“กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่?”
เสียงเข้มที่ดังอยู่เหนือศรีษะทำให้หญิงสาวต้องช้อนตามองก่อนจะหลุบตามองสภาพตัวเองที่อยู่ในชุดนอนเสื้อยืดคอกลมตัวเปื่อยกางเกงยางยืดขาสั้นที่สั้นจริงๆผมเผ้ารุงรังซึ่งไม่ต่างอะไรจากยัยเฉิ่ม ส่วนอีกคนอยู่ในชุดเสื้อยืดสีขาวกางเกงยีนส์สีดำรองเท้าผ้าใบสีเดียวกับเสื้อ ทุกชิ้นถ้วนเป็นของแบรนด์เนม บอกได้คำเดียวว่าหล่อฮอตออร่าพุ่งตั้งแต่หัวจรดเท้า
ช่วงแรกก็อายแหละที่ต้องออกมาเจอสองในสภาพยัยเฉิ่มแบบนี้ ทว่านานไปความเขินอายมันก็ลดน้อยถอยลงเรื่อยๆจนตอนนี้มันไม่เหลืออะไรให้อายแล้ว ตลอดสามปีที่เราสองคนรู้จักกันเป็นเพื่อนกันมา สองไม่ใช่แค่เคยเห็นเธอในสภาพหน้าสด สภาพเพิ่งตื่นนอนหน้าไม่ล้างอย่างตอนนี้สองก็เคยเห็นมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน ซึ่งต่างกันริบลับกับช่วงหนึ่งปีแรกที่เรารู้จักกันซึ่งสองจะเห็นเธอในสภาพร่างทองเท่านั้น
ต้องสวยต้องเริ่ดต้องโซคิ้วเธอถึงจะออกมาให้สองเจอ ทว่ามันก็แค่หนึ่งปีแรกที่เราสองคนรู้จักกันไง เพราะเธอไม่สามารถบังคับตัวเองให้รีบตื่นตั้งแต่เช้าตรู่ อาบน้ำแต่งหน้าทำผมให้สวยเนี๊ยบอยู่ตลอดเวลาทั้งที่วันน้้นเธอเพิ่งได้นอนและไม่มีเรียนเพื่อสร้างความประทับใจให้คนที่แอบชอบ ถ้าทำแล้วมันได้ผลเธอก็พร้อมจะทำต่อแหละ ให้ตื่นขึ้นมาอาบน้ำแต่งหน้าทำผมตั้งแต่ตีสี่ตีห้าเธอก็พร้อมสู้ไม่ถอย ทว่าทำแล้วไม่ได้ผลก็ไม่รู้จะทำต่อไปทำไม ทำมาได้ครบปีก็ถือว่าเก่งมากแล้วเหอะ
คิดย้อนกลับไปช่วงเวลานั้นแล้วก็ได้แต่นึกขำแกมเวทนาตัวเอง
พรีเซ้นต์ตัวเองแทบตายสุดท้ายเป็นแค่เพื่อนสนิท
เธอรู้จักสองตอนที่มาเรียนมหาวิทยาลัยผ่านรพีพงศ์หรือว่าโฟมเพื่อนสนิทสมัยเด็กของเธออีกที โฟมเป็นคนจังหวัดขอนแก่นเหมือนเธอทว่าย้ายมาเรียนต่อมัธยมที่กรุงเทพฯก็เลยรู้จักกับสอง เธอไม่รู้ว่าทั้งสองคนรู้จักกันได้ยังไงเธอรู้แค่ว่าเพื่อนสนิทสมัยเด็กของเธอกับสองเป็นเพื่อนที่รักและสนิทกันมาก
สนิทมากถึงขั้นที่โฟมสามารถพาเธอมาแนะนำให้สองรู้จักและฝากฝังให้สองช่วยดูแลเธอเมื่อรู้ว่าเธอสอบติดมหาวิทยาลัยและคณะเดียวกันกับเพื่อนตัวเอง
