เสิ่นอวี้เอ่ยตำหนิคนตัวเล็กไม่จริงจังนัก ทำเอาอีกฝ่ายถึงกับยิ้มแห้งใส่ด้วยสำนึกผิด ทำเอาคนโตกว่าถึงกับอดมิได้ จึงบีบแก้มเนียนน่ารักที่นางทำใส่
“อย่าทำหน้าเช่นนี้กับผู้ใดรู้หรือไม่”
“อย่างไรเจ้าคะ” จิวซูเอียงคอมองสามี นั่นยิ่งทำให้เขาทนมิไหวกับความน่ารักและทะเล้นแสนซนของนาง แม้จะยังคงเปลือยกายอยู่บนตัวเขาเช่นนี้ มือใหญ่จับเอวเล็กไว้แน่น ก่อนจะดันร่างเล็กให้นอนราบลงอย่างทะนุถนอม
“ทำหน้าเช่นนี้จะเดินมิได้เอานะฮูหยิน”
เสิ่นอวี้เอ่ยเย้าคนน้อง แต่กลับทำให้นางถึงกับหน้าถอดสี เพราะคิดว่าเขาจะทำเช่นคืนนั้นอีก เมื่อเขาเห็นก็รีบจูบปลอบฮูหยินแต่ก็เพียงมินานก็ผละออก
“อย่ากลัวพี่จะมิทำเช่นนั้นอีก ขอแค่เจ้าเชื่อฟัง”
จิวซูพยักหน้าอย่างว่าง่าย เสิ่นอวี้จึงยิ้มให้ก่อนจะเริ่มบทรักที่ยังคงค้างคาต่อ มือเรียวบีบขยำเนินเขากระตุ้นความต้องการของคนน้อง พร้อมกับขยับสะโพกแกร่งขึ้นลงไปด้วย มินานเสียงครางของคนใต้ร่างก็ดังขึ้นอีกครา
มิต่างจากตัวเขาเลยสักนิด ยามนี้เอวสอบขยับท่อนลำเข้าออกเป็นจังหวะ เขาอยากมอบความสุขให้คนใต้ร่างมากกว่าที่จะกอบโกยเอาจากอีกฝ่าย ซึ่งมันแปลกที่ครานี้เขากลับมีความสุขมากกว่าที่จะทำให้ตนเองถึงสวรรค์
สองขาเรียวยกขึ้นเกาะเกี่ยวเอวสอบเอาไว้ ยามที่อีกฝ่ายกดท่อนลำลงมาร่องรักก็ขมิบเองโดยมิได้ตั้งใจ ยิ่งทำให้เกิดการรัดแน่นภายใน จนเสิ่นอวี้ต้องครางระบายความรู้สึกที่มันตอดรัดจนจะทนมิไหว
“อ๊า! อย่ารัดพี่แน่นสิน้องหญิง อ๊า!”
“ท่านพี่เร็วหน่อยเจ้าค่ะ อื้อ!”
จู่ๆ คนน้องก็ร้องขอขึ้นมาเสียดื้อๆ มีหรือเขาจะไม่สนอง เอวสอบซอยลงถี่ๆ จนคนใต้ร่างตัวสั่นคลอนตามแรง ยามนี้จิวซูมิกลัวว่าตนจะจับไข้เหมือนคราวก่อนอีกแล้ว นางอยากให้สามีพอใจและมอบความรักให้บ้าง แม้เพียงแค่ยามที่อยู่บนเตียงก็ตาม
สตรีใดมอบกายให้บุรุษแล้ว นั่นหมายถึงหัวใจก็เป็นของคนผู้นั้นด้วย ในเมื่อเขาคือสามีตบแต่งกันแล้ว ไยนางจะต้องหาเหตุผลให้ตนต้องทุกข์ใจอีก เสิ่นอวี้กดท่อนลำเข้าออกจนร่างสูงเกร็งกระตุกปลดปล่อยเต็มร่องรักของคนน้อง เขามองจ้องฮูหยินตัวน้อย ซึ่งยังคงส่งยิ้มหวานมาให้เช่นเดิม
“พี่ขออีกน้ำนะคนดี ไหวหรือไม่”
เป็นคราแรกที่เขาเอ่ยถาม ทั้งที่มิจำเป็นต้องทำก็ได้
“แล้วแต่ท่านพี่สิเจ้าคะ ข้าก็นอนอยู่ใต้ร่างแล้ว ทำมิทำก็สุดแต่ความขยันของท่านแล้ว”
สิ้นเสียงหวานจิวซูก็ยิ้มหวานส่งให้อย่างอายๆ ทำเอาคนถูกท้าถึงกับอดหมั่นเขี้ยวคนตัวเล็กมิได้ เขากระแทกเอวใส่ร่องไปหนึ่งที ก่อนจะเริ่มขยับตามคำเชิญชวนของฮูหยินอีกครั้ง จนกระทั่งพลบค่ำจากบ่ายถึงได้ยอมหยุด จิวซูนั้นก็เอาแต่นอนยิ้มท่าเดียว
“ยิ้มแบบนี้ยังมิอิ่มหรือฮึ”
“เปล่าเสียหน่อยท่านพี่ต่างหากที่ยังมิอิ่ม”
“ไยเจ้าถึงเอ่ยเช่นนั้น” เสิ่นอวี้เอ่ยถามด้วยความสงสัย
“ก็คราวก่อนท่านพี่ทำนาน”
จิวซูตอบออกไปอย่างพาซื่อ จนเสิ่นอวี้อดรู้สึกผิดมิได้ ซึ่งมันมิควรเกิดขึ้นกับเขาเลยสักนิด
“ต่อไปก็กินแค่นี้แหละ พี่อิ่มแล้ว เอาไว้ต่อไปกินเจ้าทุกวัน อีกหน่อยคงอ้วนเป็นหมูแล้วกระมัง”
“ถึงอ้วนข้าก็รักนะเจ้าคะ อุ๊บ! ข้าไปอาบน้ำดีกว่า”
จิวซูรู้ตัวว่าหลุดคำพูดในใจออกมาก็คิดจะหาทางหนี แต่ก็ถูกแขนแกร่งรั้งขึ้นมานั่งบนตักเอาไว้เสียก่อน
“จะไปไหน เมื่อครู่เจ้าเอ่ยสิ่งใด พูดใหม่ได้หรือไม่”
“น้องจะไปอาบน้ำเจ้าค่ะ”
“มิใช่” เสียงกดต่ำตำหนิคนน้องดังขึ้นทันที เพราะรู้ว่านางมิได้เอ่ยถ้อยคำนี้แม้แต่น้อย
“น้องแค่บอกว่า ถึงท่านพี่จะอ้วนแต่ก็น่ารักเจ้าค่ะ”
จิวซูยังคงหาทางออกให้ตนเองจนได้ แต่มีหรือที่เสิ่นอวี้จะเชื่อ เพราะเขาได้ยินมันเต็มสองหู เพียงอยากได้ยินมันอีกเท่านั้น ซึ่งมิรู้เช่นกันว่าเพราะเหตุใด แต่ในเมื่ออีกฝ่ายมิยอมเอ่ย เขาก็มิบีบบังคับ เพราะหากนางคิดเช่นนั้นจริงอย่างไรเสียสักวันก็ต้องเอ่ยออกมาอีกจนได้
ร่างเปลือยช้อนเอาฮูหยินตัวน้อยขึ้นมาแนบอก ก่อนจะเดินไปยังห้องอาบน้ำทั้งอย่างนั้น เขาค่อยๆ วางนางลงอย่างทะนุถนอม พร้อมกับเตรียมผ้าไว้ให้เปลี่ยน
“รีบอาบพี่จะได้อาบบ้าง อย่ามัวแต่เล่นเจ้าเป็นถึงฮูหยินแล้วนะ เดี๋ยวจะเรียกถงเหยามาช่วยแต่งตัวให้”
“เจ้าค่ะ” จิวซูรับคำก่อนจะมุ้ยปากใส่สามีที่ตำหนินางตอนที่กอบน้ำขึ้นมาเล่นอย่างที่เขาว่า
เสิ่นอวี้เห็นเช่นนั้นก็ส่ายหัว ซ้ำยังเดินเข้ามาหาพร้อมกับกดจูบลงที่หน้าผากมน จนคนน้องถึงกับมุดน้ำหนีเพราะเกิดอาการเขินอายขึ้นมา เสิ่นอวี้หัวเราะชอบใจรอดูว่าเมื่อไหร่นางจะโผล่ขึ้นมา แต่ก็นานจนเขาอดเป็นห่วงมิได้ จึงรีบดึงอีกฝ่ายให้พ้นน้ำ
“จิวซูเจ้าทำบ้าอันใด ไยถึงอยู่ในน้ำนานนัก”
“ทะ ท่านพี่ข้ามิได้เป็นอันใดนี้เจ้าค่ะ ปกติข้าก็มุดน้ำนานเช่นนี้อยู่เป็นประจำก็มิเป็นไร”
“นี่เจ้าจะบอกว่าทำเช่นนี้เสมอหรือ”
เสิ่นอวี้เอ่ยถามเพื่อความแน่ใจ จิวซูพยักหน้ารับ พร้อมกับมองใบหน้าสามีซึ่งดูมิค่อยเชื่อคำนางเท่าใดนัก
“เอาเถอะ อย่าเล่นเช่นนี้อีก”
“ท่านพี่เป็นห่วงข้าหรือเจ้าคะ”
จิวซูถามออกไปพร้อมกับรอคำตอบ แต่ก็มิมีเสียงใดเอ่ยออกมานอกจากคำพูดที่มันดูเหมือนคำสั่งเสียมากกว่า
“รีบอาบ พี่เหนียวตัวจะแย่”
คำตอบที่ได้มาทำเอาใบหน้าที่เคยเปื้อนยิ้มหายไป แต่ก็เพียงมินานนางก็ฝืนยิ้มราวกับมิมีสิ่งใดบรรทอนจิตใจเสียอย่างนั้น มือเรียวเอื้อมดึงผ้าที่อีกฝ่ายเตรียมไว้ให้ ซึ่งยามนี้เขาออกไปนั่งรอข้างนอกแล้ว
ร่างเล็กแต่งตัวเรียบร้อยก็เดินออกมา ก็เห็นว่ามีอาหารเต็มโต๊ะ และถงเหยาพร้อมบ่าวอีกสองคนที่เข้ามาเปลี่ยนผ้าปูใหม่ ทำเอาจิวซูทำหน้ามิถูกเลยทีเดียว ถงเหยาเหลือบมองฮูหยินอย่างเป็นห่วง แต่ก็มิพ้นสายตาของผู้เป็นนายที่นั่งจ้องอยู่
“นางมิได้บาดเจ็บอันใดมิเห็นหรือยังเดินได้อยู่ ไปเตรียมน้ำข้าจะล้างเนื้อตัว”
“เจ้าค่ะ” ถงเหยารับคำแต่ก็มิลืมหันมายิ้มให้จิวซู
“มาอยู่มินานก็มิคนรักคนเอ็นดูไปทั่ว มิเว้นแม้แต่บ่าวในเรือนเชียวนะ”
“มิดีหรือเจ้าคะ มีคนรักก็ดีกว่ามีคนชังเป็นไหนๆ”
“หึ! คิดได้เช่นนั้นก็ดี”
เสิ่นอวี้เอ่ยจบก็เดินเข้าไปยังห้องอาบน้ำ ซึ่งมันถูกเปลี่ยนเรียบร้อยแล้ว ไม่นานก็ออกมาทานอาหารกับฮูหยินตน ซึ่งนี่เป็นคราแรกที่ทั้งคู่ทานด้วยกัน หลังจากทานเสร็จเขาก็บอกให้คนตัวเล็กนอนก่อน เพราะจะไปหารือกับบิดาเรื่องงาน ซึ่งจิวซูก็เข้าใจและทำตามอย่างว่าง่าย
กว่าเขาจะกลับมาคนตัวเล็กก็หลับไปเพราะความอ่อนเพลียเสียแล้ว ร่างสูงคลานขึ้นบนเตียงกว้าง เขานั่งมองอีกฝ่ายอยู่นาน จึงได้เอนตัวลงนอนข้างกายนาง และยังดึงเข้ามากอดไว้แนบอกอีกด้วย จิวซูวาดวงแขนเล็กกอดตอบเขาเช่นกัน ทำเอาใต้เท้าหนุ่มถึงกับชะงักกับการกระทำของฮูหยิน แต่ไม่นานเขาก็ปิดตาลงและหลับไป
ตั้งแต่วันนั้นก็ดูเหมือนความสัมพันธ์ของทั้งคู่จะดีขึ้น แต่มันก็เพียงความคิดของคนนอกและจิวซูเท่านั้น ในทุกค่ำคืนนางยังต้องคอยรองรับความต้องการของสามี และยังต้องดื่มยาที่เขาจัดเตรียมให้ทุกวัน
ถึงแม้ฮูหยินจะวางแผนการณ์ทั้งหมดกับถงเหยาแล้ว แต่ผู้ที่สับเปลี่ยนก็มิได้ทำตาม เพราะนางมิอยากให้จิวซูผูกติดกับบุรุษที่มีใจเป็นอื่นเช่นนายน้อยของตน ในเมื่อเสิ่นอวี้มิได้ตั้งใจจะรับเลี้ยงดูแลฮูหยินอุ่นเตียงผู้นี้อยู่แล้ว นางก็มิอยากให้จิวซูต้องตั้งครรภ์สายเลือดของเขา
“ทานยานะเจ้าคะ” ถงเหยายื่นถ้วยยาให้ผู้เป็นนายเช่นทุกวัน เกือบครึ่งเดือนแล้วตั้งแต่จิวซูแต่งงานกับเสิ่นอวี้ ยังมิมีวันใดที่เขามิจับนางกิน จนดูเหมือนจะขาดมิได้แล้วด้วยซ้ำ เพราะก่อนนี้เสิ่นอวี้มิเคยอยู่ติดเรือนเลย
“ข้าเบื่อยาพวกนี้จังพี่ถงเหยา ไยต้องดื่มทุกวันด้วยล่ะ”
“พี่บอกแล้วว่ามันเป็นยาบำรุง มิอยากมีลูกหรือ”
เพียงแค่สามีเอ่ยเท่านั้นจิวซูก็ยิ้มกว้าง พร้อมกับยกถ้วยยาขึ้นดื่ม แม้มันจะรู้สึกข่มเฝื่อนมากเพียงใด เสิ่นอวี้ยกยิ้ม ก่อนจะจูบลงที่หน้าผากมน วันนี้เขามิได้ออกไปสืบหาคนหายเช่นทุกวัน จึงมีโอกาสได้อยู่พร้อมหน้ากับคนในจวน จึงร่วมทานอาหารกันอย่างมีความสุข เสียงหัวเราะร่วนดังขึ้นอย่างที่มิเคยเป็นมา ทำเอาบ่าวรับใช้ต่างก็ยิ้มตามไปกับเสียงนี้ด้วย
“ดีจริงที่ในจวนมีเสียงหัวเราะ ข้ามิเคยเห็นนายน้อยยิ้มได้ทุกวันเช่นนี้มาก่อน”
“หึ! ข้าก็หวังว่านายน้อยจะล้มเลิกความคิดใช้ฮูหยินเป็นเพียงที่ระบายในเร็ววัน มิเช่นนั้นเสียงหัวเราะนี้คงมิมีอีก หากนางรู้เข้าหรือความทรงจำกลับมาคงมิยอมแน่”
ถงเหยาเอ่ยก่อนจะเดินผละออกไป ในใจยามนี้รู้สึกผิดกับจิวซูมิน้อย แต่หนทางเดียวที่พอจะช่วยสตรีตัวน้อยได้ ก็คือมิให้นางตั้งครรภ์กับผู้เป็นนาย
ซึ่งกำลังวางแผนเอาสตรีอีกคนเข้ามาอยู่ในเรือน ถงเหยามิได้ตั้งใจจะแอบฟังนายน้อยและสามีหารือกัน แต่เผอิญเป็นทางผ่านจึงไปได้ยินเข้าเท่านั้นเอง จึงได้รู้ว่าคนรักเก่าของเสิ่นอวี้นั้นกลับมาแล้ว
และสิ่งที่เขาเอ่ยด้วยเสียงหนักแน่นก็คือจะให้หญิงผู้นั้นเข้ามาอยู่ในจวน ซึ่งนั่นก็หมายความว่าอีกมินานจิวซูคงต้องถูกขับออกจากที่นี่เป็นแน่
“ถงเหยาไยเจ้าถึงเอ่ยเช่นนี้ หรือว่าฮูหยินจำสิ่งใดได้”
“ข้าภาวนาทุกวันให้นางจำทุกอย่างได้เสียที จะได้ไปให้พ้นจากคนใจร้ายเช่นนี้”
“อย่าเอ่ยเสียงดังได้หรือไม่ เดี๋ยวก็ถูกทำโทษหรอก”
เฟยหยางตำหนิเมียรักมิจริงจังนัก
“ข้าสงสารฮูหยิน นายน้อยมิมิใจต่อนาง ไยถึงมิยอมปล่อยหรือสืบหาครอบครัวให้ แต่กลับโป้ปดหลอกลวงเช่นนี้ ข้ามิเข้าใจเลยสักนิด”
“เรื่องนี้คราแรกนายน้อยก็มิคิดจะให้มันเลยเถิดไปไกลนักหรอก ก็เพียงแค่จะใช้นางกันคุณหนูสกุลหลงเท่านั้น แต่มิรู้เหตุใดนายน้อยจึงมิอาจควบคุมตนเองยามอยู่ใกล้จิวซูได้ พวกพี่เองก็ประหลาดใจเช่นกัน”
“หึ! พี่อย่ามาบอกข้าว่านายน้อยมีใจให้ฮูหยินเชียว ข้ามิมีทางเชื่อหรอก ก็เห็นๆ กันอยู่ว่าแค่หลอกใช้เพื่อสนองความต้องการของตนเท่านั้น แม้แต่จะพาออกจากเรือนยังมิเคยคิดที่จะทำ เอาเถอะข้าจะมิพูดสิ่งใดอีก”
ถงเหยาเอ่ยจบก็เดินหนีสามีไปเสียดื้อๆ เฟยหยางจึงทำได้เพียงแค่ส่ายหัวมองตามเท่านั้น ก่อนจะเดินกลับไปยังห้องโถง ซึ่งยามนี้ทุกคนแยกย้ายกันไปพักแล้ว
ดึกดื่นเสียงครางกระเส่าก็ดังขึ้นมาอีก และเป็นเช่นนี้ทุกวัน
แม้แต่ในยามกลางวันเสิ่นอวี้ก็มิวายจับคนตัวเล็กกินถ้ามีโอกาส ทุกที่ของเรือนต่างก็มีภาพของสองร่างกอดจูบกัน ยิ่งโต๊ะกลางห้องด้วยแล้วจิวซูมองยามใดก็ขนลุก