ความสงบสุขของตระกูลหวังในเมืองหานเป่ยอยู่ได้เพียงสองปีเท่านั้น เมื่อสงครามชายแดนเหนือระหว่างแคว้นฉีกับแคว้นเว่ยปะทุขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัว
เมืองหานป่ยอยู่ห่างจากชายแดนแคว้นฉีเพียงสองร้อยลี้เท่านั้น เมื่อทหารแคว้นเว่ยที่แฝงตัวเข้ามากับกองคาราวานพ่อค้าลอบเข้าปล้นสะดม ทุกคนในเมืองก็ตั้งตัวไม่ทันเสียแล้ว
เสียงกรีดร้องดังไปทั่วเมือง ปลุกให้คนในจวนหวังและจวนอื่นตื่นขึ้น
“คุณหนูแคว้นเว่ยลอบเข้ามาโจมตี นายท่านให้คุณหนูรีบไปที่เรือนหลังเจ้าค่ะ” สาวใช้เข้ามาร้องเรียกเหยาเหยาที่เพิ่งตื่นนอนอย่างตื่นตระหนก
ในตอนแรกนางยังมึนงงไม่หาย แต่เมื่อรู้ว่าสงครามมาถึงแล้วนางก็เด้งตัวขึ้น ลุกไปหยิบห่อผ้าที่อยู่ใต้เตียงเพื่อนำของมีค่าติดตัวไป
เสียงดาบที่กระทบกัน เสียงกรีดร้องดังอยู่หน้าจวน ทั้งเปลวไฟที่ลุกโหมจนสว่างราวตอนกลางวัน ทำให้ทุกคนที่อยู่ในจวนหวังหันมองอย่างตื่นตระหนก
“ไปที่ห้องลับใต้ดิน” โยวลู่ตะโกนร้องสั่งทุกคน เพราะไม่อาจหนีออกจากจวนได้แล้ว ในตอนนี้ต้องเอาตัวรอดไปให้ได้
โยวลู่ประคองมู่เยี่ยนให้รีบเดินนำไป บุตรทั้งสอง รวมถึงบ่าวในจวนก็เร่งฝีเท้าไวขึ้น เพราะกลัวว่าทหารแคว้นเว่ยจะเข้ามาพบตัวเสียก่อน
ภายในห้องลับถูกจุดเทียนขึ้น เพื่อเพิ่มความสว่าง ห้องที่ไม่กว้างนักทำให้ทุกคนต้องอยู่กันอย่างเบียดเสียด ในตอนนี้ไม่มีนายบ่าวอีกแล้ว ทุกคนกอดกันอย่างขวัญเสีย
เมื่อได้ยินเสียงต่อสู้ที่ใกล้เข้ามา เหยาเหยานางกอดพี่ชายไว้แน่น เรื่องเช่นนี้นางเคยพบเจอเสียที่ไหน ถึงจะเห็นเลือดในตอนผ่าตัดมานับครั้งไม่ถ้วน แต่ก็เทียบไม่ได้กับความโหดร้ายของสงครามแน่
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเพียงใด มู่เยี่ยนนางก็ลืมจะไม่ไหว เพราะอากาศด้านในเมื่อมีคนมาก ย่อมไม่เพียงพอให้หายใจ
บ่าวในจวนอาสาขึ้นไปดูว่าด้านบนเป็นเช่นไร เพราะเสียงต่อสู้ได้เงียบหายไปแล้ว
เพียงไม่นานประตูห้องก็ถูกเปิดออก แต่คนที่มากลับไม่ใช่บ่าวคนเดิม แต่เป็นทหารของแคว้นฉีที่จะพาชาวบ้านอพยพ
ทุกคนได้แต่ถอนหายใจอย่างโล่งอก อย่างน้อยก็ยังได้หลบหน้าออกจากเมือง
เมื่อทุกคนออกมาอยู่กลางลานเรือนก็แทบจะร่ำไห้ เพราะข้าวของในเรือนล้วนเสียหาย ทั้งยังมีร่องรอยรื้อค้นไปทั่ว บางส่วนยังถูกไฟเผาแต่ก็ดับลงแล้ว
เหยาเหยากอดห่อผ้าไว้แน่น ดีเพียงใดที่นางยังเก็บของมีค่าของนางได้ทัน ไม่ต่างจากมู่เยี่ยนและหนิงเฉิงที่พวกเขาต่างมีห่อผ้าติดตัวมาด้วย
เมื่อเดินออกไปนอกจวนก็ต้องยอมรับว่าในจวนตระกูลหวังเสียหายน้อยที่สุดแล้ว ร้านค้าถูกเผาเหลือแต่ตอ ชาวบ้านนั่งร่ำไห้กันข้างทาง ศพที่ยังไม่ถูกเก็บนอนเกลื่อนอยู่ที่พื้น
เหยาเหยานางเดินเข้าไปจับมือมารดาของนางไว้แน่น เพราะมารดาของนางหวาดกลัวจนแทบไม่มีแรงเดินต่อได้แล้ว
ชาวบ้านถูกกวาดต้อนไปที่ค่ายผู้อพยพนอกเมือง ตระกูลหวังก็เป็นหนึ่งในนั้นที่เดินไหลไปตามฝูงชน
“ขอถามได้หรือไม่ ท่านจะพาพวกเราไปที่เมืองใด” โยวลู่เอ่ยถามทหารที่นำทางพวกเขา
“จะไปที่เมืองใดได้ ทหารแคว้นเว่ยล้วนแต่แฝงตัวกระจายไปทุกที่ ท่านแม่ทัพตั้งค่ายอยู่ที่นอกเมืองห่างจากที่นี่สามสิบลี้ ข้าจะพาพวกเจ้าไปที่นั่น” เขาเอ่ยจบก็เข้าไปช่วยพยุงชายชราให้ลุกขึ้นเดินต่อ
เพราะไม่รู้ว่ายังมีทหารแคว้นเว่ยหลบซ่อนตัวอยู่ที่เมืองหานเป่ยหรือไม่ จึงไม่อาจรั้งรอได้
เพียงเดินมาได้ห้าลี้ มู่เยี่ยนก็ไร้เรี่ยวแรงที่จะเดินต่อ หนิงเฉิงยังต้องแบกมารดาขึ้นหลังสลับเปลี่ยนกับบ่าวในจวนไปตลอดทาง
เหยาเหยานางยังพอที่จะเดินไหว จึงแบกของแทนแม่นมหวังที่อายุมากแล้ว
การเดินทางสามสิบลี้สำหรับพวกนางนับว่ายากลำบากนัก เพียงแค่ในตลาดก็ใช้รถม้าจนเป็นนิสัย แต่ก็ไม่อาจที่จะชักช้าได้ จำต้องใจแข็งกัดฟันเดินไปให้ถึงค่ายอพยพเสียก่อน
อากาศทางตอนเหนือก็หนาวเสียดหัวใจ ลมเย็นที่พัดมาบาดผิวขาวของเหยาเหยาจนแดงก่ำอย่างน่าสงสาร
ฝ่าเท้าของนางเริ่มจะไร้ความรู้สึก แทบจะก้าวขาไม่ออก ไม่ต้องถอดรองเท้าออกดูก็รู้ว่าจะเป็นแผลพองมากเพียงใด
สายตาที่สิ้นหวังของเหยาเหยามองค่ายอพยพนอกเมืองอย่างท้อใจ นางคิดว่าจะเป็นกระโจมให้เข้าพักที่ไหนได้ เป็นหลุมดิน ที่ถูกขุดขึ้นเพื่อให้เข้าไปอาศัยหลบลมหนาวได้
อย่างน้อยสาวใช้ข้างกายของทุกคนก็ยังมีเสื้อผ้า ผ้าห่มติดมือมากันด้วย
ทหารที่นำทางมาพาตระกูลหวังยี่สิบชีวิต ไปที่บ้านดิน ที่ทหารหลายนายกำลังขุดอยู่ โยวลู่ให้สาวใช้เข้าไปจัดที่นอนให้มู่เยี่ยนได้พักผ่อนก่อน ส่วนคนอื่นก็แยกไปพักบ้านดินที่อยู่ใกล้กัน
เหยาเหยานางเข้าไปตรวจชีพจรให้มารดาก่อนที่จะกลับไปพัก เมื่อเห็นว่านางเพียงแค่อ่อนเพลียก็เดินไปพักบ้านดินหลังติดกัน
“คุณหนู” เสี่ยวผิง สาวใช้ข้างกายนางเอ่ยเรียกเสียงสั่น เมื่อเห็นเท้าขาวเล็กมีตุ่มน้ำขึ้นเต็มไปหมด ทั้งยังแตกออกจนเลือดไหลซึมออกมาก็มี
“ข้าไม่เป็นอันใด แม่นมเล่า ท่านเป็นเช่นไรบ้างเจ้าคะ” แม่นมมองคุณหนูของตนอย่างซาบซึ้ง แม้ตนจะเหนื่อยแทบขาดใจ แต่ก็ยังเป็นห่วงผู้อื่นไม่เปลี่ยน
“นมไม่เป็นอันใดเจ้าค่ะ พักสักหน่อยก็ดีขึ้น” เสี่ยวผิงประคองแม่นมให้นอนลง ก่อนที่นางจะใช้เข็มที่ติดตัวมาเจาะตุ่มน้ำออกให้เหยาเหยา
บ้านดินที่นางนอน เข้าพักได้เพียงแค่สามคนก็เบียดกันจะแย่อยู่แล้ว กลิ่นดินอับชื้น ทำให้หายใจได้อยากลำบาก แต่ไม่อยู่ที่นี่แล้วจะไปอยู่ที่ใด
ทหารบางส่วนเริ่มมาเกณฑ์คนไปช่วยทำอาหารเลี้ยงผู้อพยพ บ่าวในตระกูลหวังก็ตามไปช่วยเช่นกัน
เหยาเหยานางจึงได้นอนพักอยู่กับแม่นม ไม่รู้ว่านางหลับไปนานเพียงใด แต่เมื่อลุกขึ้นเพราะเสี่ยวผิงเรียกให้นางลุกขึ้นมากินอาหาร
“ท่านกินเสียก่อนเจ้าค่ะ” เสี่ยวผิงยื่นข้าวต้มที่แทบจะมีเพียงน้ำส่งมาให้นาง
“ท่านพ่อท่านแม่กินหรือยัง” นางรับไว้แต่ยังไม่ได้กิน
“นายท่านกินแล้วเจ้าค่ะ”
“แล้วเจ้าเล่า”
“คุณหนูกินก่อนเจ้าค่ะ ประเดี๋ยวบ่าวค่อยออกไปกิน” เหยาเหยาถอนหายใจ เหตุใดสาวใช้ของนางจึงได้แสนดีเช่นนี้
เหยาเหยาดื่มลงไปเพียงครึ่งแล้วส่งให้เสี่ยวผิงนางดื่มที่เหลือ
“กินเถิด เจ้าจะไปหาจากที่ใด” นางรู้ดีว่าคนจำนวนมากเพียงนี้ ของด้านนอกคงไม่เหลือให้เสี่ยวผิงนางออกไปกินแล้ว