ช่วงเวลาเช้ามืดสำหรับบางคนอาจจะยังไม่ลุกขึ้นจากที่นอน บ้างก็เพิ่งจะลืมตาตื่นขึ้นมาบิดขี้เกียจ แต่สำหรับผม มันคือช่วงเวลาสำคัญในการออกหาของกิน กับดักหนูที่ทำเอาไว้เมื่อคืนสามารถดักหนูนาตัวใหญ่ได้ถึงสี่ตัว และตอนนี้พวกมันก็กำลังถูกหิ้วกลับมายังบ้านของผม แต่เดินมาถึงหน้าบ้านก็ต้องชะงัก เมื่อพบว่าหน้าบ้านมีรถตู้สีขาวจอดอยู่ อย่าบอกนะว่า...
ผมรีบสาวเท้ายาว ๆ เข้าไปยังใต้ถุนที่มีแคร่ไม้ไผ่ตั้งอยู่ ก่อนจะพบว่าพวกคนเมืองกรุงได้กลับมาอีกครั้งแล้ว แต่การมาครั้งนี้ต่างออกไปจากรอบก่อน เพราะข้าง ๆ แคร่ไม้ไผ่มีกระเป๋าลากใบใหญ่ถึงหกใบ นี่จะย้ายมาอยู่กับผมทั้งบ้านเลยเหรอ ถึงได้หอบของมาเยอะขนาดนี้
“เอ้า มาพอดี บักสิงห์มานี่” (มาพอดีเลย ไอ้สิงห์มานี่)
ตาพวงกวักมือเรียก ตรงหน้ามีขันธ์ห้าและพานเล็ก ๆ ไว้สำหรับใส่หมากพลู คงเตรียมไว้สำหรับทำพิธีอะไรบางอย่าง
“อย่าฟ่าวเด้อ เอาหนูไปเก็บก่อน” (แป๊บนะ เอาหนูไปเก็บก่อน)
สภาพของผมตอนนี้ดูไม่ดีเท่าไหร่นัก ท่อนล่างมีกางเกงสีดำเก่า ๆ ที่ขาดปลาย ท่อนบนนั้นเปลือยเปล่า เผยให้เห็นรอยยันต์ทั่วเนื้อหนังและสีผิวที่กร้านแดด ยิ่งเห็นสายตาที่พ่อแม่ฝ่ายหญิงมองมาแปลก ๆ ผมก็ยิ่งรู้สึกไม่ดี จึงรีบเดินเข้าครัวเอาหนูเข้าไปเก็บไว้ก่อน จากนั้นก็ล้างเนื้อตัวให้เรียบร้อย ก่อนจะอ้อมขึ้นไปบนบ้านเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ดูดีขึ้นมาหน่อย
“แล้วล่ะเบาะบักสิงห์ มันสิเลยฤกษ์” (เสร็จหรือยังวะไอ้สิงห์ มันจะเลยฤกษ์แล้วเนี่ย)
เสียงตาพวงตะโกนขึ้นมาบนบ้าน ผมจึงรีบถือเสื้อเดินลงบันไดในขณะที่สวมใส่มันเข้ามาในตัว
“บ่มีเสื้อสีขาวติ” (ไม่มีเสื้อสีขาวเหรอ)
ผู้เป็นตาจ้องมองมาที่ผมพร้อมกับตั้งคำถาม ก็แล้วทำไมไม่บอกให้ไวกว่านี้เล่า
“สีได๋กะใส่โลดเป็นหยัง” (สีไหนก็ใส่ไปเถอะน่า)
ผมตอบปัด ๆ เพราะขี้เกียจเดินขึ้นไปเปลี่ยนอีกรอบ อีกอย่าง เสื้อสีเทาที่ใส่อยู่ก็เป็นตัวโปรดและใหม่เอี่ยม ตัวนี้แหละเหมาะที่สุดแล้ว
“ฝั่งเจ้าสาวกะพร้อมแล้วเด้เนาะ สิเอาเมียให้หลานซายเด้บาดหนิ” (ฝั่งเจ้าสาวก็พร้อมแล้วใช่ไหม จะเอาเมียให้หลานชายแล้วนะ)
“ฮะ!”
ผมอุทานออกมาเสียงดัง ไอ้ที่รอทำพิธีกันอยู่ตอนนี้คือจะทำพิธีผูกแขนแต่งงานงั้นเหรอ
“แมนหยัง” (อะไร)
“จะ จังซั่นถ่าจักคาว เปลี่ยนเสื้อก่อน” (ถะ ถ้างั้นรอแป๊บเดียว เปลี่ยนเสื้อก่อน)
ผมทำทีจะลุกขึ้นจากเตียง แต่ช้าไปกว่าตาพวงที่เอื้อมมือเข้ามาคว้าแขนเอาไว้
“บ่เปลี่ยนมันล่ะ สิกายฤกษ์แล้วหนิ” (ไม่เป็นไร มันจะเลยฤกษ์แล้วเนี่ย)
เมื่อเห็นว่าทุกคนกำลังรออยู่ ผมจึงไม่อยากทำให้เสียเวลาไปมากกว่านี้ รีบขยับขึ้นเตียงแล้วไปนั่งข้าง ๆ กับว่าที่ภรรยา วันนี้เธอแต่งตัวสวยกว่ารอบก่อนเสียอีก ชุดกระโปรงสีขาวลูกไม้ยาวคลุมมาถึงหัวเข่า คอเสื้อไม่ได้กว้าง แต่กลับส่งให้คอยาวระหงดูน่าหลงใหลจนละสายตาไม่ได้เลย
“คันพร้อมแล้ว สีเอาเมียให้หลานซายเด้อ” (ถ้าพร้อมแล้ว จะเอาเมียให้หลานชายนะ)
ตาพวงเริ่มทำพิธีผูกแขนอย่างเรียบง่าย ก่อนจะปิดท้ายโดยการผูกแขน ในมือของผมและผู้หญิงที่ชื่อมินตรามีไข่ต้มสุกหนึ่งฟองและข้าวเหนียวหนึ่งปั้นวางเอาไว้อยู่ เมื่อผูกแขนเสร็จแล้ว เราทั้งคู่ก็ผลัดกันป้อนไข่ที่อยู่ในมือให้แก่กันกินจนกระทั่งไข่หมดเป็นอันเสร็จสิ้นพิธี
“เอาเด้อ ๆ บัดนี่อินางมินตรามันมีผัวซือว่าสิงห์ ผีปอบ ผีห่า ผีเป้ามาแต่ทางได๋กะอย่าเข้ามาซูนลูกหลานกู ลูกใภ้กูเด้อบาดหนิ” (เอ้า ๆ ตั้งแต่นี้ไป มินตราจะมีผัวชื่อว่าไอ้สิงห์ ผีปอบ ผีห่า ผีโพงมาแต่ทางไหน ก็อย่าเข้ามาใกล้ลูกหลานกู ลูกสะใภ้กูนะ)
ตาพวงเอ่ยราวกับพูดพร่ำไปตามประสา ก่อนจะขยำเปลือกไข่ที่ใช้ในพิธีแล้วเดินออกไปสาดที่หน้าบ้านของผม จากนั้นก็เดินกลับเข้ามาด้านใน
“แล้ว ๆ ล่ะ บ่ต้องห่วงมันดอก” (เสร็จแล้ว ไม่ต้องห่วงแล้วละ)
แม้จะพูดแบบนั้น แต่ผู้เป็นแม่ยังมีสีหน้ากังวลไม่จาง เธอเอาแต่กอดปลอบใจลูกสาวที่เป็นดังแก้วตาดวงใจไม่ยอมวาง
“ระหว่างนี้ฉันขอมาอยู่แถว ๆ นี้เพื่อดูแลลูกสาวได้ไหมคะ”
“บ่ได้ สามเดือนนี้ห้ามมายามมันเด็ดขาด คึดฮอดกะโทรเอา” (ไม่ได้! สามเดือนนี้ห้ามมาเยี่ยมเด็ดขาด คิดถึงก็โทรหาเอา)
ตาพวงรีบตัดบท เพราะรู้ว่าหากพ่อแม่ยังอยู่ใกล้ ๆ จะทำให้มีห่วงและทำอะไรยุ่งยากไปหมด ทางที่ดีไม่ต้องมาเห็นหน้ากันเลยดีกว่า ไว้หายดีแล้วค่อยมารับกลับคืนไป
