ตอนที่ 4 พบเจออีกครา

1878 Words
“เจ้าพูดราวกับโตขึ้นแล้วสักสองสามปีอย่างนั้นแหละ รีบกินข้าวเถอะจะได้ไปส่งพี่เจ้าเข้ากรมพระคลัง วันแรกอย่าไปสาย” “ท่านแม่ ข้าไปส่งพี่ใหญ่ที่กรมแต่ข้าไม่ไปงานเลี้ยงได้หรือไม่” “ทำไมล่ะหลันเอ๋อร์ เจ้าไม่อยากไปงั้นหรือ” “ข้ารู้สึกว่างานแบบนั้นมันช่างน่าเบื่อที่สำคัญก็มีแต่ขุนนางไม่เกี่ยวอะไรกับข้าดังนั้นก็เลยไม่ค่อยอยากไปเจ้าค่ะ” ทั้งเสนาบดีเล่อและฮูหยินต่างก็มองนางด้วยสีหน้าที่แปลกใจ “เช่นนั้นก็ตามใจเจ้า แต่วันนี้อย่างไรก็ไปส่งพี่เจ้าเข้าไปในวังก่อน” “เจ้าค่ะ” วังหลวงเหลียงโจว เหล่าขุนนางน้อยใหญ่ที่มาส่งบุตรชายของตนเองเข้ากรมที่สอบได้ร่วมแสดงความยินดีกันถ้วนหน้า เล่อฮูหยินกับเล่อชุนหลันที่มาส่งเล่อจางหลง ซึ่งตอนนี้ได้เข้าไปด้านในเพื่อรายงานตัวก็เริ่มรู้สึกเบื่อ “ท่านแม่เจ้าคะข้าขอตัวไปเดินเล่นในสวนหน่อยนะเจ้าคะ อยู่ตรงนี้เบื่อยิ่งนักกว่าพี่ใหญ่จะออกมาคงอีกสักพัก” “อย่าเดินไปไกลนักล่ะที่นี่เป็นเขตในวัง อย่างไรก็…” “ข้าทราบแล้วค่ะ แค่ออกไปเดินแก้ง่วงเท่านั้น” ชุนหลันเดินออกมาจากห้องห้องโถงรับขุนนางใหม่ซึ่งอยู่ด้านใน เมื่อออกมาเดินเล่นที่สวนเช่นนี้นางเริ่มรู้สึกสดชื่นขึ้นมาบ้างแล้วหลังจากนั่งอยู่ในห้องโถงที่แออัดนั้น “น้องชุนหลัน” นางหันไปตามเสียงเรียกเพราะรู้อยู่แล้วว่าเรื่องนี้ต้องเกิดขึ้นเพราะมันเคยเกิดขึ้นมาก่อนเพียงแต่ว่าดูเหมือนว่ามันจะเร็วกว่าที่นางคิดเอาไว้มากไปหน่อย “คุณชายมู่หรง” “มู่หรงเฉิง” บัณฑิตหนุ่มสหายของพี่ใหญ่ของนางเข้ามาเอ่ยทักนาง เขาเองก็สอบติดและสังกัดที่กองพระคลังเช่นเดียวกับพี่ชายของนางเช่นกัน “ยินดีด้วยคุณชายมู่หรง ในที่สุดท่านก็สอบติดพร้อมกับพี่ใหญ่เหตุใดท่านจึงมาช้านักล่ะ พี่ใหญ่เข้าไปด้านในแล้วเจ้าค่ะ” “ข้าพึ่งเดินทางมาถึงน่ะ มิได้ ๆ ใครจะเก่งเกินกว่าจื่อหลงกันเล่า เขาน่ะสอบเข้ามาได้เป็นอันดับหนึ่งเชียวนะยอดเยี่ยมจริง ๆ” “แล้วนี่ท่าน…” “อ้อ ท่านลุงข้าอยู่ทางโน้นคุยกับขุนนางคนอื่น ๆ อยู่แล้วเจ้ามาทำอะไรที่นี่ล่ะเบื่อสินะมีแต่พวกขุนนางกับญาติ ๆ” “ข้ามาเดินเล่นเจ้าค่ะรอเฉย ๆ ก็เบื่อเลยเดินออกมารับลมหน่อย” “เช่นนั้นเองหรือ…” “ท่านอ๋องเสด็จ!!” (“อะไรนะ!! ทำไมท่านอ๋องมาตอนนี้ล่ะ ข้าจำได้ว่าเขาต้องอยู่ในห้องโถงกับพวกขุนนางใหม่แล้วมิใช่หรือ”) ชุนหลันมัวแต่ยืนคิดทบทวนอยู่ หรือว่านางจำเรื่องในอดีตไม่ได้ แต่ว่าเรื่องที่มู่หรงเฉิงเข้ามาทักนางก็ยังจำได้มิใช่หรือ “หลัน…น้องชุนหลัน ถวายบังคมก่อน” นางเงยหน้ามองพระพักตร์ที่เย็นชานั้นอีกครั้ง เมื่อมองไปยังบุรุษตรงหน้ากลับรู้สึกราวกับเรื่องราวทุกอย่างมันตีย้อนขึ้นมาจนนางแทบจะยืนไม่ไหวจนล้มลง มู่หรงเฉิงที่อยู่ใกล้ ๆ หันไปคว้านางกลับมาแต่ไม่ทัน “เป็นอะไรไป เจ้ายืนไม่ไหวงั้นหรือ” “มะ…ไม่เป็นไรเพคะหม่อมฉันสบายดี โปรด…ปล่อยหม่อมฉันเถิดเพคะ” เล่อชุนหลันรีบถอยออกมาราวกับตกใจเมื่อถูกท่านอ๋องดึงเอาไว้ก่อนที่นางจะล้มลง นางเพียงตกใจเพราะเรื่องราวที่เกิดขึ้นในตอนนี้ไม่เหมือนกับที่นางเคยเจอในชาติก่อนที่นางไปพบเขาในห้องโถง ครั้งนั้นจังหวะที่ท่านอ๋องถูกบรรดาขุนนางสอบถามเรื่องอภิเษกและนางก็เดินเข้าไปพอดี สุดท้ายจึงเหมือนกับเป็นการบีบบังคับ เพราะนางคือบุตรของเสนาบดีซึ่งเป็นขุนนางใกล้ชิดของฮ่องเต้ เหตุการณ์ในครั้งนั้นทำให้เขาต้องยอมรับนางโดยไร้ทางเลือก และงานอภิเษกก็ถูกจัดขึ้นหลังจากนั้นอีกเพียงยี่สิบวัน “เจ้าเป็นอะไรหรือไม่” “ไม่เป็นอะไรเพคะ หม่อมฉันสบายดี” “น้องชุนหลัน คือว่าเจ้า...” “เจ้าเป็นขุนนางใหม่ที่พึ่งถูกแต่งตั้งสินะ” “พ่ะ…พ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง กระหม่อมมู่หรงเฉิง...” “แล้วเหตุใดจึงมาอยู่ที่นี่ เหตุใดไม่ไปรายงานตัว” “กระหม่อม…เช่นนั้นกระหม่อมขอตัวก่อนพ่ะย่ะค่ะ น้องชุนหลันเจ้าจะไปพร้อมกันหรือไม่” “ข้า…” “เจ้าเข้าไปก่อนเถอะข้ามีเรื่องจะคุยกับ…. คุณหนูรองเล่อสักหน่อย” “เอ่อ…เช่นนั้นกระหม่อมทูลลาพ่ะย่ะค่ะ” เล่อชุนหลันต้องยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นเมื่อมู่หรงเฉิงเดินกลับเข้าไปในโถงงานเลี้ยงแล้ว นางเดินถอยมานิดหน่อยเมื่อท่านอ๋องเดินก้าวเข้ามาหานาง “เป็นอะไรไป ข้าทำเจ้าตกใจงั้นหรือ” “เปล่าเพคะพระองค์ทรงมีสิ่งใดจะตรัสหรือเพคะ หม่อมฉันออกมานานแล้วท่านแม่คงจะ….” “เล่อชุนหลัน เจ้าคิดเช่นไรเรื่องข่าวลือว่าเจ้าจะเป็นผู้ถูกเลือกให้อภิเษกกับข้า” (อะไรนะ จู่ ๆ ทำไมเขาถามเช่นนี้) เล่อชุนหลันเรียบเรียงความคิดไม่ถูกเมื่อจู่ ๆ ท่านอ๋องก็ตรัสถามขึ้นมา นางจำได้ว่าชาติก่อนไม่เคยเกิดเรื่องเช่นนี้และคนอย่างหยางอี้เหรินไม่มีทางเดินเข้ามาสนทนากับนางก่อน แต่นางตัดสินใจมาแล้วว่าจะไม่ย้อนกลับแม้ว่าใบหน้าและสายตาของเขาจะยังทำให้นางใจสั่นอยู่มากก็ตาม “ท่านอ๋องอย่าได้ทรงกังวลพระทัย หม่อมฉันจะไม่ยอมอภิเษกกับพระองค์และจะไม่ทำให้พระองค์รู้สึกอึดอัดพระทัยเพราะถูกบีบคั้นเป็นอันขาดเพคะ ท่านอ๋องไม่ต้องเป็นห่วงหม่อมฉันทราบดีว่าพระองค์… เอ่อ…” นางเงยหน้ามองเขาด้วยความรู้สึกมั่นใจว่าอีกฝ่ายจะพอใจแต่คาดไม่ถึงว่าบุรุษหนุ่มตรงหน้าทำท่าราวกับถูกนางเอาไม้ตีแสกหน้าเขา สีพระพักตร์ที่เริ่มกัดกรามแน่นและมองนางด้วยความโมโหช่างไม่แตกต่างกับเมื่อตอนอยู่ในตำหนักที่เยือกเย็นนั่น นางคุ้นเคยกับสายตาเช่นนี้ของเขาดีบัดนี้นางจึงไม่กลัวอีกต่อไป “หม่อมฉันคิดว่าพระองค์คงอยากจะตรัสเรื่องนี้เพราะไม่อยากถูกกดดัน ไม่ต้องห่วงนะเพคะหม่อมฉันและสกุลเล่อจะไม่บีบบังคับพระองค์เพียงเพราะข่าวลือเหล่านั้นอย่างแน่นอนเพคะ” “นี่เจ้ากำลังพูดเรื่องบ้าอะไรอยู่!!” เล่อชุนหลันตกใจเสียงที่เขาตะคอกขึ้นมาอีกครั้ง แม้นางจะคุ้นเคยแต่ทุกครั้งที่โดนเช่นนี้นางก็ยังคงกลัวไม่เปลี่ยน เขาหันมามองหน้านางที่ตกใจเมื่อถูกเขาตะคอกใส่จึงค่อย ๆ ปรับเปลี่ยนสีหน้าอีกครั้ง “หม่อมฉัน…พูดสิ่งใดระคายพระทัยหรือเพคะ หม่อมฉันทราบดีว่าพระองค์มิได้มีใจชอบพอ และหากพระองค์มีสตรีอื่นในพระทัยแล้วก็ควรจะอภิเษกกับนางดีกว่าฝืนใจแต่งกับคนที่พระองค์มิได้รักเพคะ” “กดดัน บังคับ สตรีในใจอะไร นี่เจ้ากำลังพูดเหลวไหลเรื่องอันใดกัน หากข้าไม่ยินยอมมีหรือที่ผู้ใดจะมาบังคับข้าได้” “เช่นนั้นที่ทรงเรียกหม่อมฉันไว้ พระองค์ทรงหมายจะคุยเรื่องใดกันแน่เพคะ” สายตาคมลึกเกินหยั่งถึงนั้นมองมาที่นางอีกครั้ง เล่อชุนหลันแม้จะสาบานกับตัวเองแล้วว่าจะไม่มีทางกลับไปใช้ชีวิตเช่นเดิมอีกแล้ว แต่ในตอนนี้สายตานี้กลับเล่นงานที่หัวใจนางอีกครั้ง ช่วยไม่ได้นี่เพราะนางเองก็ไม่เคยพบบุรุษใดที่หล่อเหลาและรูปงามเกินกว่าท่านอ๋องมาก่อน และสายตาที่เขามองนางในตอนนี้เหตุใดจึงได้แตกต่างกับหยางอี้เหรินในความทรงจำของนางนักเล่า “เจ้าเอาแต่ปฏิเสธข้าเช่นนี้คงมิใช่เพราะขุนนางหนุ่มหน้าอ่อนที่พึ่งได้รับการแต่งตั้งคนเมื่อครู่นี้หรอกกระมัง หรือว่าเจ้ากับเขา... ชอบพอกันอยู่” “เพคะ?? พระองค์ทรงตรัสว่าอย่างไรนะเพคะ?” “ข้าถามเจ้าว่า เจ้ากับขุนนางหนุ่มเมื่อครู่นี้มีความเกี่ยวข้องกันเช่นไร เจ้าไม่รู้หรอกหรือชายหญิงที่ยังมิได้แต่งงานไม่ควรลักลอบพบกันสองต่อสองเช่นนี้มันดูไม่งาม อีกทั้งที่นี่ยังเป็นเขตวังหลวงที่…. นี่เจ้ามองหน้าข้าทำไม ข้าพูดสิ่งใดผิดอีกแล้วงั้นหรือ” เขาหยุดพูดเมื่อถูกนางมองด้วยความสงสัยระคนแปลกใจ จู่ ๆ ท่านอ๋องที่ไม่เคยใส่พระทัยเรื่องของชายหญิงและธรรมเนียมเช่นนี้จะพูดเรื่องแบบนี้กับนางได้ “เหตุใดท่านอ๋องทรงตรัสถามเรื่องระหว่างหม่อมฉันกับคุณชายมู่หรงเช่นนั้นเล่าเพคะ” “เพราะว่าข้าไม่อยากให้เจ้าซึ่งเป็นถึงบุตรีเสนาบดีที่จงรักภักดีของเสด็จพ่อมีเรื่องเสื่อมเสียที่ลอบนัดพบกับขุนนางหนุ่มตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาในวังน่ะสิ อีกอย่างวันนี้ผู้คนเข้ามาก็มีมากมายเจ้าคงไม่อยากให้คนร่ำลือเรื่องที่ไม่ดีออกไปอีกใช่หรือไม่” นางยิ่งฟังยิ่งไม่เข้าใจ ท่านอ๋องที่ไม่เคยใส่ใจและสนใจว่านางจะพบหรือคุยกับใครกลับมายืนถามและเค้นความจริงเรื่องของนางและสหายของพี่ชายที่พึ่งสอบติดขุนนางได้ นี่เป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นระหว่างทั้งคู่มาก่อน “หม่อมฉันมิได้ลักลอบนัดพบผู้ใดที่นี่ เพียงแค่เดินออกมารับลมเท่านั้นและกำลังจะกลับเข้าไปก็พบกับคุณชายมู่หรงเข้าจึงได้กล่าวยินดีที่เขาสอบติดเพราะเขาเป็นสหายร่วมเรียนของพี่ใหญ่หม่อมฉันเท่านั้นเพคะ” สีพระพักตร์ของท่านอ๋องดูเหมือนจะผ่อนคลายลงหลังจากที่นางพูดเช่นนี้ เล่อชุนหลันไม่เข้าใจเลยว่าเหตุใดเขาต้องมายืนสอบสวนนางอยู่ตรงนี้แทนที่จะรีบเข้าไปในห้องโถงงานเลี้ยงนั่น แล้วยังทำสีหน้าประหลาดที่เมื่อชาติก่อนต่อให้นางยอมแลกกับทุกอย่างเพียงแค่สีหน้านี้ของเขาแต่กลับไม่เคยได้พบเลยสักครั้งจน…. “เจ้าเป็นอะไรไปเหตุใดตัวสั่นเช่นนั้นเล่าเล่อชุนหลัน หนาวหรือ” “ไม่เป็นไรเพคะถ้าหากว่าท่านอ๋องหมดธุระแล้ว หม่อมฉันคงต้องขอตัวก่อน ท่านแม่คงกำลังเป็นห่วงเพราะหม่อมฉันออกมานานแล้ว ทูลลาเพคะ” นางย่อคำนับให้เขาและรีบเดินกลับเข้าไปในห้องโถงทันที หยางอี้เหรินมองตามร่างบางที่พึ่งเดินจากเขาไปและเข้าไปในห้องโถง ก่อนที่เขาจะพึมพำออกมา “ชาตินี้ต่อให้เจ้าจะเกลียดจนไม่อยากพบข้าและหนีโชคชะตาเช่นไร ข้าก็จะไม่มีวันปล่อยเจ้าไปอีกแล้ว…เล่อชุนหลัน ครั้งนี้ข้าจะใช้ทั้งชีวิตปกป้องเจ้าเอง”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD