ลู่เซวียนเฉ่าเดินกลับจวนสกุลลู่ด้วยอาการเหม่อลอย จนไม่รู้ว่าตัวเองมายืนอยู่เรือนท้ายจวนของตัวเองได้อย่างไร เพียงแค่ไม่กี่วันชะตาของตัวเองเปลี่ยนไปเร็วขนาดนี้เชียวหรือ นางเองก็ไม่อยากจะเชื่อเช่นเดียวกัน วันนี้นางเลือกท้อสดจากท่านป้าขายลูกท้อมา 4 ลูกเพื่อนำกลับมากินเท่านั้น ส่วนผักที่ทำอาหารนั้นมีอยู่แล้ว นางผัดผักกินกับข้าวสวยร้อน ๆ ก็พอแล้ว
เมื่อนั่งที่ม้าด้านนอกมองไปยังยอดไม้ด้านหลังที่ติดกับเรือนของตน คิดถึงเรื่องที่ท่านพ่อจะส่งเข้าไปเป็นสนม และสกุลอวี้อยากจะสู่ขอเป็นสะใภ้ใหญ่ในจวน คิดเท่าไหร่นางก็คิดไม่ออกว่าตัวเองไปมีผลประโยชน์อันใดกับคนตระกูลนั้น หรือบุรุษผู้นั้นใบหน้าขี้ริ้วขี้เหร่จนไม่มีใครอยากแต่งด้วยกันแน่นะ
ขณะกัดลูกท้อคำสุดท้ายและคิดเรื่องนี้จนพอแล้ว กำลังจะลุกขึ้นไปหุงข้าวในหม้อดินเผา เสียงเดินเข้ามาในเรือนทางประตูหน้าทำให้นางระแวดระวังมากขึ้น
‘เผยจูเอ่อสินะ!’ เป็นคนอื่นไปไม่ได้นอกจากสตรีชอบแกว่งเท้าหาเสี้ยนผู้นั้น เพราะแม่เลี้ยงของนางไม่ลดตัวมาสมาคมกับนางที่ท้ายจวนแน่นอน
นางหยิบไม้กวาดที่ทำจากทางมะพร้าวขึ้น แล้วทำทีเป็นกวาดลานของเรือนหลังเก่า ทั้งไม่สนใจว่าสตรีผู้นั้นจะเข้ามาทำอันใด แต่หูก็คอยเงี่ยฟังอยู่ตลอดเวลาว่าเผยจูเอ่อจะมาไม้ไหน
สตรีผู้มาเยือนยืนห่างนางหลายก้าว คาดว่าคงกลัวนางจะทำร้ายให้เสียโฉมสินะ นับว่าขี้ขลาดสิ้นดี แต่เอาเถอะนางไม่ได้หูหนวก ยืนตรงนั้นก็ได้ยิน
“มีอะไรยังไม่รีบพูดอีก” ลู่เซวียนเฉ่ากล่าวทั้งยังไม่หยุดกวาดลานบ้าน และตวัดไม้กวาดวาดไปทางที่นางยืนอยู่ ทำให้เศษใบไม้ปลิวว่อนไปยังเสื้อของนาง หมายให้นางรู้ว่าไม่ค่อยชอบใจที่นางก้าวเข้ามาเรือนด้านหลัง
“เหอะ...ข้าก็จะมาดูคนตกเกี้ยวน่ะสิ ฮ่า ฮ่า ฮ่า ข้าได้ยินในตลาดลือกันว่าสกุลคหบดีใหญ่ ตาต่ำอยากได้เจ้าเป็นสะใภ้ ไม่รู้ว่าพวกเขาไร้สมองหรือบุตรชายต่ำช้าเสียจนไม่มีใครอยากเกี่ยวดองกันแน่ ถึงได้กัดฟันรับเอาสตรีฉาวโฉ่อย่างเจ้าเป็นสะใภ้” เผยจูเอ่อรีบมาส่งข่าวทั้งเยาะเย้ยคนใฝ่สูงอย่างลู่เซวียนเฉ่า ที่คิดปีนเกี้ยวสนม สุดท้ายเพียงย่างขึ้นก็ตกเสียแล้ว
ลู่เซวียนเฉ่าคิดไว้ไม่มีผิดว่านางต้องรู้ข่าวแล้วแจ้นมาแจ้งทั้งที่นางไม่อยากรู้ เช่นนั้นนางก็ยืมมือสักเล็กน้อยก็แล้วกัน
“เจ้าเอาอันใดมาพูด ข้าไม่แต่งเด็ดขาด หัวเด็ดตีนขาดข้าก็ไม่แต่ง ข้าต้องเข้าวังเป็นสนมฝ่าบาทเท่านั้น” หากนางอยากได้ให้แสร้งทำเป็นรังเกียจสินะ คนพวกนี้ชอบขัดขวางหนทางแห่งความสุขของนาง
“เหอะ...การแต่งงานแล้วแต่พ่อแม่ เจ้าคิดว่าเจ้ากำหนดได้งั้นรึ...ฝันกลางวัน” เผยจูเอ่อมองอย่างดูแคลนสตรีที่มักใหญ่ใฝ่สูง ไม่ต่างจากมารดาของนาง ที่ท่านน้าเล่าให้ฟัง
“ท่านพ่อยืนกรานว่าจะส่งข้าเข้าวัง ตำแหน่งเสียนเฟยเท่านั้นถึงคู่ควร สะใภ้คหบดีกระจอกนั่นข้าไม่อยากได้หรอก ข้าต้องเป็นใหญ่ ทุกคนต้องก้มหัวให้ข้า” นางพูดในสิ่งที่สองน้าหลานไม่อยากทำที่สุดออกมา เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ ตามแผนที่นางคิดไว้ในใจ ระหว่างฮูหยินน้อยฮวี้หรือสนม สองหนทางที่นางต้องเลือกเดิน เมื่อเดินหมากมาทางนี้แล้วนางก็ต้องไปให้สุด
“ข้าไม่ยอมให้เจ้าได้ดีกว่าข้าแน่” เผยจูเอ่อเยาะเย้ยนาง เรื่องอันใดต้องสนับสนุนให้มันเป็นสนมให้ต้องก้มหัวเวลาพบเจอกันเล่า
ไม่มีวัน!
“ข้าไม่แต่งเสียอย่างเจ้าห้ามข้าไม่ได้”
“ก็ลองดูว่าเจ้าที่สภาพไม่ต่างจากขอทาน หากข้าให้เหตุว่าแต่งเข้าตระกูลอวี้ยังขายหน้าน้อยลง เจ้ามันเหมาะสมกับบุรุษเสเพลคนนั้นแล้ว หาได้คู่ควรกับตำแหน่งพระสนมไม่ ท่านน้าเขยจะเห็นเป็นประการใด” เผยจู่เอ่อขึ้นเสียงดัง หมายให้นางจำใส่ใจไว้
อีกอย่างหากเข้าวังสินเดิมใส่ให้น้อยนิดจะเป็นการขายหน้าตระกูลลู่ ต่อไปหากนางอยากแต่งเข้าตำหนักองค์ชายคนใด ก็คงเป็นเรื่องยากลำบากแล้ว
ลู่เซวียนเฉ่าทำสีหน้าเคร่งเครียด จนเผยจูเอ่อแน่ใจแล้วว่าวันนี้แก้แค้นได้ จึงยอมเลิกรากลับออกไปด้วยรอยยิ้ม
ลู่เซวียนเฉ่าแน่ใจแล้วว่าตระกูลอวี้ต้องการแต่งนางเข้าไปกำราบคุณชายเสเพลคนนั้นนั่นเอง หากเป็นเช่นนั้นนางควรไตร่ตรองอีกหน่อยถึงจะดี เพราะยามนี้ฝ่ายโน้นยังไม่ส่งคนมาทาบทามสู่ขอ นับว่าอำนาจการต่อรองนางยังมีอยู่ อาศัยที่นางได้เป็นดวงนำโชคของคนในแคว้นเสิ่นหยาง แห่งนี้ นับว่าไม่เสียเปล่าแล้ว
หากเข้าวังไปเป็นพระสนมของฮ่องเต้อายุคราวปู่ หนทางก้าวเดินคือรอวันฝังเข้าสุสานหลวง หนทางที่สองคือยอมแต่งให้กับบุรุษเสเพลเช่นคุณชายใหญ่ บุตรชายเพียงคนเดียวของสกุลอวี้ ‘อวี้เหวินจิ้ง’ ก็น่าจะพอมีทางเจริญรุ่งเรืองได้ หากเป็นสตรีในวังต้องห้ามต่างอันใดกับนกน้อยในกรงทอง
หรือนางควรจะหารือเรื่องนี้กับฮูหยินอวี้ มารดาของ อวี้เหวินจิ้งก่อนถึงจะดี ดูทีท่าและลักษณะนิสัยของตระกูลนี้ก่อน ค่อยตัดสินใจก็ยังไม่สาย
คิดได้ดังนั้นแล้ว นางจึงจัดการเก็บกวาดเรือนหลังให้เรียบร้อย พรุ่งนี้คงต้องออกไปเดินตลาดอีกครั้ง หากคาดเดาไม่ผิดฮูหยินใหญ่อวี้ก็น่าจะมาดักรอพบนาง
เพ่ยอิงฮัวแทบนอนไม่หลับ หลังจากข่าวลือปล่อยออกไปแล้ว นางต้องหาทางไปเจรจากับว่าที่ลูกสะใภ้คนงาม พ่อบ้านหวงสืบทราบมาแล้วว่า สตรีผู้นั้นชอบไปไหว้พระสวดมนต์ที่อารามหลวง นางจึงอยากไปดักรอที่นั่น
วันนี้ท้องฟ้าปลอดโปร่งโล่งสบาย เหมาะกับการพบปะนัก นางไปไหว้พระรอด้านใน แล้วให้พ่อบ้านหวงจับตาดูว่าสตรีที่เป็นดังว่าที่ลูกสะใภ้คนงามนั้นเมื่อไหร่จึงจะมาถึง
ลู่เซวียนเฉ่าเดินมาไหว้พระตามปกติ ไม่ได้ทำให้ตัวเองดูมีพิรุธอันใด นางเห็นคนเข้ามาไหว้พระมากจึงเข้าไปรอในสวนไผ่ด้านข้างเสียก่อน รอให้คนเบาบางลงสักนิดจะได้เข้าไปขอพร ที่จริงก็อยากให้คนที่ดักรอนางได้เห็นนางได้ชัดเจนนั่นเอง
วันนี้นางแต่งตัวเหมือนจะดูดี แต่ยังคงความเก่าของเนื้อผ้าเช่นเดิม นางก็แต่งเช่นนี้มานานแล้ว เพราะว่าไม่มีเงินซื้อเสื้อผ้าใหม่ เลยด้วยซ้ำ ขณะที่กำลังนั่งพักรออยู่นั้น มีท่านตาวัยรุ่นราวคราวบิดา แต่ใบหน้านั้นยังดูไม่แก่มากนัก ท่าทางจับที่เอวเหมือนเอวเคล็ดหรืออะไรสักอย่าง นางจึงเดินเข้าไปหา
“ท่านลุงเจ้าคะ...ท่านมีอันใดให้ข้าช่วยหรือไม่” น้ำเสียงใสกังวานกล่าวถามด้วยความเป็นห่วง แม้นางจะยากจนค้นแค้น แต่นางไม่เคยแล้งน้ำใจ เมื่อเห็นคนตกทุกข์ได้ยากลำบากกาย จึงรีบเข้าไปช่วยเหลือ
“แม่นางน้อย...ข้าเพียงเอี้ยวตัวเร็วไปหน่อย เท่านั้นไม่เป็นอันใดมาก เห้อ...สังขารคนวัยชราเช่นข้าก็เป็นเช่นนี้” สวีเจี้ยนหงที่เบื่อหน่ายอุทยานหลวง จึงออกมาเดินเล่นที่อารามหลวงด้านหลัง ดูความเป็นไปของราษฎร ไม่คิดว่าเขาเพียงก้าวข้ามช่องทางที่ติดกับกำแพงวังหลังเพื่อเข้ามาที่อาราม กลับทำให้เอวเคล็ดขัดยอกเสียได้
“เช่นนั้น เชิญท่านลุงนั่งก่อนเจ้าค่ะ ด้านโน้นฝ่าบาททรงเมตตาสร้างที่หลบร้อนให้ชาวบ้านธรรมดาอย่างเราได้นั่งพัก ข้าก็รอให้คนน้อยลงอีกหน่อยจึงจะเข้าไปไหว้พระเจ้าค่ะ” ลู่เซวียนเฉ่ามีน้ำใส่กระบอกมาด้วย คิดจะเทให้ท่านลุงผู้นี้ได้ดื่มแก้กระหาย
“เจ้าช่างมีน้ำใจยิ่ง” สวีเจี้ยนหงที่มากล้นด้วยสนม เมื่อได้พบปะกับสตรีวัยแรกสาวดูแลเช่นนี้ ก็เหมือนมีลูกสาวคอยดูแลบิดาชราเช่นเขา ช่างดีจริง ๆ
เขาจะว่าโชคดีก็ดี โชคไม่ดีก็ได้ มีสวรรค์เมตตาให้มีบุตรเพียงสองคน คือไท่จื่อ กับองค์ชายรองเท่านั้น บุตรสาวหามีไม่ สนมที่ถวายเข้าวังก็วัยใกล้ยี่สิบปี แต่สตรีเหล่านั้นปฏิบัติตัวต่อเขาไม่เป็นธรรมชาติล้วนต้องการความก้าวหน้า จนบ้างครั้งจริตมารยาพวกนั้นก็ทำให้เขาเบื่อหน่าย
แต่สตรีผู้นี้ท่าทางการเข้าหาล้วนไม่มีเล่ห์กลแฝง ทั้งยังไม่รู้ว่าตัวตนเขาคือผู้ใด นางช่วยเหลือโดยไม่คิดรังเกียจว่าเขาคือตาแก่ไร้ความสามารถ
‘ช่างสบายใจเสียจริง’ สวีเจี้ยนหงคิด