บทที่ 2

2259 Words
ฉันค่อยๆ ลืมตาขึ้นหลังได้ยินเสียงหนึ่งที่คนคุ้นเคยพร่ำเรียกชื่อของฉันที่ข้างหูเบาๆ แทนที่ฉันจะรู้สึกตื่นตัวแล้วลุกขึ้นจากเตียงนอน กลับสร้างความสยิวและขนลุกให้ฉันอย่างบอกไม่ถูก ม่านตาฉันปรับสภาพได้ที่ ฉันจึงได้เห็นคนๆ นั้นนั่งอยู่ข้างเตียง ที่ยังคงก้มกระซิบที่ข้างหูของฉันอยู่ ฉันไม่รอช้ารีบยกแขนเรียวคว้าลำคอคนตรงหน้าเข้ามาประชิดริมฝีปากเล็กของฉันที่กำลังรู้สึกร้อนฉ่าเพราะความสยิว ก่อนที่ฉันจะดันตัวให้เขานอนลงบนเตียงอย่างรวจเร็ว โดยมีฉันนั่งคร่อมอยู่บนตัวของเขา ฉันรู้สึกหมั่นไส้คนด้านล่างมากๆ กะว่าจะลงโทษเขาให้สาสม ที่บังอาจมาขัดจังหวะการนอนของฉัน ฉันเริ่มจู่โจมเขาด้วยการก้มลงไปหอมแก้ม จูบหน้าผากและสัมผัสริมฝีปากหนาของเขาอย่างแผ่วเบาตามลำดับ ขณะที่คนตรงหน้าก็พยายามร้องห้ามทั้งพยายามป้องกันการถูกจู่โจมของฉันพอเป็นพิธี "นายหญิงครับอย่าทำแบบนี้สิครับ เช้าแล้วตื่นเถอะนะครับ" "แล้วใครใช้ให้นายมาปลุกเราล่ะ เวลาที่เรากำลังนอนหลับสบายๆ นายมาทำให้เราตื่น ดังนั้นนายต้องโดนลงโทษแบบนี้แหละ 555+" ฉันกล่าวกับคนตรงหน้าขณะที่กำลังขบกัดลำคอขาวเบาๆ เพื่อปลุกเร้าอารมณ์ความเป็นชายของเขา "พอได้แล้วครับนายหญิง เดี๋ยววันหลังผมไม่มานอนเป็นเพื่อนแล้วนะครับ" คนตรงหน้ากล่าวกับฉันพร้อมทั้งหันหน้าหนีฉันอย่างง้องอนจนน่าหมั่นไส้ ทำให้ฉันอดไม่ได้ที่จะเคลื่อนย้ายสะโพกไปมาบนแก่นกายอันแข็งแรงใต้ร่มผ้าของเขา เพื่อสร้างความกระสันของเขาให้ลุกโชนอีกครั้ง ไม่นานคนตรงหน้าเริ่มมีอาการหน้าแดงเปล่งรัศมีความหื่นกระหายออกมาจนฉันสัมผัสได้ "เราขอโทษ เราทนไม่ไหวจริงๆ กับความน่าหมั่นไส้ของนายนี่ ที่สำคัญที่เราทำกับนายแบบนี้เพราะเรารักนายนะวิตเตอร์" "ผมก็รักนายหญิงนะครับ" คนตรงหน้ากล่าวกับฉันพร้อมทั้งยื่นริมฝีปากหนาเข้ามาสัมผัสริมฝีปากฉันอย่างอ่อนโยน ก่อนจะประคองฉันให้ลุกออกจากตัวเขาแล้วดึงฉันให้ลุกขึ้นตาม   สิ่งที่ฉันไม่ขาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อวิทย์อุ้มฉันเข้าไปในห้องน้ำแล้วจัดการอาบน้ำให้จนสะอาดหมดจด แต่ฉันก็ไม่ลืมให้รางวัลเขาที่อุตส่าห์พาฉันเข้ามาอาบน้ำทั้งที่ฉันอยากนอนต่อแท้ๆ เสียงครางกระเส่าของวิทย์ทำให้ฉันรู้ว่าเขากำลังมีความสุขมากแค่ไหน แก่นกายของเขาทำหน้าที่ได้ดีมาก แต่งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา ฉันกลั้นความสุขไว้ไม่อยู่ก่อนจะกอดรัดลำคอของวิทย์แน่นแล้วลงน้ำหนักโยกย้ายสะโพกบดขยี้พลิ้วไหวบนแก่นกายของใครอีกคนกระทั่งฉันต้องฟุบลงบนอกกว้างอย่างไร้เรี่ยวแรง ขณะที่เราสองคนยังอยู่ในอ่างจากุสซี่สีขานวล เมื่อเสร็จกิจรักเราสองคนจึงช่วยกันอาบน้ำต่อเพื่อชำระล้างคราบคาวที่เปรอะเปื้อนออกจนเรียบร้อย   ฉันเดินลงมาจากชั้นบนไม่ทันที่จะก้าวขาเข้าสู่ห้องทานอาหาร กลิ่นอาหารหอมๆ ก็ลอยมาเตะจมูกฉันก่อนจะเดินตรงไปที่ห้องครัวอย่างไม่รีรอ ก็พบเข้ากับคนสนิทฉันกำลังขะมักขะเม้นทำอาหารอยู่หน้าเตาไฟฟ้า "ทำอะไรกินเหรอคะวิทย์ กลิ่นหอมไปถึงข้างบนเลยนะ...?" ฉันกล่าวกับคนสนิทอย่างเป็นกันเอง แล้วเดินไปทางด้านหลังของเขาที่กำลังจัดเตรียมอาหารจากห้องครัวมาจัดบนโต๊ะรับประทานอาหารอย่างสวยงามน่ารับประทาน เมื่อเห็นคนตรงหน้าวางจานและช้อนเรียบร้อยฉันจึงเดินไปสวมกอดเขาด้วยความรัก ก่อนจะขโมยจูบที่แก้มขาวๆ ของวิทย์อีกครั้ง "นายหญิงทำอะไรครับเนี่ย อายคนอื่นเขาครับ" วิทย์กล่าวพร้อมหันมาปรามฉันเบาๆ "นายจะอายอะไรล่ะ เมื่อทุกคนเขาก็รู้กันนานแล้วว่าเราสองคนเป็นอะไรกัน เรารักกันมากแค่ไหนหรือว่านายไม่ได้รักเรา?" เมื่อคนในอ้อมกอดได้ฟังฉันพูดแบบนั้น จึงชำเลืองมองด้วยความน้อยใจ "ทำไมนายหญิงพูดแบบนั้นล่ะครับ ถ้าผมไม่ได้รักนายหญิง แล้วผมจะปล่อยให้นายหญิงมากอด มาหอม มาจูบผมแบบนี้เหรอครับ?" เขากล่าวพลางค่อยๆ แกะวงแขนของฉันที่กอดเอวเขาอยู่ออก แล้วลงนั่งบนเก้าอี้ตรงข้ามฉัน ขณะที่ฉันรู้สึกไม่ดีกับการกระทำของตัวเองสักเท่าไหร่ "เราขอโทษ อย่าโกรธเราเลยนะวิทย์ ที่เราพูดแบบนั้นเพราะเราเห็นว่ามันเป็นเรื่องปกติของเราสองคน  นะๆ อย่าโกรธเราเลยนะวิตเตอร์คนดีของไคด้า" ฉันกล่าวเชิงออดอ้อนพร้อมเดินไปนั่งตักที่คุ้นเคย แล้วจับมือใหญ่ของเขาขึ้นมากุมไว้แนบที่แก้ม ทำให้คนตรงหน้ามีรอยยิ้มที่สดใสกับฉันอีกครั้ง จากนั้นเราสองคนจึงลงมือทานข้าวด้วยกันอย่างมีความสุขต่อไป   หลังจากที่ฉันกับคนสนิททานอาหารเช้าร่วมกันเสร็จ แล้วพากันขึ้นชั้นบนไปแต่งตัวพร้อมจะเดินทางไปทำงานที่บริษัทในเวลาต่อมา ในฐานะท่านประธานกรรมการของบริษัท   บริษัทแห่งนี้เปรียบเสมือนสมบัติชิ้นสุดท้ายของคุณพ่อ นับเป็นสาขาใหญ่และมีสาขาย่อยอื่นๆ อีกหรือจะเรียกง่ายๆ คือบริษัทในเครือกว่าอีก 400 แห่งทั่วโลก สาขาใหญ่นี้ได้ก่อสร้างขึ้นเป็นเวลานานเกือบ 50 ปีมาแล้ว ตอนนี้ฉันต้องมานั่งในตำแหน่งผู้บริหารด้วยวัยวุฒิและคุณวุฒิที่ยังไม่พร้อมเลยด้วยซ้ำ คณะกรรมการทั้งหมดต่างให้การยอมรับและให้เกียรติฉันได้มานั่งในตำแหน่งสูงสุดของบริษัทแทนคุณพ่อมาเป็นเวลาเกือบ 10 ปี หลังจากคนที่ฉันรักทั้ง 4 จากฉันไป จากนั้นวิตเตอร์จึงได้มานั่งตำแหน่งเลขาส่วนตัวฉันไปโดยปริยาย ทันทีที่ฉันก้าวเข้ามาในบริษัทพนักงานทุกคนพร้อมกันยกมือไหว้สวัสดีฉันอย่างสุภาพ ฉันเองก็ยกมือรับไหว้พวกเขาอย่างนอบน้อม ด้วยอายุของฉันที่อาจว่าจะน้อยที่สุดในบริษัทเลยก็ว่าได้แต่ทุกคนก็ให้เกียรตินับถือฉันมากเช่นกัน กระทั่งฉันเดินเข้ามาถึงห้องทำงานประธานกรรมการบริษัทโดยมีวิตเตอร์เดินตามหลัง ก่อนจะลงนั่งเก้าอี้เลขานุการในห้องทำงานเดียวกันนั้นเอง วิตเตอร์นอกจากจะเป็นทั้งคนสนิท เลขาประจำตัวฉัน นอกจากนี้ที่บริษัทของฉันยังมีเลขาอีกคนหนึ่งที่เคยทำหน้าที่ตอนที่คุณพ่อของฉันยังมีชีวิตอยู่ เขาจะคอยเตรียมเอกสารจัดแจงตารางงานการประชุมทั้ง หมดรวมถึงส่งต่อเอกสารให้เลขาประจำตัวฉันออกไปรับเอกสารเหล่านั้นนำมาให้ฉันตรวจสอบความถูกต้องเพื่อเซ็นอนุมัติ วันนี้ก็เช่นกันที่แฟ้มเอกสารนับสิบๆ เล่ม ถูกเลขาประจำตัวหอบเข้ามาวางบนโต๊ะทำงานของเขาก่อนจะทยอยนำมาให้ฉันตรวจ กระทั่งฉันรู้สึกปวดเมื่อยที่ข้อมือขึ้นมากะทันหัน "คุณเลขาคะ ดิฉันปวดข้อมือจังเลยค่ะ คุณช่วยมานวดข้อมือให้ดิฉันหน่อยได้ไหมคะ นะคะคุณเลขา" ฉันเอ่ยเรียกเลขาประจำตัวขณะที่เขากำลังจัดเรียงแฟ้มเอกสารเพื่อนำมาให้ฉันอย่างตั้งใจ ฉันเห็นว่าเขาเงียบไม่โต้ตอบตามคำร้องขอจากฉัน ฉันเลยค่อยๆ เดินอ้อมไปทางด้านหลังโต๊ะทำงานของเขาพร้อมเบียดแขนแกร่งลงไปนั่งตักพร้อมทั้งใช้ฝ่ามือลูบไล้แผ่นอกกว้างของเขาอย่างเย้ายวนที่สุด กระทั่งเขาเริ่มมีปฏิกิริยาบางอย่างโต้ตอบฉันตกใจกับอาการของเขาเลยหลุดปากอุทานเสียงดังออกไป "อุ๊ย!" ทำให้คนด้านนอกรีบผลักประตูห้องทำงานฉันเข้ามาด้วยทีท่าตกใจ "เกิดอะไรขึ้นครับท่านประทาน? อุ้ยย!!.... "  "ไม่มีอะไรหรอกค่ะคุณอา คือ... ไคด้าแค่หยอกล้อกับเลขาประจำตัวนิดหน่อยค่ะ แฮร่ๆ..." ฉันตอบเลขาส่วนตัวที่ประจำอยู่โต๊ะด้านนอก ขณะที่เลขาอีกคนที่ฉันยังนั่งตักเขามีอาการอึ้งกับผู้เข้ามาเห็นเหตุการณ์ "อ้อเหรอครับ ขอโทษนะครับ ผมไม่น่าเข้ามาขัดจังหวะเลยจริงๆ 555 ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวไปทำงานต่อนะครับ...." "คุณอาครับ ไม่ใช่..." ขณะคนที่ฉันนั่งตักกำลังจะกล่าวปฏิเสธ เลขาใหญ่ได้ออกจากห้องไปแล้วทำให้ฉันอดหัวเราะไม่ได้กับอาการเขินของวิทย์ที่ปิดไม่มิด "ท่านประทานน่ะ ชอบรังแกผมตลอดเลยนะ" "ก็เรารักนายนี่ ทำแบบนี้ไม่ได้เหรอ อีกอย่างใครให้นายตื่นตัวเร็วอย่างนั้นล่ะ เราเลยตกใจน่ะสิ..." "แล้วมีใครบ้างครับ ที่ถูกทำแบบนี้จะไม่รู้สึกอะไร ที่สำคัญนี่มันที่ทำงานไม่ใช่ที่บ้านนะครับนายหญิง ผมเกรงว่าจะดูไม่เหมาะแค่นั้นครับ นายหญิงเข้าใจผมใช่ไหมครับ...?" "เรารู้ เราเข้าใจ แต่ในนี้ก็มีเราแค่สองคนนี่ แต่ก็เอาเถอะ เดี๋ยวเสร็จจากงานกองนี้แล้ว เราไปเดินเล่นที่ห้างกันนะ?" คนตัวใหญ่นั่งยิ้มแฉ่งพร้อมทั้งพยักหน้าแทนคำตอบ ฉันจึงลอบหอมแก้มเป็นการส่งท้ายแล้วรีบลุกจากตักชายหนุ่มกลับมาลุยงานต่อที่โต๊ะของตัวเองจนเสร็จ   ไม่รู้ว่านานแค่ไหนแล้วที่ฉันไม่ได้มาเดินห้าง ปล่อยวางทุกอย่างให้ร่างกายได้พักสบายๆ แบบนี้ ฉันเดินจับมือคนสนิทอย่างไม่อายใครในห้างสรรพสินค้าชื่อดัง โดยมีคนคุ้มกันแต่งกายปกติคอยดูแลอยู่ 4-5 คนไม่ห่าง ฉันนำคนข้างกายเข้าร้านนู้น ออกร้านนี้ไปเรื่อยอย่างสนุกสนานเหมือนเที่ยวสวนสนุกก็ไม่ปาน ขณะที่คนข้างกายมีปฏกิริยาปฏิเสธฉันอยู่ตลอดเวลาแต่เขาไม่อาจขัดใจฉันได้ ทำให้ในมือคนคุ้มกันมีถุงของเต็มมือเกือบทุกคน กระทั่งฉันเดินมาถึงร้านขายเสื้อผ้าแฟชั่นผู้หญิงแบรนด์ดังร้านหนึ่ง คราวนี้ฉันเป็นฝ่ายถูกวิทย์ดึงเข้าร้านบ้าง "นายหญิงอยู่ตรงนี้นะครับ เดี๋ยวผมมาครับ" วิทย์กล่าวกับฉันพร้อมประคองไหล่ทั้งสองข้าง สบตามองฉันแล้วหลับตาปริบๆ ช่างเป็นภาพที่น่ารักมากสำหรับฉัน มันเหมือนตัวเองกำลังตกอยู่ในมนต์สะกดของดวงตาคมคู่นั้น ฉันยืนนิ่งตามคำสั่งโดยไม่ขัดขืน เป็นเวลาไม่นานนักวิทย์ก็กลับมาพร้อมชุดที่อยู่ในมือ 3-4 ชุดแล้วฝากให้คนคุ้มกันถือต่ออีก ก่อนจะนำชุดที่เหลือในมือมาทาบบนตัวฉัน ทั้งยังดันหลังฉันให้ไปเปลี่ยนชุดในห้องลองเสื้อผ้าชุดแล้วชุดเล่าอยู่หลายรอบ อาการเวียนหัวก็เกิดขึ้นกับฉันจนได้ ถึงอย่างนั้นฉันก็ยอมทำตามเพราะด้วยความน่ารักของเขา ในที่สุดก็มาถึงชุดสุดท้ายทันทีที่วิทย์เห็น เขาคงชอบและถูกใจชุดนั้นมากก่อนจะนำชุดขึ้นมาทาบบนตัวฉันเหมือนเดิม   ในขณะเดียวกันด้านนอกร้านขายเสื้อผ้าดังกล่าว "เดี๋ยวหยุดก่อน เราต้องการไปร้านนั้นเดี๋ยวนี้!" ขณะที่ชายหนุ่มคนหนึ่งออกคำสั่งผู้ชาย 3 คนให้หยุดเดินหลังจากเขาได้พบกับร้านขายเสื้อผ้าแฟชั่นผู้หญิงแบรนด์ดัง จังหวะที่เขาจะก้าวเข้าไปในร้าน เขากลับต้องหยุดเดินเมื่อพบกับชายหญิงคู่หนึ่งกำลังลองชุดกันอย่างสนุกสนานในร้านแห่งนั้น "นั่นใครน่ะเหมือนเราเคยเห็นหน้าที่ไหนมาก่อน?" "คนไหนครับท่าน?" "จะถามเรากลับทำไม เราถามก็ตอบแค่นั้น!?..." "ผมขอโทษครับ คนซ้ายมือชื่อไคด้าเป็นลูกสาวคนเดียวที่เหลืออยู่ของอดีตเจ้าพ่อมาเฟียก่อนหน้านายใหญ่ของท่านครับ ส่วนคนทางขวาเป็นคนสนิทของเธอชื่อวิตเตอร์ครับท่าน" "เนี่ยน่ะเหรอลูกสาวเจ้าพ่อมาเฟียก่อนหน้าท่านพ่อ มาเดินห้างกับคนสนิทอย่างสบายใจเชียวนะ ไม่เห็นจะมีคนคุ้มกันอะไรเลย" "ท่านประเมินผิดแล้วครับ กลุ่มบุคคลที่อยู่รายล้อมเขาสองคนนั่นแหละครับคือคนคุ้มกันของพวกเขา นับว่าเป็นยอดฝีมือของประเทศเลยก็ว่าได้นะครับ" "อย่างนั้นเหรอ แต่ทำไมเขาดูสนิทสนมกับคนสนิทจัง เหมือนกับว่าคนทั้งสองเป็นคนรักกันอย่างนั้นแหละ...?" "ถูกต้องแล้วครับท่าน เขาเป็นคนรักกันครับ ตกลงท่านยังจะเข้าร้านเสื้อผ้าร้านนี้อยู่ไหมครับ ผมเกรงว่าจะไม่ปลอดภัย" "เข้า! แล้วเราจะเอาชุดนั้นด้วย...!" ทันทีที่ผู้เป็นนายกล่าวจบ ก็ตรงเข้าร้านเสื้อผ้าแห่งนั้นทันที โดยมีลูกน้องร้องห้ามตามหลัง ผู้เป็นนายกลับไม่ฟังคำห้ามนั้นเลย....
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD