“ตอนนี้หมอยังตอบไม่ได้นะครับ เราต้องรอดูอาการหลังผ่าตัด ปัญหาสำคัญของเราตอนนี้คือเลือดสำรองที่จะใช้ผ่าตัดมีไม่เพียงพอ” แพทย์เจ้าของไข้ยังไม่กล้ายืนยันอะไร เพราะตอนนี้อาการของเด็กหญิงบุญชญาเรียกได้ว่าห้าสิบห้าสิบ
“คุณหมอต้องช่วยลูกของดิฉันนะคะ ดิฉันจะรีบประกาศขอรับบริจาคเลือดให้เร็วที่สุดค่ะ” บุญนิสากล่าวด้วยความร้อนใจ นาทีนี้ไม่มีสิ่งใดทุกข์ไปกว่าการเห็นลูกน้อยเจ็บปวดเช่นนี้
“ผมจะทำให้ดีที่สุดครับ ผมต้องขอตัวไปดูเคสอื่นก่อนนะครับ ถ้าหากคุณแม่สงสัยอะไรติดต่อพยาบาลหน้าห้องได้เลยครับ” แพทย์เจ้าของไข้เดินกลับไปที่วอร์ดอีกครั้ง
บุญนิสารีบหยิบโทรศัพท์ออกมาโพสทั้งทวิสเตอร์และเฟสบุ๊คเพื่อขอความช่วยเหลือหาคนมาบริจาคเลือดให้กับบุตรสาว เธอเฝ้ารออย่างมีความหวัง แต่ผ่านไปหลายชั่วโมงก็ไร้ซึ่งวี่แวว ไม่มีผู้ใดติดต่อมา บุญนิสาเดินไปถามที่เคาน์เตอร์พยาบาลอีกครั้ง เธอหวังว่าเมื่อเธอหาไม่ได้ ก็น่าจะได้เลือดจากสภากาชาดไทย
“สวัสดีค่ะ เรื่องเลือดของเด็กหญิงบุญชญาเป็นยังไงบ้างคะ” บุญนิสาเอ่ยถามด้วยแววตาเศร้า
“ยังไม่ได้เลยค่ะ ตอนนี้ที่สภากาชาดไทย เลือดกรุ๊ปนี้ก็ขาดค่ะ เรากำลังพยายามประสานให้อยู่นะคะคุณแม่” เจ้าหน้าที่ธุรการรีบแจ้งให้หญิงสาวทราบทันที
“ขอบคุณนะคะ ยังไงก็ฝากตามให้อีกครั้งนะคะ” บุญนิสากล่าวก่อนที่จะเดินมานั่งด้วยความเศร้าใจ แล้วถ้าเกิดว่าโรงพยาบาลหาเลือดไม่ได้ เธอจะทำอย่างไร เธอมืดแปดด้านไปหมด ไม่รู้ว่าจะทำอะไรต่อไปดี หนทางที่จะช่วยหาเลือดให้บุตรสาวได้ตอนนี้คงมีทางเดียว นั่นคือการติดต่อพ่อของลูกไป แต่เขาไม่เคยรับรู้เลยว่ามีเด็กหญิงบุญชญาอยู่บนโลกใบนี้ แล้วเขาจะยอมมาบริจาคเลือดให้เด็กน้อยได้อย่างไร
ด้วยเพราะอับจนหนทาง ชีวิตของลูกน้อยรอไม่ได้ บุญนิสาจึงตัดสินใจจะเดินทางไปหาพ่อของลูก ผู้ชายที่เธอไม่อยากเจอหน้าเขาอีก คนที่ทำลายชีวิตของเธอจนย่อยยับ
แต่ถ้าหากมันสามารถต่อลมหายใจของลูกน้อย ต่อให้เธอต้องก้มกราบเขาก็ยอม เพื่อชีวิตของลูกเธอต้องยอมละทิฐิ แล้วเดินเข้าไปหาเขา เธอได้แต่หวังว่าเขาจะเข้าใจและยอมช่วยเหลือเลือดเนื้อเชื้อไขที่เขาไม่เคยรู้ว่าได้กำเนิดขึ้นมาบนโลกใบนี้