เพียงเท่านั้นความหงุดหงิดในใจของเขาก็บังเกิดขึ้นมาเสียดื้อๆ เขาเดินไปนั่งลงข้างจิวซูโดยมิรอคนรักเลยแม้แต่น้อย ทำเอาผู้มาใหม่ถึงกับชะงักนิ่งทำสิ่งใดมิถูก
“เสิ่นอวี้ไยเจ้าถึงมิดูแลคนรักให้ดี หรือเป็นคนเช่นนี้ ได้แล้วก็ทิ้งขว้างมิใส่ใจ”
ฮูหยินจางอดมิได้ที่จะเหน็บบุตรชายตน ยามนี้นางมิชอบใจการกระทำของเขานัก ทิ้งอีกคนไปหาอีกคน แต่พอได้มาอยู่แล้วกลับทำทีมิใส่ใจเสียอีก
เสิ่นอวี้เมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ได้สติ เขาจึงต้องกลับไปจูงมือคนรักมานั่งลงข้างมารดา ส่วนตนเองก็ยังนั่งข้างฮูหยิน ของตนซึ่งยามนี้ราวกับคนแปลกหน้ากัน
“เจ้าเป็นใคร” คำถามถูกส่งไปยังบุรุษที่มาใหม่ในทันที เพราะมิคุ้นหน้าอีกฝ่ายในเมืองหลวงนี้เลย
“เอ๊ะ! พี่เสิ่นอวี้ น้องจิวซูก็บอกแล้วมิใช่หรือว่านี่คือพี่ชายนาง ก็เท่ากับเป็นญาติผู้น้องพี่ด้วยมิใช่หรือ ไยถึงได้ถามเช่นนั้นออกมาได้ล่ะ”
ซินลี่เอ่ยเพียงคนเดียวก็ทำเอาทั้งโต๊ะชะงัก
“มิแปลกหรอกขอรับที่พี่เสิ่นอวี้จะจำข้ามิได้ ปกติข้าก็ออกเดินทางไปเรื่อย พึ่งจะกลับมาเมืองหลวงมินาน ก็เลยตั้งใจจะมารับน้องสาวกลับไปอยู่ด้วย อย่างไรก็ขอบคุณท่านลุงท่านป้าที่ช่วยดูแลนาง”
ชิงหยุนเอ่ยขึ้นเพื่อคลายข้อสงสัยของซินลี่ ซึ่งได้ฟังมาว่านางกำลังจะกลายมาเป็นฮูหยินของที่นี่ แทนฟู่หรง น้องสาวต่างสายเลือดที่เขาตามหา เสิ่นอวี้สอดมือเข้าใต้โต๊ะเพื่อกุมมือคนน้องเอาไว้ ราวกับต้องการเค้นเอาคำตอบที่แท้จริงจากเรื่องนี้ สีหน้าและท่าทางของเขาผู้เป็นพ่อนั้นเข้าใจดี หากมิจัดการสิ่งใดมีหวังลูกชายตัวดีคงพังมื้อค่ำนี้เป็นแน่
“จะรับไปก็ย่อมได้อยู่แล้ว ก็เจ้าทั้งสองเป็นพี่้น้องกัน แต่ยามนี้คงยังมิได้ เพราะป้าเจ้ามิมีคนดูแล จิวซูอยู่ที่นี่ก็ช่วยได้มาก อีกอย่างภรรยาข้าคงเหงามากเป็นแน่ถ้านางมิอยู่”
“นั่นสิ ข้าหรืออุตส่าห์ช่วยรับเจ้าเอาไว้อยู่ในจวน มิเช่นนั้นคงกลายเป็นคนเร่ร่อนมิได้อยู่สุขสบายเช่นนี้ ถึงจะเป็นญาติก็แค่ญาติห่างๆ เท่านั้น เราช่วยเจ้าถึงเพียงนี้ก็ควรจะตอบแทนบุญคุณกันบ้างสิ”
