11.ตาสว่าง

2164 Words
หากแต่สายของวันนี้จิวซูตื่นมากลับมิเห็นสามีของตนแล้ว เพราะเสิ่นอวี้ออกไปสืบเรื่องคนหายตั้งแต่รุ่งสาง “ตื่นแล้วหรือเจ้าคะ นายน้อยออกไปแต่เช้า ฮูหยินคงตื่นมิทันใช่หรือไม่ ถึงได้ทำหน้าเช่นนี้” “อืม วันนี้พี่จะออกไปตลาดใช่หรือไม่ ขอข้าไปด้วยสิ” “ขอนายท่านก่อนดีไหมเจ้าคะ” “ได้ ข้าจะไปขอท่านแม่เดี๋ยวนี้” จิวซูเดินออกไปอย่างอารมณ์ดี เพราะนางตั้งใจจะไปดูงานที่หอเครื่องประดับ คราก่อนที่ออกไปก็รู้สึกคุ้นเคยกับเครื่องประดับบางชิ้น ราวกับตนเคยจับต้องมันมาก่อน จึงอยากออกไปเพื่อเดินดูโดยรอบอีกครั้ง เผื่อมีใครซักคนที่รู้จักตนเอ่ยทักทายขึ้นมา “หากจะไปก็ต้องรีบกลับก่อนพี่เจ้าจะมานะจิวซู มิเช่นนั้นคงตำหนิแม่เป็นแน่ที่ปล่อยเจ้าออกไป” “ลูกจะรีบกลับเจ้าค่ะ ท่านพี่อาจจะมิกลับจวนก็ได้” จิวซูเอ่ยไปอย่างที่คิด เพราะรู้ว่าสามีทำงานอาจจะค้างคืนต่างเมืองเช่นแต่ก่อนก็ได้ แม้ในยามนี้จะกลับมาแทบทุกวันก็เถอะ แต่ก็มิอยากคิดเข้าข้างตนเอง “อย่างไรก็อย่าไปนานเข้าใจหรือไม่” “เจ้าค่ะ” จิวซูรับคำก่อนจะเดินนำผู้ติดตามอีกสามคนไปขึ้นรถม้า ไม่นานก็มาถึงที่หมาย “พี่จะไปทำอะไรก็ไปเถอะ ข้าจะอยู่ที่นี่” “เช่นนั้นข้าน้อยไปซื้อยาให้นายท่านก่อนนะเจ้าคะ รออยู่ที่นี่นะเจ้าคะ ห้ามไปไหนเด็ดขาด” “แล้วขึ้นไปดูด้านบนได้หรือไม่หรือต้องยืนอยู่ตรงนี้” “ฮูหยิน!” จิวซูนึกขันที่ตนแกล้งถงเหยาได้ จึงเอามือดันหลังให้อีกฝ่ายเดินออกไป ส่วนตนก็เดินดูของอยู่สักพักก็ขึ้นไปด้านบนอย่างที่บอกกับถงเหยา นางเดินดูเครื่องประดับซึ่งมันดูคุ้นตาจนน่าแปลก “ทำไมเราถึงได้รู้สึกคุ้นถึงเพียงนี้นะ” จิวซูเดินดูข้าวของในมุมร้านอยู่พักหนึ่ง จู่ๆ ก็เกิดปวดหัวขึ้นมาอีกครั้ง และโลหิตก็ไหลออกมาจากจมูกเช่นเดิม ร่างเล็กจึงทรุดนั่งลงพิงขอบตั่งที่ใช้วางสินค้า จึงมิมีผู้ใดเห็นว่านางนั่งอยู่ตรงนี้ เมื่อคิดว่ามิมีผู้ใดอยู่ด้านบน หนุ่มสาวที่มิได้พบกันนานก็ส่งเสียงพลอดรักกันให้ได้ยิน จนจิวซูมิกล้าแม้แต่จะลุกขึ้น หากแต่เสียงนั้นมันก็คุ้นหูเสียเหลือเกิน จนนางอดมิได้ที่จะแอบมองคนทั้งคู่ ผ่านช่องเล็กที่พอจะเห็น เพียงเท่านั้นใจดวงน้อยก็หล่นวูบ พร้อมกับหยดน้ำใสไหลรินลงมาราวกับทำนบแตก มือเล็กปิดปากตนเอาไว้เพื่อมิให้ส่งเสียงออกมา ภาพของสามีกำลังกอดจูบกับสตรีอื่น มันช่างทำเอานางเจ็บปวดเจียนตายเสียเหลือเกิน “นี่หรือคืองานของท่าน ไหนบอกว่าข้าคือฮูหยินที่ท่านรัก ทุกอย่างมันคือเรื่องโป้ปดเช่นนั้นหรือ” เสียงตัดพ้อดังขึ้นในใจ สิ่งที่เห็นมันตรงข้ามกับคำพูดของเขาทุกอย่าง ยามนี้จิวซูคงตาสว่างแล้ว เพราะคำพูดของสามีที่เอ่ยบอกกับสตรีผู้นี้มันดังก้องอยู่ในหัว “พี่รอเจ้ามานานแล้วรู้ไม่ ไยเจ้าถึงพึ่งมา” “ข้าคงมาช้าไปแล้วจริงๆ ยามนี้พี่เสิ่นอวี้มีฮูหยินแล้วมิใช่หรือ แล้วจะให้ข้าอยู่ในฐานะใดกัน” “เจ้าอย่าได้กังวล พี่รับนางไว้ก็เพื่อรอเจ้ากลับมาในวันนี้ มิเช่นนั้นคงต้องแต่งกับบุตรสาวท่านเสนาเป็นแน่ ถึงยามนั้นพี่คงมิอาจพาเจ้ากลับมาได้อีก” “พี่เสิ่นอวี้จะบอกว่าท่านแต่งงานเพื่อให้หญิงเร่ร่อนนั้นอยู่ในตำแหน่งเพื่อรอข้าเช่นนั้นหรือ” น้ำเสียงบ่งบอกถึงความดีใจของซินลี่ดังขึ้น นั้นยิ่งทำให้คนที่นั่งกอดเข่าอยู่กัดริมฝีปากตนแน่น แต่สิ่งใดก็มิเจ็บใจเท่าคำพูดของสามีที่พึ่งแต่งงานเข้าหอกัน “กลับไปพี่จะปลดภรรยา และให้เงินสักก้อนอย่างน้อยนางก็ช่วยกันมิให้พี่ต้องแต่งกับสตรีอื่น” “ก็ดีนะเจ้าคะ นางจะได้มิกลับมารบกวนพี่อีก แต่แน่ใจหรือว่านางจะยอมไปแต่โดยดี อีกอย่างมิใช่ท่านพี่ร่วมเตียงกับนางในทุกค่ำคืนจนนางท้องแล้วหรือ” “พี่เป็นผู้ชายอย่างไรก็มีความต้องการ เจ้าจากไปถึงห้าปีเชียวนะ หากมิปลดปล่อยคงอัดอั้นแย่ แต่พี่ก็แค่ใช้เป็นที่ระบายเท่านั้น ส่วนเรื่องบุตรมิมีทางแน่ เพราะทุกครานางจะได้ดื่มยาในวันรุ่งขึ้นเสมอ” “พี่นี่ใจร้ายเสียจริง” ซินลี่เอ่ยกับคนรักเก่าของตน ซึ่งยามนี้เขากลายมาเป็นคนรักอีกครั้ง มิคิดว่าอีกฝ่ายจะโง่ได้ถึงเพียงนี้ ถึงมิรู้ว่าตนนั้นเป็นถึงพระชายาอ๋องต่างแคว้นแล้ว แต่ยังโง่งมรอนางราวกับคนบ้า “นะนายน้อยมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรเจ้าคะ” ถงเหยาซึ่งทำธุระเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ขึ้นมาตามหาจิวซู นางถึงกับชะงักเมื่อเห็นผู้เป็นนายยืนจูบอยู่กับสตรีแปลกหน้า ในใจอดคิดมิได้ว่าฮูหยินจะเห็นหรือไม่ “เจ้ามาทำกระไรที่นี่ถงเหยา” เสิ่นอวี้เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงกึ่งดุอีกฝ่าย หากแต่คนที่ตอบกลับมิใช่คนที่ยืนอยู่ตรงบันได กลับเป็นเสียงหวานที่เขาเริ่มคุ้นเคยกับมันแล้วต่างหาก “พอดีข้าอยากได้ปิ่นปักผม เลยขอท่านแม่ออกมาเลือกดูเองเจ้าค่ะ นี่คงเป็นพี่สะใภ้สินะเจ้าคะ ข้าจิวซูเป็น” เสียงหวานขาดหายไป ก่อนจะกลืนก้อนบางอย่างลงคออย่างยากเย็น นัยน์ตาสวยมองไปยังบุรุษที่ได้ขึ้นชื่อว่าสามี ก่อนจะตัดใจเอ่ยถ้อยคำต่อมา “จิวซูเป็นลูกพี่ลูกน้องกับพี่เสิ่นอวี้เจ้าค่ะ พอดีที่บ้านไฟไหม้ ก็เลยได้มาอาศัยจวนพี่ชายไปพลางๆ ก่อน” จิวซูส่งยิ้มให้ทั้งคู่ราวกับมิมีเรื่องใดเกิดขึ้น ต่างจากหัวใจแกร่งยามนี้เหมือนถูกคนนับสิบรุมทุบตี นัยน์ตาคมจ้องมองใบหน้าสวยซึ่งมีร่องรอยของเลือดปะปน ก็อดใจหายมิได้ มิรู้เพราะลืมตัวหรือเป็นห่วงจึงเดินเข้ามาเอามือเกลี่ยรอยนั้นเพื่อดูว่ามันคือสิ่งใด “เกิดอะไรขึ้นไยเจ้าถึงเลือดออก” “มิได้เป็นกระไรเจ้าค่ะ พี่ถงเหยาข้าได้ของแล้วเรากลับกัน วันพรุ่งข้าก็จะได้กลับบ้านแล้ว” ร่างเล็กเดินเลี่ยงคนตัวโตที่ตั้งใจจะรั้งนางเอาไว้ แต่ใบหน้างามนั้นมิยอมหันกลับมาเลยแม้แต่น้อย “นางคือญาติผู้น้องพี่เสิ่นอวี้หรือเจ้าคะ น่ารักเสียจริงเชียว หากผู้ใดได้ไปเป็นภรรยาคงโชคดีมากเป็นแน่” เสิ่นอวี้เพียงยิ้มเล็กน้อย ยามนี้ในใจเขามันกังวลอย่างบอกมิถูก ทั้งที่คิดว่าจะรับมือได้อยู่แล้วเชียว แต่พอเห็นสีหน้าผิดหวังของคนตัวเล็กและสายตาตัดพ้ออยู่ในที มันก็ทำเอาเขาพะวงจนทำสิ่งใดมิถูก “พี่เสิ่นอวี้แล้วเมื่อใดที่พี่จะพาข้าไปที่จวน” “รอก่อนนะ เจ้าอย่าลืมว่าพ่อพี่เป็นใคร การแต่งงานครั้งนี้ฮ่องเต้ก็เป็นคนพระราชทาน เช่นนี้แล้วหากทำการบุ่มบ่ามคงมิดีนัก อย่างไรเสียพี่จะหมั่นมาหาเจ้าทุกวัน” “มิใช่ว่าท่านมิอยากหย่ากับนางนะเจ้าคะ” “พี่รอเจ้ามานานถึงเพียงนี้ อย่างไรเสียเราก็ต้องได้อยู่ด้วยกัน รออีกนิดเถอะพี่ยังรอเจ้าได้ตั้งนาน พี่มิอยากให้ชาวเมืองต่อว่าเจ้าด้วย ไปเถอะพี่จะส่งกลับเรือน” เสิ่นอวี้พาคนรักกลับไปส่ง แต่ก่อนนั้นเขามิลืมที่จะสั่งคนสนิทให้ตามจิวซูกลับเรือน เพราะเกรงว่านางจะหนีไปที่อื่นเสียก่อน ซึ่งมันก็เกือบจะเป็นเช่นนั้นหากคนตัวเล็กมีที่ไป ยามนี้นางยึดติดกับที่นี่ไปแล้ว หากมีใครสักคนมาบอกว่ารู้จักหรือเป็นญาติ แน่นอนว่านางตามไปเป็นแน่ “ฮูหยิน อย่าเสียใจไปเลยนะเจ้าคะ” “ข้าได้ยินคำพูดเขาหมดทุกอย่าง พี่รู้เรื่องนี้แต่แรกใช่หรือไม่ แม้กระทั่งยาที่ให้ข้ากิน มีใครบ้างที่รักข้าจริง” เสียงตัดพ้อพร้อมกับสะอื้นไห้ดังมาเป็นระยะ ยามนี้จิวซูนั่งกอดเข่าร้องไห้อยู่ข้างเตียง โดยที่มันก็ยังคงไหลออกมาเรื่อยๆ จนถงเหยาเองก็ตกใจมิน้อย แต่ก็มิรู้จะทำเช่นไร เพราะนายของตนมิใส่ใจฮูหยินเลยแม้แต่น้อย “ข้าปวดหัวพี่ถงเหยา” “เช่นนั้นเดี๋ยวข้าน้อยไปตามหมอนะเจ้าคะ” ถงเหยาออกไปแล้วจิวซูพยุงตัวเองลุกขึ้นนอนบนเตียง ภาพความทรงจำหลายอย่างผุดขึ้นราวกับดอกเห็ด จนทุกอย่างนั้นกลับมาในคราวเดียว พร้อมกับร่างที่หมดสติลง “ฮูหยิน! ฮูหยิน!” ถงเหยาร้องเรียกผู้เป็นนายซึ่งมิได้สติไปเสียแล้ว ท่านหมอจึงรีบตรวจดูอาการในทันที “เกิดสิ่งใดขึ้นไยจิวซูถึงได้เป็นเช่นนี้” ฮูหยินจางเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง ถงเหยาจึงเล่าเรื่องทั้งหมดให้นายทั้งสองฟัง “อีกแล้วหรือไยเสิ่นอวี้เป็นคนเช่นนี้” “หึ! เช่นนั้นก็ทำตามที่จิวซูเอ่ย ยามนี้นางเป็นเพียงผู้อาศัยเฉกเช่นบุตรบุญธรรมมิใช่ฮูหยินน้อยของจวนราชครู และนับจากนี้ห้ามเจ้าเข้าใกล้นางอีกเสิ่นอวี้” เสิ่นอวี้ชะงักเท้าที่กำลังจะก้าวเข้าไปดูคนตัวเล็ก เขาได้รับรายงานที่หน้าประตูก็รีบตรงมาทันที แต่ก็มาสะดุดคำพูดของถงเหยาที่บอกว่าฮูหยินได้ยินทุกถ้อยคำที่เขาเอ่ย และผู้เป็นพ่อก็ได้เอ่ยวาจาเช่นนี้ขึ้นมาอีก “ดี! จากนี้เจ้ากับจิวซูมิเกี่ยวข้องกัน แม่จะดูแลนางแทนบุตรชายที่ต่ำช้าคนนี้เอง ออกไปเสียแม่มิอยากเห็นหน้าเจ้าเสิ่นอวี้” “ทะ ท่านแม่ขอข้าดูนางหน่อยเถอะนะ” “ดูว่าตายหรือยังน่ะหรือ เจ้ามิต้องห่วงหรอก ต่อให้นางมิตายเจ้าก็คิดจะรับสตรีอื่นมาอยู่ที่เรือนมิใช่หรือ เช่นนี้แล้วจะใส่ใจไปไย ทำตามความปรารถนาตนเองไปสิ แต่อย่ามายุ่งเกี่ยวกับจิวซูอีกนับจากนี้ไป” ราชครูจางเอ่ยเปิดทางให้บุตรเสียอย่างนั้น ทำเอาผู้เป็นภรรยาถึงกับต้องมองค้อนในทันที “นางคงมิเป็นอันใดมากหรอกขอรับ เราออกไปรอข้างนอกเถอะ ทางนี้มีท่านหมอรักษาอยู่” เสิ่นอวี้จำต้องเดินคอตกออกจากห้องไปทั้งที่ในใจนั้นว้าวุ่นเหลือเกิน ยามนี้เขาสับสนและห่วงกังวลจนมิอาจข่มตาหลับลงได้ แม้จะผละออกมาจากห้องนอนคนตัวเล็กนานนับชั่วยามแล้ว “ไยข้าถึงต้องกังวลเรื่องเจ้ามากเพียงนี้นะ” เขามิเข้าใจตนเอง ทั้งที่ตลอดมาก็คิดจะหลอกใช้นางอยู่แล้ว แต่พอถึงเวลาที่ต้องผลักไสไยถึงมิอาจตัดใจได้ลง หนึ่งวันผ่านไปจิวซูยังมิฟื้นตื่นขึ้นมา แม้ร่างกายจะมิได้บาดเจ็บอันใดแม้แต่น้อย “ฮูหยินคงสะเทือนใจมากจนมิอยากลืมตาตื่นขึ้นมาเป็นแน่ เช่นนี้แล้วจะทำเช่นไรดีเจ้าคะ” ถงเหยาเอ่ยกับนายหญิงของจวน ซึ่งนางมานั่งเฝ้าสะใภ้ตัวน้อยตั้งแต่เช้าด้วยความเป็นห่วง นางสงสารจิวซูที่อาภัพเสียเหลือเกิน แต่งงานเพราะโดนหลอกความทรงจำก็มิมีเหลือ ซ้ำยังมาถูกหักหลังจากบุตรชายของตนอีก จึงคิดจะรับนางไว้ดูแลเสียเอง “ข้าเองก็มิคิดว่าเสิ่นอวี้จะกลายเป็นบุรุษใจหินถึงเพียงนี้ ทำร้ายได้แม้แต่สตรีตัวน้อยที่มีใจให้ตน” เสียงสั่นเครือเอ่ยขึ้นเพราะนางเสียใจกับการกระทำของบุตรชายจริงๆ ถงเหยาเองก็รู้สึกมิต่างกัน
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD