ตอนที่ 2
ขนม
“ไว้เจอกันนะขนม”
“เคๆ ค่อยไลน์คุยกัน”
หญิงสาวร่างบางในชุดทะมัดทะแมงยกมือบอกเพื่อน ขณะยืนอยู่หน้าหอพักหญิงเธอคือ เขมมิกา และกำลังรอใครสักคนมารับและคนนั้นเป็นผู้มีพระคุณที่สำคัญยิ่งของเธอ ทั้งคุณโอภาสและคุณปลาที่นอกจากจะเป็นผู้ก่อตั้งมูลนิธิศรีพิพัฒน์ ที่มอบทุนการศึกษาตั้งแต่เธอเรียนมัธยมปลายจนจบมหาวิทยาลัยในสาขาที่ตัวเองชอบ และคอยช่วยเหลือในหลายอย่างกับเธอมาตลอด
ความจริงวันนี้ไม่อยากจะรบกวนท่านทั้งสอง แต่คุณโอมแจ้งว่ายังไงก็มาแสดงความยินดีกับเธอด้วยตนเอง และจะมารับเพื่อไปฉลองในโอกาสจบการศึกษาด้วย
“แน่ใจนะแกว่าจะไม่ไปด้วย”
รสรา เพื่อนสนิทเอ่ยถาม เมื่อเห็นเขมมิกายังคงยืนกรานที่จะรอ แม้เวลาจะล่วงเลยมาเกือบสองชั่วโมงแล้ว ด้วยเห็นเธอลากกระเป๋าใบใหญ่ลงจากห้องพักมาตั้นนาน แต่ก็ยังไม่เห็นว่าจะมีใครมารับ
“ไม่เป็นไร รสไปเถอะยังไงเราก็จะรอคุณโอมกับคุณปลา”
“ไว้เราโทรหาละกันนะ”
“อืม”
เธอมองรสราขึ้นแท็กซี่ไปจนลับตา ก่อนจะย่อกายนั่งยังม้าหินอ่อนหน้าหอพัก แล้วมองดูเวลาอีกรอบใจนึงก็อยากกดโทรศัพท์หาคุณโอมเพื่อถามว่าถึงไหนแล้ว อีกใจก็ไม่อยากรบกวนด้วยเกรงว่าจะเป็นการเร่งเร้ามากไป
รออีกสักหน่อย ปกติแล้วทั้งสองไม่เคยผิดนัดสักครั้ง
ปี๊ป!!!
เสียงแตรรอดังอยู่ด้านหน้านั่นทำให้เขมมิกา เงยหน้าขึ้นมอง และต้องขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อเห็นแอสตันมาร์ตินสีเทาจอดอยู่ไม่ห่าง และคล้ายว่าคนที่ขับจะจ้องมาทางเธอ
ไม่น่าจะใช่คุณโอม! หรอกมั้ง
เธอจึงก้มหน้าดูโทรศัพท์เพื่อเช็คข้อความในไลน์ต่อ ก่อนที่กระจกรถหรูจะลดลง และชายในรถก็ตะโกนเสียงดังลั่น
“ใช่ขนมรึเปล่า”
“คะ”
“หูหนวกรึไง? ฉันถามว่าชื่อขนมรึเปล่า!!”
เขมมิการีบลุกพรวดขึ้นทันที เมื่อเห็นหน้าของเจ้าของรถ ด้วยทราบว่าเขาคือ วิณณ์ ศรีพิพัฒน์ ลูกชายคนเล็กของคุณโอภาสและเป็นคนที่เคยไปมอบทุนให้เธอตอนอยู่ปีสอง
“ค่ะ ขนมค่ะ”
“ขึ้นรถ”
“คะ”
อะไรกันหว่า? ไหนคุณโอมบอกจะมารับด้วยตนเอง เธอถึงได้รอและเก็บข้าวของสัมภาระทุกอย่างมาจากห้องพัก แล้วนี่เธอจะเอาของไปยังไงกัน เมื่อรถที่มารับเป็นรถสปอร์ตคันหรูที่มีแค่สองที่นั่ง
“อะไรของเธอ?”
วิณณ์ กระตุกเข็มขัดนิรภัยอย่างหงุดหงิด ก่อนจะเปิดประตูและก้าวลงจากรถ ร่างสูงโปร่งในชุดทำงานนั้นแม้ดูธรรมดาแต่ก็เจิดจรัสจนสาวๆที่เดินผ่านไปมาหันหลังกลับมามอง
“คุณโอมบอกจะมารับหนู แล้วท่านไม่มาเหรอคะ”
“ถ้ามา ฉันก็คงไม่มายืนอยู่ตรงนี้หรอก”
ชายหนุ่มสะบัดเสียงด้วยวันนี้หงุดหงิดหลายอย่างทั้งเรื่องเลขาที่ยังจัดการไม่ได้ และปัญหาแวนเดอร์ที่ยังคุยกันไม่ลงตัว แต่ยังต้องปลีกเวลามารับยายนี่อีก
“ถ้างั้นไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวหนูเรียกแท็กซี่ไปเองก็ได้”
เธอบอกเสียงอ่อน เมื่อหันมองสัมภาระของตน
“นี่เธอ!! ฉันไม่ได้ว่างขนาดนั้น”
วิณณ์เสียงสูง หงุดหงิดยิ่งกว่าเดิม “แล้วนี่อะไร ขนอะไรนักหนาจะย้ายบ้านรึยังไง”
“ค่ะ”
“หือ”
คิ้วหนาของเขาเลิกสูงขึ้นเมื่อหันมามองหน้าเธอ “เธอจะย้ายห้อง แล้วบอกให้พ่อกับแม่ฉันมาช่วยขนของนี่นะ และฉันต้องมาขนให้แทน?”
“ไม่ได้บอกนะคะ”
ไม่เข้าใจว่าทำไมคนตรงหน้าต้องมาเหวี่ยงใส่เธอด้วย ทุกอย่างในวันนี้ไม่ใช่ความคิดของเธอเสียหน่อย ในเมื่อคุณโอมกับคุณปลา เป็นคนให้เธอเก็บของออกจากหอพักได้เลย
“เธอนี่มัน!!”
วิณณ์ขบกรามนั่น เมื่อมองหน้าเนียนใสตรงหน้า จะว่าไปก็น่าจะเหมาะกับชื่อขนม แต่น่าจะเป็นขนมจืดๆที่ไม่มีรสชาติแม้กรอบหน้ารูปใข่ปากนิดจมูกหน่อย และมีผมยาวสลวยดำขลับก็ตาม ดูยังไงก็ชวนโมโหอยู่ดี
นี่คือเด็กอุปถัมถ์ที่เขาเคยมามอบทุนอย่างงั้นเหรอ?
“ฉันไม่มีเวลามากนัก”
เมื่อคุยไม่รู้เรื่องเขาก็ไม่อยากเสียเวลา จัดการยกกระเป๋าสัมภาระที่มีทั้งหมดยัดไปด้านหลัง ก่อนจะดึงแขนเล็กของเธอและยัดเข้าไปในรถ
“ฉันไม่เข้าใจ ทำไมพ่อกับแม่ฉันถึงได้เทคแคร์ดูแลเธอเป็นพิเศษกว่าเด็กทุนคนอื่นๆของศรีพิพัฒน์ และทำไมฉันถึงไม่คุ้นหน้าเธอเลย”
วิณณ์ เอ่ยขึ้นเมื่อขึ้นมาในรถแล้ว
“หนูรู้จักคุณวิณณ์ค่ะ”
ก็แหงล่ะ!! มีใครจะไม่รู้จักเขาบ้าง เขาเป็นประธานใหญ่ของเอสเอ็มกรุ๊ป ลงสื่อแทบทุกช่องทางขนาดนั้น
“อย่าคิดว่าฉันจะเป็นเหมือนพ่อฉันนะ”
“หนูทราบค่ะ”
จะเหมือนได้ไง คุณโอภาสไม่ขึ้เหวี่ยงวีนแบบนี้สักหน่อย
“ฮึ!”
มุมปากหยักของวิณณ์ยกสูงขึ้น ในขณะที่เขมมิกาเอาแต่ก้มหน้ามองมือตัวเองที่สอดประสานกันอยู่บนตักด้วยความประหม่า แต่ยังคงแอบลอบมองด้านข้างของชายหนุ่ม ที่เห็นเพียงมุมด้านซ้ายทว่าเขาก็ยังคงดูหล่อเหลาราวรูปปั้นสลัก
แม้วันเวลาจะผ่านไปกี่ปีเขาก็ยังคงดูดีและเจิดจ้าเสมอ
ด้วยอยู่ในตระกูลที่เกื้อหนุนและความเก่งกาจที่มีได้ใช้พลังของมันอย่างเต็มที่
และนั่นคือโอกาสในชีวิตที่เขามี
ต่างจากเธอ...ที่โอกาสเดียวในการจะขึ้นไปสู่ชนชั้นกลางที่แค่พอมีกินใช้ในชีวิตอย่างไม่ขัดสน คือการศึกษาเท่านั้น
และนั่นคือสิ่งที่เธอได้รับจากคนศรีพิพัฒน์
“ฉันยังไม่เตรียมของขวัญมาให้ เดี๋ยววันหลังฉันจะให้เลขาส่งมาให้ละกัน”
วิณณ์ เอ่ยเสียงราบเรียบ เมื่อนึกอะไรบางอย่างได้
“ค่ะ”
“พูดเป็นอยู่คำเดียวรึไง?”
“....”
จะให้เธอพูดว่าอะไร? “ขอบคุณมากค่ะคุณวิณณ์”
ชายหนุ่มผ่อนลมหายใจออกมาเล็กน้อย ก่อนจะเอื้อมมือไปเปิดเครื่องเสียงในรถในระดับขีดสุด เหมือนตอนเครียดแล้วขับรถคนเดียว และนั่นก็ทำให้คนตัวเล็กนิ่งเงียบกว่าเดิม
เปิดไปได้ครึ่งเพลงเขาก็เอื้อมมือไปปิด
เสียงดังน่ารำคาญชิบ!!
“ตกลงฉันต้องมารับเธอกลับบ้านใช่มั้ย?” เขาหันมาถาม เมื่อรถออกมาถนนใหญ่แล้ว นี่กูกลายมาเป็นคนขับรถตั้งแต่ตอนไหนวะเนี่ย!!!
“ค่ะ ..ขนมจะกลับบ้าน”