โรงแรมต้าเหรินแกรนด์
กลิ่นน้ำหอมจางๆของดอกพิโอนีลอยคลุ้งในห้องลองชุดส่วนตัว ม่านสีครีมกั้นห้องเป็นชั้นๆ
แสงไฟส่องกระทบกระจกบานสูงสะท้อนเงาหญิงสาวคนหนึ่งที่กำลังนั่งนิ่งบนเก้าอี้หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง
ลี่เหม่ย นั่งตัวตรงแขนสองข้างวางบนตักอย่างเกร็งๆ ริมฝีปากขบเข้าหากันแน่นเธอไม่ได้พูดอะไรนับตั้งแต่เข้ามาในห้องนี้
ทีมสไตลิสต์มืออาชีพของโรงแรมพยายามพูดคุยผ่อนคลายบรรยากาศ แต่ไม่มีใครกล้าละลาบละล้วง เพราะสีหน้าของเธอชัดเจนว่าไม่เต็มใจจะมานั่งอยู่ตรงนี้
ดวงตากลมโตมองเงาตัวเองในกระจก สะท้อนภาพหญิงสาวหน้าหมวยที่เหมือนเจ๊ลี่หานเป๊ะ...แต่เธอไม่ใช่ลี่หาน
ไม่ใช่คนที่ควรจะสวมชุดเจ้าสาวราคาเจ็ดหลักและยิ่งไม่ใช่คนที่ควรจะยืนข้างเขาในงานคืนนี้
“ฉันจะเป็นเจ้าสาวที่ไม่มีชื่อในทะเบียนและไม่มีตัวตนในความทรงจำของเขา” เสียงพึมพำบางเบาหลุดออกจากริมฝีปากอิ่ม
ดวงตาในเงาสะท้อนไร้แววมั่นใจ มีแค่คำถาม...เธอกำลังทำอะไรอยู่กันแน่?
ก๊อกก๊อกๆ
เสียงเคาะประตูทำให้ร่างบางสะดุ้งจากภวังค์ความคิด พร้อมกับผู้ช่วยของทางโรงแรมเดินเข้ามาพร้อมเอกสารในมือ
“คุณลี่คะ ทางทีมงานฝ่ายเจ้าบ่าวแจ้งเปลี่ยนรายละเอียดเวทีค่ะ”
“เปลี่ยน?” เธอขมวดคิ้วมุ่นอย่างสงสัย
“เปลี่ยนอะไร?”
“ยกเลิกการถ่ายทอดสดออนไลน์ค่ะ แขกสื่อมวลชนบางส่วนถูกตัดออกจากลิสต์ เหลือแค่กลุ่มปิด...คำสั่งจากคุณเสิ่นจวิ้นเหวินโดยตรง”
ลี่เหม่ยใจสั่นวูบรู้สึกเหมือนกำลังเดินเข้าสู่สนามรบที่อีกฝั่งวางหมากไว้แล้ว
และเขา...เสิ่นจวิ้นอาจรู้ว่าเธอไม่ใช่ว่าที่ภรรยาตัวจริง
'แล้วทำไมเขาไม่หยุดพิธี ยกเลิกการแต่งงาน ทำไมแค่ลดจำนวนคนที่จะได้เห็นความลวงนี้ลง'
ทีมสไตลิสต์ช่วยสวมผ้าคลุมหน้าให้ ปิดครึ่งใบหน้า แต่ไม่สามารถปิดความรู้สึกภายใน
“คุณเสิ่นจวิ้น...คุณคิดอะไรอยู่กันแน่!?” เธอครุ่นคิดในใจ พลางหลับตาลง หายใจเข้าลึกๆก่อนจะลืมตาขึ้นช้าๆมองภาพตัวเองที่ตอนนี้แต่งตัวเหมือน 'เจ้าสาวของใครบางคน'
แม้ว่าในความเป็นจริง...
เธอไม่ใช่เมีย
ไม่ใช่คนรัก
ไม่ใช่แม้แต่คนที่เขาเลือก
...
ทว่าเธอไม่รู้เลยว่า...ในอีกห้องหนึ่งบนชั้นเดียวกัน
ชายหนุ่มในสูทสีดำยืนพิงหน้าต่างกระจกสูง ดวงตาคมของเขาเหม่อมองออกไปยังแม่น้ำด้านล่าง
เสิ่นจวิ้น รู้ดีว่าเจ้าสาวที่เขากำลังจะจับมือขึ้นเวที...ไม่ใช่ 'ลี่หาน' ตามที่ตกลงกันไว้ แต่เขากลับไม่แสดงท่าทีใดๆ
“ถ้าเธอเลือกจะเล่นบทเมียตัวปลอม...ฉันก็จะเล่นบทให้ว่าที่ผัวดูหน่อย”
.
.
ณ ห้องบอลรูม “จินหยวน”
บนชั้นพิเศษของโรงแรมต้าเหรินแกรนด์ ตกแต่งอย่างหรูหราด้วยดอกกล้วยไม้ขาวและกุหลาบสีเงินที่นำเข้าจากเอกวาดอร์ โคมไฟคริสตัลระยิบระยับเหนือศีรษะท่ามกลางแสงไฟอุ่น กลิ่นหอมอ่อนของไวท์มัสก์ลอยในอากาศราวกลั่นขึ้นเพื่อพิธีแห่งความสมบูรณ์แบบ
ถึงกระนั้นบรรยากาศกลับเย็นเยียบพอให้รู้ว่าพิธีนี้ไม่ได้มีไว้ให้หัวใจเต้นแรง
ลี่เหม่ย ก้าวเข้ามาในห้องพร้อมชายชราเจ้าของนามสกุลลี่โอบแขนเธอแน่น เขาคือผู้ที่ผลักเธอเข้าสู่พิธีนี้แทนพี่สาวฝาแฝดที่หายไป แต่ในสายตาของแขกเหรื่อ เขาคือพ่อผู้แสนภูมิใจที่กำลังส่งมอบลูกสาวให้กับชายผู้เพียบพร้อม
ร่างบางเดินช้าๆ ผ่านทางเดินที่โรยกลีบกุหลาบเทียมที่ไม่หรูเกินไปและไม่เวอร์จนเกินควร ทุกอย่างถูกจัดให้ดูสมจริง แม้ความจริงในใจจะหล่นหายไปหมดแล้ว
ปลายทางคือเวทีหมั้นขนาดพอดียกสูงจากพื้นเพียงเล็กน้อยถูกตกแต่งอย่างหรูหราสมฐานะ
ชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งในชุดทักซิโด้สีดำยืนอยู่ตรงกลางเวที ดวงตาคมเฉียบเส้นผมถูกเซตเรียบตามแนวข้าง ริมฝีปากบางไม่แสดงอารมณ์
เสิ่นจวิ้นเจ้าบ่าวของวันนี้ชายที่เธอไม่ควรเจอในชีวิตจริงแต่กลับยืนรอเธอด้วยแววตาที่ไม่ใช่ของคนที่กำลังดีใจ
มือเรียวเล็กยื่นออกไปตามพิธี พยายามรักษาความนิ่งแต่ภายในหัวใจกลับดังกึกก้องยิ่งกว่ากลองในขบวนแห่
ใบหน้าหล่อเหลาไร้รอยยิ้ม ไม่แม้แต่จะจับมือเธอในจังหวะอ่อนโยนเหมือนเจ้าบ่าวในละคร
“คุณลี่…พร้อมหรือยัง?” เสียงทุ้มต้ำเอ่ยเบาๆแต่กระแทกใจราวกับสายน้ำแข็งกระแทกหน้า
มือเล็กกำมือแน่นแต่ไม่แสดงออก แค่นยิ้มเล็กน้อยตามมารยาท
“พร้อมค่ะ...คุณเสิ่น”เสียงเธอเรียบแต่หูแดงเล็กน้อย เพราะรู้ว่านี่ไม่ใช่คำถามธรรมดา
ว่าที่เจ้าบ่าวไม่ตอบกลับเพียงแค่ยื่นมือออกมาจับมือเรียวเล็กไว้แน่น
เสิ่นจวิ้นมองมือเล็กในมือเขา 'มือก็เล็ก แต่ไม่สั่น...เธอกำลังแสดง หรือกำลังท้าทายกันแน่?'
มือหนากระชับมือเธอไว้แน่นเกินความจำเป็นนิ้วเรียวยาวเหมือนจะจงใจบีบแน่นตรงกระดูกอ่อน พลางกระซิบเสียงต่ำชิดใบหู
“ไม่ต้องพยายามนิ่งขนาดนั้น...ฉันไม่ได้โง่”
ใบหน้าหวานชะงักหัวใจกระตุกวูบ ไม่กล้าสบตาเขาตรงริมฝีปากเม้มแน่นราวกับกำลังเก็บอาการ
“งั้นก็ขอให้คุณ...สนุกกับการเดาไปเรื่อยๆ ก็แล้วกันค่ะ”
ใบหน้าหล่อนิ่งไป รอยยิ้มมุมปากจางๆผุดขึ้นเพียงเสี้ยววินาทีก่อนจะปล่อยมือเธอช้าๆ แล้วหันไปเผชิญหน้ากับพิธีกร
ระหว่างพิธีดำเนินต่อไปไม่มีใครรู้ว่าคำสาบานของเจ้าบ่าวไม่ได้มีคำว่า “รัก” มีแค่การมองตรงมาที่เธอด้วยสายตาที่บอกว่า
“เธอไม่ใช่คนที่ฉันต้องแต่งด้วย…แต่เธอคือคนที่ฉันจะไม่ยอมปล่อยไปง่ายๆ เช่นกัน”
“และในช่วงเวลาสำคัญนี้...ขอเรียนเชิญเจ้าบ่าวและเจ้าสาวแลกแหวน แทนคำมั่นสัญญา” เสียงพิธีกรดังก้องผ่านไมโครโฟนในห้องบอลรูม
แสงไฟค่อยๆหรี่ลงเหลือเพียงสปอตไลต์ดวงเดียวสาดลงบนเวทียกพื้น ทุกสายตาจับจ้องมาที่พวกเขาสองคน
แต่สิ่งที่ ลี่เหม่ยรู้สึกในตอนนี้ไม่ใช่ความโรแมนติก...แต่คือแรงกดดันที่แหลมคมเย็นเยียบและหนักขึ้นทุกวินาที
เสิ่นจวิ้น หันไปหยิบกล่องกำมะหยี่สีดำสนิทจากโต๊ะเล็กข้างตัวมือของเขานิ่งเรียบเกินไป ราวกับเคยทำพิธีนี้มานับครั้งไม่ถ้วนแต่แววตาของเขากลับฉายความไม่ไว้ใจอย่างเห็นได้ชัด
มือหนาเปิดกล่องช้าๆเผยให้เห็นแหวนทองคำขาวดีไซน์เรียบเฉียบแต่หรูหรา วางคู่กับแหวนเพชรเม็ดกลางประดับเพียงหนึ่งเดียว
ก่อนจะเอื้อมหยิบแหวนของเจ้าสาวขึ้นมาแต่ยังไม่ยื่นให้เธอ เขากลับหันมามองเจ้าสาวที่ยืนอยู่ตรงหน้า จ้องลึกลงไปในดวงตากลมโตของเธอ
“เธอใส่แหวนนิ้วนางซ้าย...แต่รอยตรงข้อมือคือคนถนัดขวา”
ลี่เหม่ยเบิกตาขึ้นเล็กน้อยหัวใจตกวูบ เธอไม่ได้เตรียมรับการที่จะโดนจับผิดแบบเจาะจงขนาดนี้ คนตัวเล็กพยายามรักษาสีหน้าไว้ แต่หางเสียงยังสั่น
“นี่คุณ...จับผิดฉันเหรอ?”
เขายกมุมปากขึ้นเล็กน้อยอย่างพอใจราวกับรู้ว่าเธอกำลังฝืนทั้งหมด
“ฉันไม่เคยแต่งงานมาก่อน...”
“แต่ก็ไม่คิดว่าภรรยาจะมีจังหวะหายใจเหมือนคนซ้อมบทละคร”
"..."
เสียงรอบห้องเงียบกริบแม้จะยังมีพิธีกรยืนอยู่ใกล้ๆ ราวกับว่าทุกเสียงนั้นหายไปหมดมีเพียงเสียงเต้นของหัวใจในอกของเธอที่ดังขึ้นเรื่อยๆ
ว่าที่เจ้าสาวพยายามฝืนยิ้มแต่น้ำเสียงของเขา...ไม่ใช่แค่ทิ่มแทงมันเหมือนกำลังเปิดบททดสอบโดยที่เธอไม่รู้จะผ่านได้ยังไง
ลี่เหม่ยไม่ตอบโต้แค่ยื่นมือตามบทในพิธีปล่อยให้เขาสวมแหวนให้ตามหน้าที่ เพราะเธอรู้ดีในสายตาเขา เธอไม่ใช่เมียเธอแต่คือปริศนา
คือบทละครหนึ่งที่เขาเลือกจะยังไม่ฉีกบท…เพราะอยากดูตอนต่อไป
ใบหน้าหล่อเหลาเปลี่ยนเป็นเย็นชา ไร้รอยยิ้มหลังใส่แหวนเสร็จ มีเพียงกระซิบเบาๆด้วยน้ำเสียงเรียบเกินจริงอีกครั้ง
“อย่าลืมบทนะ...คุณลี่”
“คนที่กำลังมองอยู่ ไม่ได้มีแค่ฉัน”
ในขณะที่หันไปเผชิญหน้ากับแขก เสิ่นจวิ้นจับมือเรียวเล็กของเธอขึ้นเล็กน้อยตามบทของเจ้าบ่าวผู้แสนเพียบพร้อม มือหนาเย็นเยียบแต่กระชับเหมือนล็อกคำลวงไว้ด้วยความจริงอันเฉียบคม
.
.
เสียงล้อรถบดทับพื้นหินแกรนิตหน้าทางออกโรงแรมต้าเหรินแกรนด์ดังเบาๆในความเงียบรถยนต์สีดำรุ่นลิมิเต็ดของตระกูลเสิ่นแล่นออกจากลานจอดชั้นใต้ดินอย่างนุ่มนวล
ภายในห้องโดยสารเงียบสนิท อุณหภูมิพอเหมาะแต่บรรยากาศกลับเย็นเยียบจนน่าหายใจไม่ทั่วท้อง
ลี่เหม่ยนั่งชิดฝั่งหน้าต่างมือเรียวกำชายกระโปรงชุดเจ้าสาวที่เริ่มยับไปบางส่วนหลังพิธีจบ เธอพยายามไม่ขยับ พยายามไม่หายใจแรง
และพยายามไม่สบตาคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
เสิ่นจวิ้นเจ้าบ่าวของเธออย่างเป็นทางการทว่าในความรู้สึก...เขาเหมือนผู้คุมที่กำลังตัดสินว่าเธอควรมีสิทธิ์มีชื่อในทะเบียนสมรสจริงหรือไม่
ร่างสูงพิงเบาะอย่างสงบนิ่ง ดวงตาคมทอดมองออกไปยังวิวเมืองยามค่ำคืนผ่านกระจกนิรภัยไฟถนนสาดเป็นลำเส้นยาวสะท้อนบนใบหน้าคมที่อ่านไม่ออกว่าเย็นชาหรือโกรธ หรือแค่...เฉย
คนตัวเล็กเริ่มหงุดหงิดไม่ใช่เพราะเขาไม่พูด แต่เพราะเขาเงียบเหมือนรู้ทุกอย่างแต่รอให้เธอยอมรับเอง
“คุณจะไม่ถามอะไรเลยเหรอคะ?” มือเล็กกำชายกระโปรงชุดแต่งงานแน่น
เขาเงียบไปอึดใจ ก่อนจะเอ่ยเสียงทุ้มต่ำผ่านกระจกมองหน้า
“ไม่จำเป็น...”
“เธอไม่ใช่คนที่ควรยืนข้างฉัน...ฉันรู้”
ลี่เหม่ยเองก็พอจะดูออกว่าเขารู้ตั้งแต่ต้น
แต่เขากลับรู้มากกว่าที่เธอคิด
ใบหน้าหมวยฝืนยิ้มมุมปาก ตอบกลับแบบไม่ยอมแพ้ “คุณก็ไม่ได้อยากแต่งงานเหมือนกันไม่ใช่เหรอคะ? เราแค่ทำตามข้อตกลงของผู้ใหญ่”
คนตัวโตหันมามองเธอเต็มตาในครั้งแรกของค่ำคืนนี้...สายตานั้นเย็นชาจนเธอสะดุ้ง
“ใช่...แต่จากนี้ไป เธอจะอยู่ในบ้านฉัน”
“และกฎของฉัน...จำไว้ให้ดี”