ตอนที่ 3 ข้อเสนอ

1162 Words
“คือฉัน...ยังจำอะไรไม่ได้เลยค่ะ ทุกอย่าง...มันว่างเปล่าไปหมด แม้แต่ชื่อของตัวเอง ฉันก็ยังจำไม่ได้เลย” เธอบอกพร้อมน้ำตาเอ่อคลอ รู้สึกสมเพชตัวเองเหลือเกินในตอนนี้ “แปลว่า...คุณคงไม่มีที่ไปสินะ” หญิงสาวพยักหน้ารับแทนคำตอบเพราะมันจุกในอกไปหมดจนพูดไม่ออก “ถ้าอย่างนั้น...ผมอาจมีข้อเสนอบางอย่างที่ดีให้กับคุณ” “ข้อเสนอ...อะไรเหรอคะ” เธอรีบเงยหน้ามองเขาด้วยแววตาตื่นเต้นระคนสงสัย “ในเมื่อจนถึงตอนนี้คุณยังจำอะไรไม่ได้ ไม่มีที่ไป และไม่มีใครออกตามหา…ผมคิดว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดของคุณตอนนี้ก็คือที่อยู่ใหม่ และ...เงินที่มากพอที่จะทำให้คุณใช้ชีวิตต่อไปได้โดยไม่ลำบาก” “คุณหมายความว่า...จะหางานให้ฉันทำและ...หาที่อยู่ให้ฉันอย่างนั้นรึเปล่าคะ” เธอมองเขาอย่างมีความหวังหลังจากลองประมวลสิ่งที่เขาพูด “ก็...จะเรียกอย่างนั้นก็ได้” เขาทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ที่เธอนั่งก่อนหน้านี้ มือหนาประสานกันบนตัก ท่าทางสุขุมเหมือนนักธุรกิจที่กำลังเจรจาเรื่องสำคัญ “แล้วคุณจะจ้างฉันทำอะไรคะ แม่บ้านทำความสะอาดหรือว่า...” “ผมต้องการผู้หญิงที่สามารถให้กำเนิดลูกให้ผมได้...และคุณ…ก็คือคนที่ผมเลือก” เธอตะลึงไปชั่วขณะเพราะคิดว่าตัวเองหูฝาดไป “คุณ...พูด…ว่าอะไรนะคะ?” “เอาแบบง่าย ๆ เข้าใจไม่ยากนะ ผมต้องการให้คุณเป็นเมียอุ้มบุญของผม” น้ำเสียงทุ้มต่ำแต่เด็ดขาดไม่มีแววล้อเล่น “เราจะไม่แต่งงานกัน ไม่มีการจดทะเบียนสมรส คุณจะเป็นเมียผมแค่ในสัญญา ในสายตาของครอบครัวผมคุณคือแฟน แต่สำหรับผมคุณคือคนที่จะมาเป็นแม่ของลูก พอลูกคลอด...ทุกอย่างก็จบ คุณก็จะได้มีอิสระพร้อมกับเงินก้อนใหญ่ แบบนี้ต่อให้คุณจะความจำเสื่อมไปตลอดชีวิต คุณก็ยังจะดูแลตัวเองต่อไปได้ไม่ลำบาก” “คุณบ้าไปแล้วหรือเปล่า!” เธอเผลอตะโกนออกมา เสียงสั่นด้วยความตกใจ “นี่คุณ...คุณจะให้ฉัน...ขายลูกให้คุณเหรอคะ สมองของคุณน่าจะเสื่อมมากกว่าฉันอีก ทำไมไม่คิดอะไรให้รอบคอบ...” เขายกยิ้มบาง ๆ ที่มุมปาก รอยยิ้มที่ไม่ใช่ความสนุก แต่เป็นรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความมั่นใจและความเหนือกว่า “ผมไม่เคยทำอะไรโดยไม่คิด คุณเองก็เหมือนกัน ลองคิดให้ดี คนที่ไม่มีทั้งอดีตและอนาคตแบบคุณ จะใช้ชีวิตต่อไปได้ยังไงโดยที่ไม่มีเงิน อย่าว่าแต่เงินเลย เสื้อผ้าหรือรองเท้าที่คุณจะใส่ออกจากโรงพยาบาลล่ะ มีรึเปล่า” คำพูดนั้นบาดลึกลงในใจเธอ ความจริงที่เถียงไม่ได้ทำให้เธอก้มหน้าหลบสายตาคมดุที่จ้องมา “ผมจะให้เงินคุณยี่สิบล้านบาท” เขากล่าวต่อด้วยน้ำเสียงราบเรียบเหมือนตัวเลขนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่ “คุณจะได้รับเงินก้อนแรกทันทีที่คุณตกลง และอีกส่วนหลังจากตรวจสุขภาพยืนยันว่าคุณพร้อมสมบูรณ์สำหรับการตั้งครรภ์ ที่เหลือจะได้รับครบเมื่อคุณให้กำเนิดลูก” หญิงสาวกลืนน้ำลายลงคอแห้งผาก หัวใจเต้นแรงจนแทบหลุดจากอก “ฉัน…ฉันไม่ใช่ผู้หญิงขายตัวนะคะ” เธอเอ่ยเสียงเบา แต่หนักแน่นพอให้เขาได้ยิน บุญญานนท์โน้มตัวเข้ามาเล็กน้อย ดวงตาเข้มสบกับเธออย่างตรงไปตรงมา “ผมไม่ได้บอกว่าคุณเป็นอย่างนั้น ผมเรียกมันว่าข้อตกลง...