ความเป็นเพื่อนของเธอกับสองจึงเกิดจากการแนะนำของโฟม โดยที่เธอกับสองรู้จักกันก่อนเปิดเทอมประมาณสองสัปดาห์จากการแนะนำของโฟม ฟ้าลดายังจำได้ว่าครั้งแรกที่เธอเจอสองหัวใจเธอเต้นแรงมาก ทั้งเขินทั้งอายแทบไม่กล้าสบตาคนที่เพื่อนแนะนำให้รู้จัก เกิดมาจนอายุสิบแปดปียังไม่เคยเจอผู้ชายคนไหนที่ทำให้หัวใจเต้นแรงได้ขนาดนี้ สองเป็นผู้ชายคนแรกและคนเดียวที่ทำเธอใจสั่นถึงขั้นเอาไปละเมอเพ้อฝัน
เธอก็ทำได้แค่เพ้อจริงๆ เกือบชั่วโมงที่เรานั่งอยู่ด้วยกันที่คาเฟ่เธอกับสองพูดกันแทบจะนับคำได้ ถ้าโฟมไม่ถามเราสองคนก็แทบจะไม่พูดกันเลย ต่างคนก็ต่างนั่งเงียบกริบ แม้ว่าสุดท้ายแล้วเราสองคนจะมีคอนแท็คกันทว่าเราสองคนก็ไม่เคยโทรหาหรือว่าส่งข้อความคุยกันเลยแม้แต่ครั้งเดียว
จนถึงวันเปิดเรียนเธอยังลังเลว่าถ้าเจอสองที่คณะควรจะเข้าไปทักทายเขาไหม ถ้าต้องทักเธอจะทักทายเขาว่ายังไง
ซึ่งพอถึงเวลาเจอกันจริงๆ เธอดันไม่กล้าที่จะเดินเข้าไปทักทายเขา ยิ่งเห็นเขาโดดเด่นท่ามกลางเพื่อนผู้ชายคนอื่นๆ เป็นหนุ่มฮอตตั้งแต่วันแรกของการเปิดเรียนเธอยิ่งไม่กล้าเข้าไปทักทาย กลัวตัวเองถูกเขม่นก็ส่วนหนึ่งทว่าที่กลัวที่สุดคือกลัวสองจำเธอไม่ได้ จึงเลือกที่จะยืนมองอยู่ห่างๆ ทว่าเป็นสองที่เป็นฝ่ายเดินเข้ามาหาเธอและชวนเธอไปนั่งด้วยกัน
‘ฟ้าใส’
‘ห๊ะ... เรียกเราเหรอ’
‘จำเราได้มั้ย?’
‘อือ จำได้... สอง’
‘ไปนั่งด้วยกันตรงโน้นสิ เดี๋ยวจะแนะนำเพื่อนให้รู้จัก’
‘อือ’
เธอพยักหน้าให้เขาก่อนจะเดินตามหลังเขาไปเงียบๆ ถึงสายตาของเธอจะโฟกัสแค่แผ่นหลังกว้างของสองไม่ได้หันมองผู้คนรอบข้างเธอก็รับรู้ได้ว่าทุกสายตาที่อยู่บริเวณนั้นต่างก็จ้องมองมาที่เธออย่างสนใจ
สามปีมันอาจจะไม่ได้นานมากทว่ามันก็นานพอให้เธอไม่กล้าพูดอะไรบางอย่างที่อยู่ในใจออกไป บางอย่างที่เธอเก็บงำมาตลอดสามปีนับตั้งแต่วันแรกที่เราเจอกัน อาจจะเป็นเพราะความสนิทของเราด้วยที่ทำให้เธอไม่กล้าที่จะพูดมันออกไป เพราะกลัวว่าความสัมพันที่เป็นอยู่มันจะไม่เหมือนเดิม กลัวว่าทุกอย่างมันจะพังทลายลงไปต่อหน้าต่อตา
การอยู่ในสถานะเพื่อนสนิทมันก็ไม่ได้... แย่
อย่างน้อยเธอก็ยังหายใจได้ปกติ กินข้าวได้เต็มอิ่ม นอนหลับได้สนิท
และที่สำคัญ...
เธอยังมีสองเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต