มอเตอร์ไซค์คันเก่าที่กรอบข้างด้านหน้าหลุดวิ่งมาจอดด้านในรั้วไม้ไผ่ที่คุ้นตา ด้านหน้าคือบ้านของผมที่มุงด้วยแผ่นไม้ชั้นบน ส่วนชั้นล่างมีแคร่ไม้และครัวที่อยู่ติดกัน แต่ที่แปลกตาไป คือรถตู้สีขาวคันใหม่ที่จอดเทียบใต้ร่มไม้ แค่เห็นเท่านี้ก็เดาได้แล้วว่าเป็นคนเมืองกรุงที่บอกว่าจะเข้ามารักษากับตาของผม
“มาฮอดแล้วตั้วหนิ” (มาถึงแล้วนี่)
ทันทีที่รถมอเตอร์ไซค์จอดสนิท ชายชราก็ค่อย ๆ ขยับตัวลุกออกจากเบาะพลันยกมือขึ้นทุบที่เอวเพื่อไล่ความขบเมื่อย ทั้งที่เพิ่งนั่งรถมาไม่ถึงสิบนาทีด้วยซ้ำ
“ไปไสมาล่ะตา” (ไปไหนมาเหรอตา)
ลุงหมานเดินเข้ามาทักทายด้วยความสนิทสนม ผมจึงรีบยกมือขึ้นไหว้ตามมารยาท
“ไล่ผีปอบแถวนี่ล่ะ” (ไล่ผีปอบแถวนี้แหละ)
“เอ้า! บักสิงห์เบาะหนิ” (เอ้า นี่ไอ้สิงห์นี่)
ชายวัยกลางคนหันมาจ้องมองผมพลางยิ้มกว้างจนตาหยี ก่อนจะเอ่ยชมทำเอาผมปั้นหน้าไม่ถูก
“ป๊าดด! พ้อมันแต่สมัยเป็นบ่าวซำน้อย ใหญ่ขึ้นมามันล่ะหล่อคักเนาะ” (โห เจอล่าสุดยังเป็นเด็กอยู่เลย โตมาแล้วหล่อเชียว)
“มันกะหล่อได้นำแนวมันนี่ล่ะ” (มันก็หล่อตามกรรมพันธุ์นี่แหละ)
ตาพวงยกยิ้มพลางชะเง้อมองเข้าไปในรถ ก่อนที่ประตูรถตู้จะถูกเปิดออก เผยให้เห็นชายหญิงวัยกลางคน อายุอานามน่าจะเทียบเท่าลุงหมาน ทว่าการแต่งตัวและบุคลิกแตกต่างกันลิบลับ บุคคลปริศนาทั้งสองนี้ช่างดูดีราวกับเนื้อตัวไม่เคยโดนแดดฝน นาฬิกาวาววับกับสร้อยเพชรที่ประดับคอ บ่งบอกถึงบารมีที่ล้นพ้นของทั้งคู่
“นี่คุณคมเดชกับคุณหญิงสุดาเด้อ” (นี่คุณคมเดชกับคุณหญิงสุดานะ)
ลุงหมานผายมือแนะนำ ทั้งคู่ก็รีบยกมือสวัสดีอย่างรวดเร็ว พร้อมกับจ้องมองสำรวจบริเวณรอบข้างบ้านผมอย่างให้ความสนใจ คงไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้สินะ
“ไสล่ะ คนได๋สิให้ปัว” (ไหนล่ะ คนที่จะให้รักษา)
“อยู่บนรถค่ะ แป๋ว พามินตราลงมาหน่อย”
คุณหญิงสุดาตะโกนบอกคนที่อยู่ในรถ รอเพียงไม่นานคนดูแลก็พยุงหญิงสาวคนหนึ่งลงมาจากรถ ร่างผอมบางอรชรถูกประคองออกมาช้า ๆ เผยให้เห็นรูปโฉมที่งดงามอย่างเช่นนางในวรรณคดีที่เคยอ่านเจอในหนังสือ ผิวขาวผุดผ่องราวกับหยวกกล้วย ใบหน้าจิ้มลิ้มงดงามอย่างไม่รู้จะหาอะไรเปรียบ ทั้งริมฝีปากบางเป็นกระจับขึ้นสีชมพูระเรื่อ ช่างรับกับสันจมูกโด่งที่เรียวเล็กเข้ากับกรอบหน้า แม้ไม่เห็นดวงตาเพราะถูกพันเอาไว้ด้วยผ้าก๊อซสีขาว แต่ผมก็มั่นใจว่าภายใต้ผืนผ้านั้นจะไร้จุดบกพร่องเฉกเช่นกัน
“บักสิงห์ เข้าไปเบิ่งให้ดู้ล่ะ กูตาบ่ดี” (ไอ้สิงห์ เข้าไปดูให้หน่อย กูตาไม่ดี)
ตาพวงชี้มือไปที่เก้าอี้ไม้ใต้ถุนบ้าน เพื่อออกคำสั่งให้ลุงหมานไปหยิบมาวางให้หน่อย แต่จนกระทั่งเขาทิ้งตัวนั่งลงแล้ว ผมก็ยังเอาแต่ยืนนิ่งเฉยด้วยความตกตะลึงไม่วางตา
“เอ้า! บักสิงห์” (ไอ้สิงห์!)
“อะ อิหยัง” (อะ อะไร)
เสียงที่ดังขึ้นในอีกระดับกระชากสมาธิของผมให้กลับเข้าร่างกะทันหัน ก่อนจะเริ่มละล่ำละลักเพราะวางตัวไม่ถูก
“ไปเบิ่งแม้ แมนเพินเป็นหยังมา” (ไปดูสิ เขาเป็นอะไรมา)
ผมพยักหน้ารับเบา ๆ ก่อนจะเดินเข้าไปชิดตัวหญิงสาว เป็นจังหวะเดียวกับที่ลมเย็น ๆ พัดพาเอากลิ่นหอมอ่อน ๆ ของเธอตีกระทบเข้าหน้า ปลายเส้นผมสีดำเงาพัดปลิวมาหยอกล้อราวกับต้องการทดสอบจิตใจผม
“เงยหน้า”
ผมเอ่ยเสียงเรียบพร้อมกับจับเรียวแก้มให้เชิดขึ้น ก่อนจะบรรจงปลดถอดผ้าสีขาวที่พันรอบดวงตาออกอย่างเชื่องช้า รอเพียงอึดใจเดียวใบหน้าของเธอก็ไร้การบดบังจากผ้าสีขาวผืนนี้
สวยจัง... สวยราวกับนางฟ้านางสวรรค์
“ลืมตา”
ผมพยายามปรับน้ำเสียงให้อยู่ในระดับเดิม เพื่อให้อีกฝ่ายจับไม่ได้ว่าผมกำลังรู้สึกประหม่า และทันทีที่ดวงตาคู่สวยปรือขึ้น ความรู้สึกของผมก็เปลี่ยนไปกะทันหัน
ดวงตาทั้งสองถูกครอบไปด้วยสีดำชั่วขณะ ก่อนที่มันจะแปรเปลี่ยนเป็นสีเดิมที่ควรจะเป็น แบบนี้ไม่ปกติแน่ มีอะไรบางอย่างที่ซ่อนอยู่ภายใต้ดวงตาคู่สวยนี้จริง ๆ
“เป็นจังได๋ มีแนวบ่” (เป็นยังไงบ้าง มีอะไรไหม)
ตาพวงเอ่ยถามพร้อมทั้งชะเง้อมองตามด้วยความอยากรู้เช่นกัน
“มี หนักอยู่”
“หนักเลยติ” (หนักเลยเหรอ)
ทุกคนต่างมีสีหน้าที่หนักอกหนักใจไม่แพ้กัน ก่อนที่ตาพวงจะใช้มือดันเก้าอี้แล้วค่อย ๆ พยุงตัวเองขึ้น เดินเข้ามาพิจารณาร่วมกับผมด้วย
“มองไม่เห็นเลยใช่ไหม”
“ค่ะ”
หญิงสาวพยักหน้าหงึกหงักเบา ๆ แล้วตอบเสียงเบาหวิว
“นานยัง”
“หนึ่งปีค่ะ”
ผู้เป็นแม่เอ่ยตอบแทน ก่อนที่ทั้งผมทั้งตาจะหันไปจ้องที่เธอเป็นตาเดียว
“หนึ่งปี! คาเฮ็ดหยังอยู่คือบ่พามาปัวไวกว่านี่” (หนึ่งปี! มัวทำอะไรอยู่ ทำไมถึงมารักษาเอาป่านนี้)
ตาพวงบ่นอุบทันที เพราะหากมาเร็วกว่านี้อาจมีทางแก้ แต่นี่ปล่อยมาถึงปีแล้ว หนทางที่จะช่วยคงริบหรี่แล้วละ
“พาไปปัวอยู่ตา แต่เพินไปปัวกับหมอ” (พาไปรักษากับคุณหมอน่ะตา)
“กะแนวมันบอดย่อนผีเฮ็ด หมอไสสิปัวได้อยู่นี่” (ก็ตามันบอดเพราะผีทำ หมอไหนจะรักษาได้วะ)
ทุกคนต่างสะดุ้งโหยงเมื่อเห็นตาพวงเดือดดาล แต่ผมเคยชินกับท่าทางขึงขังของเขาแล้วละครับ แกก็แค่เป็นห่วง ไม่ได้จะดุด่าอะไรขนาดนั้นหรอก
ตาพวงนิ่งงันไปครู่หนึ่งก่อนจะขยับเข้ามาสวดพึมพำที่ด้านหน้าหญิงสาว รอเพียงไม่นานเขาก็เป่ารดที่หน้าผาก 2-3 ครั้ง พลันนิ่งเงียบแล้วส่ายหน้าเบา ๆ
“อีผีโตนี่มันแฮงคัก” (อีผีตนนี้มันแรงมาก)
“แล้วแบบนี้จะแก้ได้ไหมครับ”
ผู้เป็นพ่อหน้าถอดสีด้วยความใจเสีย แต่ยังพยายามหาทางออกให้ลูกสาว แม้จะรู้ว่าแทบริบหรี่
“คันสิให้ซอยอิหลีมันกะพอมีทางแก้อยู่” (ถ้าจะให้ช่วยจริง ๆ มันก็พอมีทางแก้อยู่)
รอยยิ้มของผู้เป็นพ่อและแม่ผุดขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินประโยคนี้ ก่อนรอยยิ้มจะดับวูบลงอีกครั้งเมื่อได้ฟังถึงประโยคถัดไป
“คือให้อินางนี่มาผูกแขนเป็นเมียบักสิงห์ซะ” (คือให้นังหนูนี่มาผูกแขนเป็นเมียไอ้สิงห์ซะ)
“ฮะ!”
ไม่ใช่แค่ผมที่อุทาน แต่ทุกคนที่ยืนอยู่ด้วยกันตอนนี้ต่างอุทานออกมาเป็นเสียงเดียวกันกับผมเลย
“ตอนนี้ดวงอินางนี่มันตกคัก เทิงสิเข้าเบญจเพสแมนเบาะ” (ตอนนี้ดวงนังหนูมันตก ทั้งจะเข้าเบญจเพสด้วยใช่ไหม)
ทั้งพ่อและแม่ของหญิงสาวหันมามองหน้ากันพร้อมกับตั้งข้อสงสัยในใจ ว่าตาของผมรู้เรื่องนี้ได้ยังไงกัน เพราะพวกเขายังไม่ได้บอกถึงอายุของลูกสาวเลย
“บักสิงห์มันดวงแข็ง คันเอาดวงผัวค้ำมันกะอาจสิรอด ซามซาให้หวิดเบญจเพสไป คันบ่เอาวิธีนี่ กูกะบ่มีทางซอยแล้ว แต่เตือนไว้ก่อนว่ามันบ่เอาแค่นวยตาดอก คันเข้าเบญจเพสแล้วรอกุศลาอย่างเดียว” (ไอ้สิงห์มันดวงแข็ง ถ้าเอาดวงผัวค้ำก็อาจจะรอด ประคองไปให้มันพ้นเบญจเพส ถ้าไม่เอาวิธีนี้ กูก็ไม่รู้จะช่วยยังไงแล้ว แต่กูเตือนไว้ก่อนว่าอีผีตนนี้มันไม่เอาแค่ดวงตาหรอก ถ้าเข้าเบญจเพสเมื่อไหร่ รอกุศลาทันที)
สิ้นประโยคของตาพวง ทุกคนต่างแสดงออกถึงสีหน้าหนักใจพลางหันมาจ้องมองที่ผมอย่างพิจารณา ผมเองก็ไม่รู้ว่าต้องทำตัวแบบไหนเลยเอาแต่ยืนนิ่งแล้วเบนหน้าหลบ แสร้งทำเป็นไม่ใส่ใจกับสิ่งนี้
“ถ้างั้น... ผมขอกลับไปคิดก่อนนะครับ”
“เออ ๆ กลับไปคึดให้มันคัก ๆ บักสิงห์มันกะบ่แมนคนลืน แต่งมาแล้วกะนอนคนละบ่อนกะได้ มันบ่มีหยังยากดอก บ่ให้เสื่อมให้เสียอีหยัง ปัวเซากะให้หย่าขาดกันกะได้ ไคกว่าปล่อยให้ตายถิ่มซือ ๆ” (เออ ๆ กลับไปคิดให้มันดี ๆ ไอ้สิงห์มันก็ไม่ใช่คนมือไว แต่งมาแล้วนอนคนละที่นอนก็ได้ มันไม่ยุ่งยากหรอก ไม่ให้เสื่อมเสียแน่นอน รักษาหายแล้วก็หย่าขาดกันได้ ดีกว่าปล่อยให้ตายไปเฉย ๆ โดยไม่ทำอะไร)
ตาพวงเอ่ยพูดในขณะที่เดินเข้าบ้านไปด้วยท่าทางไม่ยี่หระ ผมเองก็ไม่รู้จะยืนอยู่ทำไม เลยเดินตามเขาไปติด ๆ แต่ยังไม่วายหันไปปรายหางตามองหญิงสาวคนนั้นจนกระทั่งเธอเดินกลับเข้าไปในรถแล้วค่อย ๆ เคลื่อนตัวออกไปจากรั้วบ้านของผม
“อีอรมันเฮ็ดลาบตั้ว มึงบ่ต้องเฮ็ดแนวกินเด้อ ไปกินบ้านใหญ่พุ่น” (อีอรมันทำลาบนะ มึงไม่ต้องทำกับข้าว ไปกินบ้านใหญ่ด้วยกัน)
ตาพวงเดินเอาของมาเก็บไว้บนหิ้งพระ ก่อนจะเอ่ยพูดกับผมโดยไม่มองหน้า แต่ประโยคนี้กลับไม่ได้ซึมเข้าโสตประสาทผมเลยแม้แต่นิด นั่นเป็นเพราะผมมีเรื่องให้พะวงคิดมากยิ่งกว่าเรื่องปากท้อง
“ตา”
“หือ”
“เจ้าว่า... เลาสิกลับมาอยู่เบาะ” (ตาว่า... พวกเขาจะกลับมาไหม)
อีกฝ่ายละสายตาจากหิ้งพระ ก่อนจะหันกลับมามองผมโดยตรง
“เป็นหยัง อยากได้เมียแล้วติ” (ทำไม อยากได้เมียเหรอ)
คำถามที่หลุดออกมาจากอีกฝ่ายทำให้ผมเกิดอาการละล่ำละลัก รีบทำทีเดินไปถอดเสื้อแสร้งทำเป็นว่ากำลังจะลงไปอาบน้ำที่ชั้นล่าง
“กะบ่ล่ะ สิได้เฮ็ดใจสั่นดอก อยู่ ๆ กะได้เมีย มันกะคึดยากอยู่เด้” (เปล่า จะได้ทำใจไง อยู่ ๆ จะได้เมียมันก็คิดหนักอยู่นะ)
“หึ ๆ ประสาเอาเมีย มันสิได้คึดยากอิหยัง” (กะอีแค่เอาเมีย มันจะไปคิดหนักอะไรวะ)
ชายชรากลั้วขำในลำคอ ก่อนจะเดินไปชะเง้อคอมองที่นอกหน้าต่าง ราวกับว่าต้องการสื่อสารกับบางสิ่งบางอย่างที่ซ่อนตัวในเงามืด
“เตรียมบอนนอนไว้ให้เมียมึงนำเด้อ บ่เกินสามมื่อดอก มันได้กลับมาอีกแท้” (เตรียมที่นอนให้เมียมึงด้วย ไม่เกินสามวัน มันได้กลับมาอีกแน่)
เขาบอกเพียงแค่นั้นแล้วเดินหันหลังลงไปจากบ้าน ทิ้งความรู้สึกบางอย่างให้ติดค้างอยู่ในใจผม
“กูสิได้สาวอันนี่เป็นเมียอิหลีติวะ?” (กูจะได้ผู้หญิงคนนี้เป็นเมียจริง ๆ เหรอวะ?)