คุณช่วยผม และผมก็ช่วยคุณ นี่คือการแลกเปลี่ยนที่ยุติธรรม” หญิงสาวหอบหายใจแรง สายตาเต็มไปด้วยความประหวั่นพรั่นพรึง เธอไม่เคยรู้สึกถูกกดดันแบบนี้มาก่อน มันเหมือนถูกขังอยู่ในห้องที่มีเพียงทางออกเดียว และกุญแจอยู่ในมือของชายตรงหน้า ความเงียบเข้าครอบงำห้องพักผู้ป่วยในชั่วขณะหลังจากบุญญานนท์พูดจบ เสียงเครื่องปรับอากาศยังคงดังหึ่ง ๆ แต่ในความรู้สึกของเธอ ทุกอย่างเหมือนหยุดนิ่ง “ฉัน…ไม่ตกลงค่ะ” เสียงของเธอสั่นเครือแต่ชัดเจน หญิงสาวส่ายหน้าแรง ๆ เหมือนอยากสลัดภาพทุกอย่างทิ้งไป “ต่อให้คุณจะให้เงินกี่ล้าน ฉันก็ทำไม่ได้ ฉันไม่รู้จักคุณเลย” บุญญานนท์นิ่งไปเพียงเสี้ยววินาที ก่อนจะเอนหลังพิงเก้าอี้ สีหน้าไม่เปลี่ยน แต่แววตาลึกและเย็นกว่าที่เคยเห็น “ผมเข้าใจ” เขาพูดเรียบ ๆ “แต่ลองถามตัวเองให้ดี ว่าคุณจะออกจากที่นี่ไปไหน ในเมื่อคุณไม่มีชื่อ ไม่มีบ้าน ไม่มีใครแม้แต่คนเดียว” คำพูดนั้นเหมือนคมมีดที่กรีดเข้าไปในใจ เธอเม้มริมฝีปากแน่นจนแทบห้อเลือด ความจริงก็คือ…เธอไม่มีที่ไปเลยจริง ๆ เธอหันหน้าหนี ไม่อยากสบสายตาเข้มดุที่เหมือนอ่านทะลุทุกความคิดของเธอ แต่ในใจกลับสั่นคลอน “ผมไม่เร่งรัดคุณ” บุญญานนท์ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง เงาร่างสูงใหญ่บดบังแสงไฟบางส่วน น้ำเสียงทุ้มเย็นชัดเจน “ผมจะให้เวลาคุณคิด แต่จำไว้นะ...ทางเลือกของคุณมีจำกัด” แล้วเขาก็ก้าวออกไปจากห้อง ปล่อยให้เธอจมอยู่กับความสับสนอยู่อย่างนั้น สองวันถัดมา เธอได้รับอนุญาตให้ออกจากโรงพยาบาลแล้วในเช้าวันนี้ หญิงสาวเดินออกมาจากประตูบานเลื่อนอัตโนมัติพร้อมกระเป๋าผ้าใบเล็กที่ทางพยาบาลจัดของเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้อย่างพวกขนมไม่กี่ชิ้นพร้อมกับน้ำเปล่าสองขวด แน่นอนว่าคงเป็นความกรุณาครั้งสุดท้ายจากเจ้าของโรงพยาบาล แต่มันไม่พอแม้แต่จะทำให้เธอใช้ชีวิตต่อไปได้ในวันพรุ่งนี้เลยด้วยซ้ำ ส่วนชุดที่เธอสวมใส่ก็คือชุดที่เธอสวมในคืนนั้นซึ่งมันถูกซักรีดเรียบร้อยจนไม่เหลือคราบเลือดใด ๆ และรองเท้าที่สวมอยู่ก็เป็นรองเท้าแตะจากโรงพยาบาล เธอยืนอยู่หน้าประตูโรงพยาบาล มองถนนที่เต็มไปด้วยรถราและเสียงผู้คน บรรยากาศคึกคักของเชียงใหม่ยามสายตัดกับความว่างเปล่าในใจเธอ “แล้วฉัน…จะไปที่ไหน” เธอพึมพำกับตัวเอง ดวงตาร้อนผ่าว ในมือของเธอมีนามบัตรเจ้าของโรงพยาบาลที่เธอได้รับมาจากผู้ชายคนหนึ่งที่ชื่อ พันรบ ซึ่งมาหาเธอก่อนจะออกจากห้อง เขาแจ้งว่าเป็นเลขาฯ ของบุญญานนท์ และเจ้านายของเขาก็ฝากข้อความเอาไว้ว่า ‘ถ้าคุณเปลี่ยนใจเมื่อไหร่ ก็กลับมาหาผมที่นี่’
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD