แต่เธอไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรทั้งนั้น เพราะที่นี่อยู่ไกลจากบ้านของเธอมาก ย่าผู้เข้มงวดของเธอคงไม่มีวันรู้ว่าเธอทำอะไรอยู่ มีพฤติกรรมนอกลู่นอกทางหรือไม่
แน่นอน ย่ากลัวว่าเธอจะเหมือนแม่ ดั่งคำที่ว่าลูกไม้ย่อมหล่นไม่ไกลต้น เพราะแม่ท้องเธอตอนอายุสิบห้า ย่าจึงรังเกียจที่แม่ทำให้ลูกชายคนเล็กของท่านต้องหมดอนาคต ไม่ได้เรียนต่อ ต้องออกมาทำงานรับจ้างเพื่อเลี้ยงดูเมียกับลูก ซึ่งสุดท้ายแม่ก็หนีตามผู้ชายอีกคนไป ขณะที่พ่อของเธอติดทหาร ยังดีที่ตอนนี้พ่อมีเมียใหม่ไปแล้ว จึงทำให้ย่าสาปแช่งแม่เธอน้อยลงกว่าเดิม
หลังได้ของครบตามต้องการ เธอก็รีบเดินกลับโรงงาน เพราะเสียงท้องฟ้าเริ่มร้องครืดคราดก่อตัวจนดำทะมึนทึนทึบ และไม่ทันที่เธอจะถึงประตูหลังโรงงานด้วยซ้ำ ฝนเม็ดใหญ่โปรยปรายลงมาจนทำให้เสื้อผ้าของเธอเปียกชื้น พอถึงป้อมยาม เธอจึงรีบวิ่งเข้าไปหลบใต้ชายคาของป้อมยามที่ยื่นออกมา
“เฮ่อ...ตกหนักเลยอ่ะ”
“อ้าวคุณนิด” เสียงทักดังมาจากเบื้องหลัง “เปียกฝนเยอะมั้ยครับ เดี๋ยวก็ไม่สบายหรอก”
“กาแฟค่ะลุง” เธอหันไปวางแก้วกาแฟลงบนเคาน์เตอร์ที่ยื่นออกมาจากช่องหน้าต่างกระจกสี่เหลี่ยมที่เปิดออกทั้งสองบาน สองยามซึ่งนั่งอยู่ในป้อมชะเง้อชะโงกออกมาเล็กน้อยเพื่อมองสายฝนและมองสาวน้อยที่ยืนสั่นสะท้านเหมือนลูกแมวตกน้ำ...
เนื้อกายขาวสะอาดบางส่วนของเด็กสาวฉ่ำชื้นด้วยเม็ดฝน เสื้อยืดสีขาวเปียกลู่กับผิวเนื้อ กางเกงยีนขาสั้นเปียกเป็นหย่อม ๆ แต่เผยทรวดทรงองค์เอวแบบเห็นชัดตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า
สายตาสองคู่ของยามแก่ถึงกับจับจ้องตื่นตะลึงในความงามสดสวยของสาวแรกแย้ม ความหื่นจึงกำเริบไปทั้งตัวโดยไม่ต้องกระตุ้นให้เสียเวลา
“ขอบคุณสำหรับน้ำใจนะครับคุณนิด หนาวมั้ยครับ เข้ามาหลบในป้อมก่อนก็ได้” ยามเฉลิมรับถ้วยกาแฟมาถือด้วยใจสั่นรัว ลำร้อนในกางเกงดิ้นเดือดแข็งคัดขึ้นมาในบัดดล เลือดลมสูบฉีดจนหัวใจเต้นหนัก
“ไม่เป็นไรค่ะ” เธอลังเลว่าจะวิ่งฝ่าสายฝนไปหรือจะรอจนกว่ามันจะซาเม็ด แต่ปัญหาคือเธอกลัวเสียงฟ้าร้องฟ้าผ่าน่ะสิ “จะตกอีกนานมั้ยเนี่ย”
ยามสมคิดส่งสัญญาณให้ยามเฉลิมออกจากป้อมเพื่อมาตะล่อมสาวน้อย “ดูท่าจะตกอีกนาน ผมว่าเข้าไปหลบในป้อมก่อนดีกว่า เดี๋ยวจะไม่สบายนะครับ”
ขาดคำนั้น เสียงฟ้าผ่าดังเปรี๊ยง
“ว๊าย!!!” ความกลัวและความตกใจทำให้เธอปกป้องตัวเองด้วยการกระโจนเข้าเกาะแขนยามเฉลิมไว้แน่นมือ ตัวสั่นงันงกเหมือนแมวตกน้ำ “ฮือ...น่ากลัวจัง”