิ้ม พอได้ข่าวว่าพระชายาฟื้นแล้วจึงได้เข้าใจข้อนี้ดี
“ยินดีกับท่านแม่ทัพด้วย ข้าได้ข่าวว่าคุณหนูหลุนเหอจิ้ง ชายาท่าน ฟื้นจากความตาย”
“อืม ข้ากังวลใจเล็กน้อย ที่นางฟื้นมา นางแปลกไปไม่น้อย ข้ายังหาสาเหตุนั้นอยู่” ร่างสูงถอนหายใจครุ่นคิด
“แล้วมันดีหรือไม่เล่า สิ่งที่นางเปลี่ยนไปน่ะขอรับ” อู๋จิ้นหงยังไม่เข้าใจคำว่าเปลี่ยนแปลงนั้น
“จะว่าดีก็ดี นางยอมให้ข้า เอ่อ ใกล้ชิด เป็นอย่างมาก” หน้าของแม่ทัพใหญ่ร้อนผ่าว นึกไปถึงตอนที่ได้กอดจูบนางในอ่างน้ำใบเดียวกันนั้น เขากลืนน้ำลายอึกหนึ่งลงคออย่างยากลำบาก
“ฮ่าๆๆๆๆ มันก็เป็นเรื่องที่ดีแล้วขอรับ ท่านจะกลุ้มใจไปใย” รองแม่ทัพส่ายหน้าน้อยๆ ไม่เข้าใจในความกลัดกลุ้มของผู้เป็นนาย
“เจ้าคิดว่าเป็นไปได้หรือไม่ ที่จะมีปีศาจมาสิงสู่นาง ทำให้นางเปลี่ยนไป” เขาถามอ้อมแอ้มกับสหายรัก
“โธ่ ท่านแม่ทัพ ท่านเชื่อเรื่องพวกนี้ด้วยรึขอรับ” อู๋จิ้นหง ส่ายหัวไปมา ทำหน้าระอาใจ เขาอยากกลอกตาขึ้นฟ้าสักสิบแปดรอบกับความคิดนี้
“นางแปลกไปนัก ข้าคุ้นเคยกับนางแต่ยังเล็ก เห็นนางมาก็หลายปี ข้าจะไม่รู้ได้อย่างไรว่านางเป็นคนเช่นไร” เขายังดันทุรังหาเหตุผลในเรื่องนี้
“ข้าว่าท่านไปอารามจิ้นสือ ไปหาไต้ซือต้วนเฮงให้รู้แล้วรู้รอดไป เอายันต์ปราบปีศาจมาแปะหน้านางเลยดีรึไม่” อู่จิ้นหงกล่าวประชดอย่างเหลือใจ
“อืม ข้าจะลองคิดดู ขอบใจเจ้ามากกับความคิดนี้”
“ไต้ซือต้วนเฮงขึ้นชื่อนักเรื่องปราบปีศาจ เหล่าผีร้ายทุกตนล้วนพ่ายแพ้ขอรับ” เขากล่าวพลางส่ายหน้า ที่พูดหมาย จะประชด ขอรับ ประชด
“ขอบใจเจ้ามาก” แม่ทัพเหยียนจื่อหยากล่าวขอบคุณจากใจจริง
“……” อู่จิ้นหง ส่ายหน้าเอือมระอา แน๊! ยังจะเอาความคิดนี้ไปทำจริงๆ อีก ท่านแม่ทัพคงเป็นเอามากจริงๆ เขาไม่บอกไม่กล่าว ส่ายหัวเดินออกกระโจมไปฝึกเหล่าทหารต่อ
เสร็จสิ้นจากการฝึกและซ้อมรบ ร่างสูงสง่าของแม่ทัพเหยียนจื่อหยา จวิ้นอ๋องผู้เกรียงไกร ควบอาชานิลกาฬสีดำคู่กาย ตรงออกจากค่ายทัพทันที ทิศที่เขามุ่งไปหาใช่ตำหนักของตน เขาจะไปที่ไหนได้ตอนนี้! เขาควบม้าเร็วเท่าความคิดตรงไปยังอารามจิ้นสือ
'หากชายารักรู้เข้าคงอยากดีดนิ้วใส่หน้าดังๆ พร้อมคำว่า สติ ค่ะ สติ!'
เพียงครึ่งชั่วยามเขาก็ควบอาชามาถึงอารามจิ้นสือ เขาเดินเข้าไป ต้าซือผู้หนึ่งที่คุ้นเคยกันนำเขาเข้าไปพบไต้ซือต้วนเฮง
“คารวะไต้ซือ ข้ามีเรื่องรบกวนท่านสักเล็กน้อย” เขากล่าวนอบน้อม กำลังลังเลถึงสิ่งที่จะเอ่ยขอ
“อย่าได้เกรงใจ จวิ้นอ๋องเป็นผู้ปกป้องแคว้นนี้ ช่วยเหลือชาวประชาให้อยู่เย็นเป็นสุข หากข้าช่วยเหลือสิ่งใดได้ย่อมยินดี” ไต้ซือกล่าวเสียงหนักแน่น
“ข้าอยากขอยันต์ปราบปีศาจ จะได้หรือไม่”
“ย่อมได้ หาได้เป็นสิ่งเหลือบ่ากว่าแรงข้าไม่” ใต้ซือแปลกใจที่จู่ๆ จวิ้นอ๋องแม่ทัพใหญ่ผู้เกรียงไกร ผู้ไม่เคยเกรงกลัวแม้ความตายในสนามรบ รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง เป็นผู้มาขอยันต์ปราบปีศาจด้วยตนเอง แต่ท่านไต้ซือก็มิได้ซักถามให้มากความเสียมารยาท เพียงหยิบยันต์สีแดง ลงอักษรสีทองแผ่นหนึ่งให้เขา
“ให้ท่านเลือกเวลายามโฉว่ (01.00-02.59น.) เป็นเวลาที่ภูตผีปีศาจ อ่อนแรงมากที่สุด นำสิ่งนี้ไว้ในตัวผู้ที่ถูกปีศาจสิงสู่ อย่าได้ตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น ให้ท่านแม่ทัพสงบใจมองดูเถิด ไม่ว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้น”
“ขอรับ” เขารับยันต์ปราบปีศาจใส่ไว้ในอกเสื้อ ครุ่นคิดหาวิธีการนำยันต์นี้ใส่ไว้ในตัวชายารักของตนให้จงได้ แววตาหม่นเศร้าอับแสง หากร่างนางมีปีศาจสิงอยู่ ไม่ว่าผลจะเป็นเช่นไร เขาก็ต้องยอมรับความจริง