ใช้เวลาเกือบๆ สองชั่วโมงกว่าทั้งหมดจะเดินทางมาถึงร้านอาหารดังกล่าว เนื่องจากการจราจรที่ติดขัดพอสมควรทำให้มาถึงช้ากว่าที่คาดการณ์เอาไว้ ระหว่างทั้งหมดนั่งรออาหารอยู่ในร้าน นิฏฐาเหลือบสายตามองนาฬิกาข้อมือบอกเวลาอีกสิบห้านาทีจะหกโมงเย็น ซึ่งเป็นเวลาอาหารมื้อเย็นของคฤหาสน์มีทรัพย์อนันต์ เธอคงต้องโทร.ไปบอกทางนั้นก่อนว่าเธอจะไม่กลับไปร่วมโต๊ะด้วย นฤบดินทร์เองคงจะกลืนอาหารลงคอคล่องเมื่อไม่มีเธอ แต่เธอเกรงใจอาม่ากันทรา นฤดลและกิ่งดาวที่คงจะรอเธอไปร่วมโต๊ะด้วย ดังนั้นเธอต้องแจ้งให้คนอื่นๆ ทราบ ในส่วนของนฤบดินทร์นั้นเธอเขียนโน้ตแปะไว้หน้ากระจกแล้ว บางทีเขาอาจจะไม่อ่านข้อความที่เธอทิ้งไว้ด้วยซ้ำ ซึ่งนั่นก็ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด
“เดี๋ยวฉันมานะ ไปคุยโทรศัพท์แป๊บ”
นิฏฐาบอกเพื่อนร่วมโต๊ะ ก่อนจะลุกออกมานอกร้าน จังหวะที่เธอกำลังเลื่อนหน้าจอโทรศัพท์มือถือ ตั้งใจจะกดโทร.ออกก็มีสายเข้ามาพอดี หน้าจอโชว์เบอร์โทรศัพท์คฤหาสน์มีทรัพย์อนันต์ คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันเล็กน้อย เดาไม่ออกเลยจริงๆ ว่าใครกันที่โทร.หาเธอ แต่จู่ๆ หญิงสาวก็คลี่ยิ้มหวานเพราะคิดว่าบางทีอาจจะเป็นนฤบดินทร์ที่โทร.มาก็เป็นได้ หญิงสาวกระแอมเบาๆ ก่อนจะกดรับสาย
“สวัสดีค่ะ”
“คุณโซ่เหรอคะ นี่น้านิ่มเองนะคะ”
พอปลายสายไม่ใช่นฤบดินทร์ นิฏฐาเลยยู่หน้าน้อยๆ หัวใจที่พองโตไปล่วงหน้าแฟบลงทันตา ก่อนจะคุยโต้ตอบกับคนปลายสาย
“ค่ะ น้านิ่ม มีอะไรรึเปล่าคะ”
“คือคุณท่านให้โทร.ถามน่ะค่ะว่าคุณโซ่ถึงไหนแล้ว คุณท่านจะได้รอทานข้าว เพราะตอนนี้ทุกคนมาพร้อมกันหมดแล้ว อ่อ คุณดินทร์ก็มาแล้วนะคะ”
คุณท่านที่นิ่มกล่าวถึงก็คืออาม่ากันทรา ส่วนที่เจ้าตัวบอกว่านฤบดินทร์มาแล้วนั้นเป็นเพราะปกติแล้วชายหนุ่มจะมาถึงโต๊ะอาหารเป็นคนสุดท้าย หรือไม่ก็มาพร้อมนิฏฐา เรียกว่ามาพร้อมก็ไม่ค่อยจะถูกสักเท่าไรนัก เพราะนิฏฐาเป็นฝ่ายเดินตามนฤบดินทร์มาเองเสียมากกว่า