เสิ่นอวี้ได้ทีรั้งอีกฝ่ายไว้ก็เอ่ยโดยมิคิด ว่ามันจะทำให้คนตัวเล็กยิ่งผิดหวังในตัวเขามากขึ้นไปอีก จิวซูกระชากมือที่ถูกเกาะกุมกลับ แม้มันจะทำให้ฟาดกับขอบโต๊ะจนเจ็บก็ตาม นัยน์ตาสวยที่เคยมองสามีอย่างอ่อนโยนมิมีอีกแล้ว ทำเอาใจแกร่งกระตุกจนแทบลืมหายใจ
“เช่นนั้นข้าจะอยู่ทดแทนบุญคุณที่พี่เสิ่นอวี้ช่วยรับข้าไว้ เพื่อมิต้องให้ไปเป็นคนเร่ร่อนอีกสักระยะก็แล้วกันนะเจ้าคะ หวังว่าจากนี้เราจะมิมีสิ่งใดติดค้างกันอีก”
เสิ่นอวี้กลืนน้ำลายลงคอ แต่ดูเหมือนมันจะเหนียวหนืดจนเป็นการยากเหลือเกินที่จะทำ เขามองเสี้ยวหน้าคนตัวเล็กนิ่ง ภายใต้โต๊ะอาหารซึ่งมีผ้าคลุมยาวลงมา มือเรียวยังคงพยายามสอดเข้าไปควานหามือเล็กเพื่อกอบกุมเอาไว้ หากแต่อีกฝ่ายกลับยกมันขึ้นมาวางด้านบนเสียอย่างนั้น ทำให้ได้เห็นร่องรอยบนมือขาวว่าตอนนี้มันมีรอยแดงยาวปรากฎอยู่
“ฟู อ่ะ! จิวซูมือเจ้าเป็นอันใด”
ชิงหยุนผู้ใช้นามใหม่ว่าหยุนซือเพื่อมิให้ผู้ใดสงสัยว่าเขาเป็นใคร ลืมตนเกือบจะเอ่ยนามที่แท้จริงของคนน้องพอนึกได้ก็เปลี่ยนให้ถูกทันที เขาเอื้อมมือมากุมและลูบมือเล็กเอาไว้ ทำเอาเสิ่นอวี้แทบทนมิได้ หากมิได้ยินเสียงบิดาเสียก่อน คงได้มีใครได้เจ็บตัวเป็นแน่
“ถงเหยาพานายเจ้าไปทายาเสียก่อนแล้วค่อยกลับมาทานอาหาร หรือไม่ก็ยกไปที่ห้องก็แล้วกัน”
ราชครูจางเอ่ยตัดปัญหาทันที เมื่อเห็นบุตรชายขบกรามแน่นจนมันขึ้นสันนูนออกมาให้เห็น
“ไปเจ้าคะคุณหนู” ถงเหยารีบประคองจิวซูออกไป เพราะสังเกตุเห็นท่าทางของนายน้อยเช่นกัน ตั้งแต่ที่แอบกุมมือฮูหยินเอาไว้แล้ว สาเหตุก็เกิดจากการทะเลาะใต้โต๊ะของทั้งคู่ ซึ่งมันต่างจากที่ผู้อื่นมองเห็น
“เจ็บมากหรือไม่เจ้าคะ”
ถงเหยาเอ่ยถามอย่างเป็นห่วงในขณะที่ทายาให้ แต่คำตอบนั้นมันกลับทำให้คนฟังอดสงสารมิได้
“รอยเพียงเท่านี้ เจ็บมิเท่าใจข้าหรอกพี่ถงเหยา ข้าอยากออกไปจากจวนนี้ไยเขาถึงมิปล่อยข้าไปเสีย จะรั้งให้ข้าอยู่ไปเพื่อสิ่งใดกัน”
หยดน้ำใสไหลรินลงมาราวหยาดฝน ถงเหยาอดมิได้ที่จะยกนิ้วเกลี่ยออกให้ผู้เป็นนาย นางรู้ดีว่าเหตุใดจิวซูจึงมิอาจจากไปได้ในยามนี้
เป็นเพราะหัวใจยกให้ชายใจร้ายอย่างนายน้อยไปแล้ว จึงยากที่จะก้าวออกไปแม้จะเจ็บเจียนตายก็ตาม แต่เปล่าหรอกมันมิใช่ทั้งหมดอย่างที่ถงเหยาคิด ยังมีบางอย่างที่ทำให้จิวซูตัดสินใจอยู่ที่นี่
ร่างสูงของใครบางคนยืนฟังเขาเองก็เจ็บปวดมิต่างกัน แต่จะให้ทำอย่างไรได้ในเมื่อทุกอย่างจำต้องปล่อยให้เป็นเช่นนี้ เขาเดินผละออกมาพร้อมกับหยดน้ำไหลลง ก่อนจะเกลี่ยมันออกเพื่อมิให้ผู้ใดได้เห็น
“ดีขึ้นหรือไม่หยุนซือ เจ้ากินสิ่งใดลงไปไยถึงปวดหนักเช่นนี้ เดี๋ยวลุงจะให้คนต้มยาให้จะได้ดีขึ้น”
“ขอบคุณท่านลุงขอรับ ข้าทานไปหลายสิ่งในวันนี้ มิรู้ว่าเป็นเพราะอันใดกันแน่”
“อากาศเช่นนี้ทานสิ่งใดก็ต้องระวัง ขนาดคนแข็งแรงอย่างเสิ่นอวี้ก็ยังมีอาการน่าแปลกจริงเชียว มิเคยเห็นปวดยามทานอาหารเช่นนี้เลยสักครา นี่ก็ยังมิกลับมาอีก”
ฮูหยินของจวนเอ่ยอย่างเป็นห่วง แม้จะคอยกัดจิกบุตรชายอยู่เรื่อยๆ ก็เถอะ แต่อย่างไรเสียก็แค่อยากให้สำนึกเท่านั้น ว่าตนมีของดีอยู่ในมือแล้ว ไยต้องคว้าเอาสตรีตรงหน้านี้เข้าเรือนอีก
“ท่านแม่ลูกมิเคยเป็นก็ใช่ว่าจะป่วยเช่นน้องมิได้นะขอรับ เอาเถอะทานอาหารกันดีกว่า”
“ดีขึ้นแล้วหรือเจ้าคะ”
“อืม พี่มิเป็นอันใดอย่าได้ห่วง ทานเถอะ”
เสิ่นอวี้เอ่ยบอกคนรัก พร้อมกับตักอาหารให้ หยุนซือมองบุรุษซึ่งตัวโตพอๆ กับเขา นึกในใจว่าไยเขาถึงได้ทำเช่นนี้กับฟู่หรงได้ ทั้งที่สายตานั้นปิดมิมิดเลยสักนิด ว่าเขาห่วงนางมากเพียงใด เพราะมันมิต่างจากสายตาเขาเลย
ทุกอย่างมันดูมีลับลมคมในจนเขาอยากรู้ต้นสายปลายเหตุเรื่องนี้ แม้ฟู่หรงจะเอ่ยบอกมาแล้ว แต่ก็คงมีบางอย่างที่คนน้องมิได้บอกทั้งหมดเป็นแน่
เขาคงต้องวนเวียนมาที่นี่บ่อยขึ้น แต่อีกใจก็เกรงว่าเสิ่นอวี้จะสืบรู้ฐานะที่แท้จริง จนรู้ว่าฟู่หรงคือใคร ถึงยามนั้นนางอาจมิปลอดภัย หากผู้ที่สังหารครอบครัวตนรู้ว่าพยานซึ่งได้เห็นหน้ามันในวันนั้นอยู่ที่นี่ คงมิมีทางปล่อยไว้แน่ ครั้นจะพาตัวไปนางก็มิตกลง
“หากกลับเรือนมิไหวก็พักที่นี่ก็ได้นะหยุนซือ”
“เช่นนั้นหลานขอค้างสักคืนนะขอรับ”
เสิ่นอวี้ชะงักมือที่กำลังคีบอาหาร เขามองไปยังบิดาซึ่งยังคงทำหน้านิ่งอยู่ แต่ก็มิเอ่ยสิ่งใดก่อนจะวางตะเกียบลงข้างถ้วยข้าว จนกระทั่งทุกคนทานเสร็จสำรับก็ถูกเก็บออกไป และของหวานก็ถูกยกเข้ามาวางต่อหน้า
“ลูกมิหิวท่านพ่อท่านแม่ทานนะขอรับ พี่จะออกไปเดินเล่นเสียหน่อย เจ้าก็นั่งทานกับท่านพ่อท่านแม่ไปนะ”
“เอ่อ ท่านพี่ข้าไปด้วยเจ้าค่ะ ท่านพ่อท่านแม่ข้าขอตัวก่อนนะเจ้าคะ”
ซินลี่ก้าวเท้าตามคนตัวโตออกมา เขาหยุดอยู่ที่หน้าสวนซึ่งมันอยู่เยื้องกับห้องของคนตัวเล็ก ซึ่งย้ายออกมาอยู่ก่อนเขาจะพาคนรักเข้ามาที่นี่เสียอีก และมันอยู่ห่างจากเรือนทั้งหมดในจวนนี้ ราวกับต้องการหลีกหนีบางสิ่ง แต่อย่างไรล่ะจะไปที่ใดก็มีพ้นเขาเป็นแน่
“เรือนนี้ใครอยู่หรือเจ้าคะ มีแสงไฟด้วย”
“ก็คนที่มาอาศัยอย่างไรล่ะอย่าใส่ใจเลย พี่แค่เดินมาเรื่อยเปื่อย เรากลับกันเถอะ”
“พึ่งเดินมาก็จะกลับแล้วหรือเจ้าคะ ขอน้องนั่งดูจันทราสักครู่มิได้หรือ เรามิได้ดูมันด้วยกันนานแล้วนะ”
เสิ่นอวี้จำต้องเดินตามคนรักไปยังศาลากลางน้ำ ซึ่งมีสะพานเล็กเชื่อมต่อกับอีกฝั่ง เอาไว้ชื่นชมความสวยงามยามค่ำคืนเช่นนี้ หากแต่นัยน์ตาคมกลับมิได้มองขึ้นไปบนนภาแม้เพียงนิด แต่มันกลับมีภาพของใครบางคนยืนเหม่อที่หน้าต่าง
“ดูสิเจ้าคะ ดวงจันทราสวยมากเลย”
“อืม” เสิ่นอวี้ตอบไปเพียงเท่านั้น
“อะไรกันเจ้าคะ พี่นี่ช่างมิมีอารมณ์สุนทรีเลยสักนิด กลับห้องกันเถอะเจ้าคะ น้องคิดถึงเตียงนอนแล้ว”
ซินลี่ยกมือคล้องคออีกฝ่ายเผยความต้องการอย่างเด่นชัด ซ้ำยังรั้งลงมาเพื่อจูบโดยมิอายสายตาคนสนิทของเสิ่นอวี้เลย และที่สำคัญมีใครบางคนที่หันมาพบเข้าพอดี เสิ่นอวี้ดันร่างเล็กที่โถมเข้าหาเขาราวกับเสือหิว มิเข้าใจเลยว่าไยนางถึงพยายามปลุกความกำหนัดเขานัก ซินลี่ มองหน้าคนตัวโตอย่างมิเข้าใจ
“ท่านพี่รังเกียจข้า หรือกำลังคิดถึงใครจนทำเรื่องเช่นนี้กับข้ามิได้ แล้วท่านรับข้ามาที่นี่เพื่อสิ่งใด”
“มิใช่เช่นนั้น ตรงนี้มีบ่าวอยู่เจ้ามิเห็นหรือ หากไปรายงานท่านพ่อเจ้าคิดว่าจะมิถูกตำหนิหรือ”
“แน่ใจหรือว่าพี่คิดเช่นนั้นจริง มิใช่ติดใจรสรักฮูหยินคนก่อนจนมิอยากแตะต้องข้าหรอกนะ”
“หึ!จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไรกัน ไปเถอะกลับห้องกันหากเจ้าคิดว่าพี่รังเกียจ คืนนี้พี่จะทำให้เจ้าเห็นว่ามันมิใช่”
เสิ่นอวี้เอ่ยก่อนจะจูงมือคนรักเดินกลับเรือนของตน ทิ้งให้ใครบางคนซึ่งยืนแง้มหน้าต่างดูอยู่เอ่ยถ้อยคำบางอย่างออกมา ด้วยเสียงสั่นเครือ
“จำสิ่งที่เขาทำฟู่หรง สักวันเจ้าจะเห็นมันเป็นเพียงอากาศที่ล่องลอยจับต้องมิได้ ใช่ว่าจะไม่เคยอกหักซักหน่อย เรื่องแค่นี้เองเจ้าต้องผ่านมันไปได้แน่”
คำพูดซึ่งดูต่างออกไปจากคนยุคนี้ หากผู้ใดมาได้ยินคงคิดว่านางเสียสติเป็นแน่ แต่อันที่จริงมันเป็นเช่นนี้มาสี่ปีแล้ว และหลังจากฟื้นขึ้นมาเมื่อสามวันก่อนนางก็ต่างออกไป เพราะตัวตนที่แท้จริงนั้นกลับมาแล้ว สตรีตัวน้อยอายุสิบเจ็ดปีผู้นี้ แท้ที่จริงเจ้าของร่างนั้นสิ้นใจไปนานแล้ว
ตั้งแต่สี่ปีก่อน ส่วนผู้ที่อยู่ในร่างนี้คือดีไซเนอร์เครื่องประดับและเสื้อผ้า ผู้มีชื่อเสียงในยุคปัจจุบันวัยยี่สิบสี่ปี ซึ่งประสบอุบัติเหตุพร้อมกับช่วงเวลาที่ฟู่หรงตัวจริงถูกลอบสังหารในครั้งแรก เมื่อคนของอ๋องชินเหลียนตามพบ
ในยามนั้นฟู่หรงมีอายุเพียงสิบสามปีเท่านั้น นางตกลงไปในน้ำจนสิ้นใจเพราะว่ายน้ำมิเป็น จึงเป็นเหตุให้ดีไซเนอร์ผู้นี้หลุดภพมาครอบครองร่างแทน ซึ่งในยามนั้นเธอถูกรถชนจนตกสะพานช่วงเวลาเดียวกัน และสถานที่เดียวกัน จึงเกิดแรงดึงดูดในช่วงสุริยคลาสของสองภพพอดี จากนั้นเธอก็ฟื้นขึ้นมาในร่างนี้และอาศัยอยู่เรื่อยมา
นางได้รู้ชาติกำเนิดเจ้าของร่างในเวลาต่อมา เพราะคนที่ช่วยขึ้นมาจากน้ำคือฟานเสียน คนที่ทำหน้าที่อารักขามาโดยตลอด จนกระทั่งเมื่อครั้งที่บิดามารดาบุญธรรมถูกโจรป่าปล้นและสังหารทั้งหมด ที่นางตัดสินใจกระโดดเรือเพราะสามารถอยู่ในน้ำได้นานกว่าผู้อื่น
ซึ่งมันต่างจากฟู่หรงตัวจริงที่แม้แต่ว่ายน้ำก็ทำมิเป็นสุดท้ายก็รอดมาได้อีกครั้ง จากนั้นก็มิเจอฟานเสียนอีกเลย จนมาถึงการสังหารล้างครอบครัวสกุลเหริน ซึ่งสาเหตุก็มาจากนางเอง เมื่ออีกฝ่ายสืบข่าวรู้ว่าตนนั้นอาศัยอยู่ที่ใด
แต่คราวนี้หวังว่าฝ่ายนั้นจะคิดว่าตนตายไปแล้วจริงๆ การอาศัยอยู่ที่นี่อย่างไรก็น่าจะปลอดภัยกว่า หวังเพียงให้ได้พบฟานเสียนอีกครั้ง ถึงยามนั้นตนจะเรียกคืนความยุติธรรมให้ผู้ที่ต้องตายจากทุกคน
“ท่านอา ยามนี้ท่านอยู่ที่ใด รีบพาข้าออกไปจากที่นี่ที” ฟู่หรงเอ่ยขึ้นเบาๆ กับตนเอง