“น้านิ่มช่วยบอกอาม่าทีนะคะว่าโซ่ไม่ได้กลับไปกินมื้อเย็นด้วย พอดีมากินข้าวกับเพื่อนน่ะค่ะ”
“ได้ค่ะ เดี๋ยวจะเรียนคุณท่านให้นะคะ”
หลังจากนิ่มวางสายไปแล้ว นิฏฐาก็เดินกลับเข้ามาในร้าน ทิ้งตัวลงนั่งเก้าอี้ตัวเดิม บนโต๊ะมีอาหารพร้อมสรรพแล้ว
“กินกันเถอะ ฉันหิวจนจะตาลายแล้วนะ” เป็นรักตกันท์ที่เอ่ยขึ้นมาก่อน
“กินกันเถอะโซ่ มีแต่อาหารที่โซ่ชอบทั้งนั้นเลย”
อนลัสเอ่ยขึ้นมาบ้าง เจ้าตัวคลี่ยิ้มบางๆ ให้นิฏฐา แค่ได้อยู่ใกล้ๆ แม้ไม่ได้เป็นคนรักเท่านี้เขาก็มีความสุขมากแล้ว จริงอยู่ที่เขาไม่ได้ไปร่วมงานแต่งของหญิงสาว นั่นเป็นเพราะว่าเรื่องมันเกิดขึ้นเร็วมาก และเขาก็ตั้งตัวไม่ทัน แต่ตอนนี้พอจะทำใจได้บ้างแล้ว เพราะอย่างน้อยเขาก็ยังได้เห็นเธอในระยะสายตา
รักตกันท์ลอบมองอนลัส เจ้าตัวแอบถอนหายใจเบาๆ เพราะรู้สึกเห็นใจเพื่อนอยู่ไม่น้อย แต่อย่างว่าแหละ เรื่องความรักบังคับกันได้เสียที่ไหน
และก็อดที่จะเห็นใจตัวเองไม่ได้ในคราวเดียวกัน
มื้ออาหารผ่านไปด้วยบรรยากาศครึกครื้น เพราะนิฏฐากับรักตกันท์งัดเรื่องเก่าๆ ที่พากันหน้าแตกขึ้นมาคุยอย่างสนุกปาก ส่วนอนลัสนั้นทำเพียงเป็นผู้ฟังที่ดี ก่อนจะร่วมหัวเราะไปกับสองสาวเป็นครั้งคราว และเมื่อสองสาวขุดเรื่องที่ทำให้เขาหน้าแตกขึ้นมาเล่าบ้าง เจ้าตัวก็รีบปรามลิ้นรัว แต่แน่ละ เอ่ยปากปรามไปก็เท่านั้น เพราะสุดท้ายอนลัสก็ห้ามสองสาวไม่ได้อยู่ดี เจ้าตัวเลยทำเพียงตักอาหารใส่ปากแก้เก้อ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าบรรยากาศแบบนี้ พอให้หัวใจที่แห้งแล้งก่อนหน้านี้ชุ่มชื่นขึ้นมาบ้าง
อนลัสกับรักตกันท์มาส่งนิฏฐาที่คฤหาสน์มีทรัพย์อนันต์ตอนเกือบๆ สี่ทุ่ม เพราะการจราจรทำให้การเดินทางไม่สะดวกอย่างที่ควรจะเป็น นิฏฐาให้อนลัสจอดรถที่หน้าประตู ไม่ได้ให้เข้ามาส่งที่หน้ามุข เพราะเกรงว่าเสียงเครื่องยนต์จะรบกวนการพักผ่อนของคนในบ้าน หญิงสาวจึงใช้ประตูเล็กที่ติดกับรั้วเพื่อเปิดเข้ามา แต่ไม่ทันได้ปิดประตู อนลัสก็ก้าวตามเข้ามา
“โซ่ ลืมกระเป๋าน่ะ”
อนลัสว่าพลางยื่นกระเป๋าสีฟ้าอ่อนคืนให้นิฏฐา หญิงสาวรับมันเอาไว้ก่อนจะเอ่ยขอบคุณ
“ขอบใจนะ”
“อื้อ งั้นเอ็มกลับก่อนนะ”
“จ้า ขับรถดีๆ ล่ะ ถึงแล้วโทร.มาบอกด้วยนะ โซ่จะได้สบายใจว่ารักกับเอ็มถึงบ้านอย่างปลอดภัย”
“ได้ ถึงแล้วเอ็มจะรีบโทร.มาบอกเลย”
ทั้งคู่โบกมือลากัน นิฏฐายืนมองจนอนลัสเดินออกไปจากรั้วบ้าน จากนั้นจึงเดินไปใส่กลอนประตูเล็ก ก่อนจะหมุนตัวกลับแล้วเดินเข้าไปตามทางด้วยรอยยิ้มกว้างเพราะเจ้าตัวกำลังนึกถึงหนังสือที่ไปซื้อมาวันนี้ และคิดว่าจะลองทำตามคำแนะนำข้อใดก่อนดี โดยหารู้ไม่ว่าทุกการกระทำของเธออยู่ในสายตาของนฤบดินทร์ที่มองผ่านหน้าต่างจากห้องนอนมาอย่างพอดิบพอดี
นิฏฐาหยุดเท้าที่หน้าประตูห้อง หญิงสาวล้วงเข้าไปในกระเป๋าสะพายหมายใจจะหยิบกุญแจห้องออกมา แต่เธอยังไม่ทันทำสำเร็จ ประตูก็ถูกเปิดออก เผยให้เห็นร่างสูงที่ยังอยู่ในชุดเดิมที่สวมตั้งแต่เมื่อเช้า ใบหน้าหล่อเหลาดูบึ้งตึง ดวงตาคู่คมมองมาที่เธออย่างไม่สบอารมณ์นัก นิฏฐาเลยรีบฉีกยิ้มกว้างอย่างกลบเกลื่อน
“พี่ดินทร์ยังไม่อาบน้ำอีกเหรอคะ”
นิฏฐาถามพลางขยับเท้าเข้ามาด้านใน โดยที่นฤบดินทร์ยอมเปิดทางให้เธอแต่โดยดีแต่ไม่ยอมตอบคำถามของเธอ มือเล็กจัดการดันประตูปิด ก่อนจะขยับเท้ามาใกล้ร่างสูงที่ยังคงมีสีหน้าบึ้งตึง ที่มองเธออย่างไม่วางตา และที่สำคัญเขายังไม่ตอบในสิ่งที่เธอถาม จนร่างเล็กต้องถามย้ำ
“เอ่อ พี่ดินทร์อาบ...”
“ก็เห็นว่ายังทำไมต้องถาม”
ก่อนที่หญิงสาวจะทันได้เอ่ยจบประโยค นฤบดินทร์ก็พูดขัดเสียก่อน เสียงทุ้มที่กดต่ำแถมติดดุดัน ทำให้นิฏฐาต้องกลืนน้ำลายเหนียวๆ ลงคออย่างยากลำบากก่อนจะบอกอ้อมแอ้ม
“ถ้าอย่างนั้น เดี๋ยวโซ่ไปเตรียมน้ำให้นะคะ”
นิฏฐาขยับเท้าไปที่โซฟาเบด หญิงสาววางกระเป๋าสะพายลงบนนั้น ขยับเท้าอีกครั้งตั้งใจจะตรงดิ่งไปห้องน้ำ แต่คนตัวสูงรั้งเธอเอาไว้
“เดี๋ยวก่อน”
นิฏฐาหยุดเท้าเพราะนอกจากคนตัวสูงจะรั้งเธอเอาไว้ด้วยคำพูดแล้ว เขายังสาวเท้ามาขวางทางเธอเอาไว้ด้วย
“พี่ดินทร์มีอะไรเหรอคะ”
ดวงตาคู่คมตวัดสายตาดุๆ มองเธอ ก่อนจะเอ่ยเสียงหนัก
“ไปไหนมาไหนทำไมไม่รู้จักบอก”
คิ้วเรียวย่นเข้าหากัน หญิงสาวยู่หน้านิดๆ ก่อนจะแย้งกลับไป
“ก็โซ่เขียนแปะเอาไว้แล้วนี่คะ”
ร่างสูงเหลือบสายตาไปที่กระจกบานดังกล่าว ก่อนจะสาวเท้าไปหยิบกระดาษโพสต์-อิทที่นิฏฐาแปะเอาไว้ที่หน้ากระจก แล้วสาวเท้ากลับมาหยุดตรงหน้าเธอเช่นเดิม
“ไปร้านหนังสือ” ชายหนุ่มอ่านข้อความที่นิฏฐาเขียนเอาไว้ก่อนจะเอ่ยประโยคถัดมา น้ำเสียงนั้นติดเยาะนิดๆ “ไปร้านหนังสือตั้งแต่บ่ายกลับมาอีกทีสี่ทุ่ม บอกว่าไปกับรัก แล้วนี่ให้ผู้ชายที่ไหนมาส่งถึงหน้าบ้าน”
ชายหนุ่มทราบว่ารักตกันท์คือเพื่อนของหญิงสาวเพราะเคยเจอกันตอนงานแต่ง ส่วนอนลัสนั้นไม่ได้มาร่วมงานด้วย นฤบดินทร์จึงไม่รู้จัก
“ก็...”
นิฏฐากำลังจะอธิบายว่าคนที่มาส่งเธอก็คืออนลัสซึ่งเป็นเพื่อนของเธอ ส่วนรักตกันท์ก็นั่งอยู่ในรถด้วย แต่ดูเหมือนว่าคนตัวสูงยังไม่พร้อมฟังเหตุผลใดๆ ทั้งนั้น
“ถึงแม้ว่าเราจะแต่งงานกันเพราะความจำเป็น แต่โซ่ควรตระหนักเอาไว้ด้วยว่าตอนนี้โซ่กำลังใช้นามสกุลของพี่ เพราะฉะนั้นถ้าจะทำอะไรก็ควรเห็นแก่หน้าพี่และนามสกุลของพี่บ้าง”
“แต่ว่า...” หญิงสาวพยายามจะอธิบาย แต่คนตัวสูงไม่เปิดโอกาสให้เธอได้ทำแบบนั้นเลย
“รอให้หย่ากันก่อน ถึงตอนนั้น โซ่อยากจะทำอะไรก็ทำ พี่จะไม่ว่าสักคำ”
คำว่าหย่าที่ออกมาจากริมฝีปากหยักลึกอย่างชัดถ้อยชัดคำกระแทกใจคนฟังอย่างแรงจนปวดหนึบ ตั้งแต่แต่งงานกันมา นี่คือครั้งที่สองที่เขาเอ่ยถึงเรื่องหย่า ทั้งๆ ที่ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเธอยังไม่คืบหน้าไปถึงไหนเลยด้วยซ้ำ หญิงสาวเม้มริมฝีปากเข้าหากันแน่น เธออยากจะอธิบายให้เขาเข้าใจว่าเธอไม่ได้ทำอะไรเสื่อมเสียอย่างที่เขากล่าวหา แต่ก็นะ ในเมื่อเขาตัดสินเธอไปแล้ว การอธิบายของเธอก็ไม่ต่างอะไรเลยกับการแก้ตัว และตอนนี้ต่อให้เขาเปิดโอกาสให้เธอได้อธิบาย เธอคงพูดอะไรไม่ออกแล้วจริงๆ ลำคอของเธอมันตีบตันเกินกว่าจะพ่นคำพูดประโยคยาวๆ ออกมาได้ หญิงสาวจึงทำได้เพียงน้อมรับข้อกล่าวหาที่เขาโยนใส่
“เข้าใจแล้วค่ะ”