“แต่มื่อนี่ให้อยู่ลากันได้จนดึกพุ่นล่ะ คันเฮ็ดใจได้แล้วกะพากันเมือกรุงเทพฯ มีอิหยังด่วนกะโทรมาเบอร์ที่ให้ไว้ ให้ไว้หลายเบอร์บ่แมนหยังดอก แถวนี่มันบ่ค่อยมีสัญญาณ” (แต่วันนี้ให้อยู่ลากันถึงดึกเลยละ ถ้าทำใจได้แล้วก็พากันกลับกรุงเทพฯ ไป มีอะไรด่วนก็โทรมาเบอร์ที่ให้ไว้ ให้ไว้หลายเบอร์ไม่ใช่อะไรนะ แถวนี้มันไม่ค่อยมีสัญญาณ)
“วันนี้คงไม่ได้อยู่นานหรอกค่ะ พอดีว่าคุณคมเดชเขามีธุระต่อ ต้องรีบกลับไปทำให้เสร็จ”
ได้ยินว่าคุณคมเดชอะไรนี่เป็นถึงผู้ว่าราชการจังหวัด ท่าทางจะรวยอยู่ไม่น้อยเลยแฮะ
ระหว่างนี้พ่อกับแม่มินตราก็พากันเดินสำรวจไปรอบบ้าน ก่อนจะเดินกลับมาหาผมเพื่อขออนุญาตทุบบ้านออกทั้งหมดแล้วสร้างใหม่ แน่นอนว่าคำขอนี้ถูกผมเอ่ยปฏิเสธโดยไม่ไว้หน้า บ้านหลังนี้ถูกสร้างขึ้นมาด้วยน้ำพักน้ำแรงของพ่อแม่ผม ถ้าจะมาทุบทิ้งเพียงเพราะอยากให้ลูกสาวอยู่สุขสบาย งั้นก็ปลุกแม่ผมขึ้นมาขออนุญาตก่อน ไว้ทำได้เมื่อไหร่ผมจะยอมให้แล้วกัน
พวกเขาใช้เวลาสำรวจบ้านผมจนกระทั่งถึงช่วงสาย ถึงได้กอดลากันพร้อมทั้งร้องห่มร้องไห้กันเสียงดังระงม และในที่สุดรถตู้สีขาวก็เคลื่อนตัวออกไปช้า ๆ เหลือไว้เพียงแค่มินตราที่ยังยืนปาดน้ำตาลวก ๆ อยู่
“ปะ เข้าบ้าน”
ผมหันหลังแล้วเดินกลับเข้ามาในครัว เพื่อเตรียมลงมือทำอาหารจากวัตถุดิบที่เพิ่งหามาได้ ทว่าหันกลับไปที่หน้าบ้านก็ยังเห็นมินตรายืนแข็งทื่ออยู่ที่เดิม
“เอ้า! ยืนบื้ออยู่ทำไม เข้ามาสิ”
“เอ่อ... ฉะ ฉันไม่รู้ว่าต้องเดินไปทางไหนค่ะ”
แม่งเอ๊ย! ลืมคิดได้ไงว่าเธอมองไม่เห็น ผมทึ้งหัวตัวเองแรง ๆ แล้วรีบเดินกลับออกไปหาเธออีกครั้ง
“ค่อย ๆ เดิน”
มาถึงก็คว้ามืออีกฝ่ายแล้วเดินนำกลับเข้ามาใต้ถุน ก่อนจะออกคำสั่งเสียงเรียบ
“นั่งอยู่นี่ แล้วอย่าไปไหน”
“แล้วพี่สิงห์จะไปไหนเหรอคะ”
เธอรีบถามกลับทันที คล้ายกลัวว่าจะถูกทิ้งเอาไว้ให้อยู่เพียงลำพัง
“ไปทำกับข้าว”
ผมตอบโดยไม่หันไปมอง รีบเดินเข้าครัวมาเตรียมอาหารเพราะหิวจนไส้จะขาด ใช้เวลาไม่นานก็ได้อ่อมหนูกลิ่นหอมกรุ่น มาพร้อมกับกระติบข้าวเหนียวใบใหญ่
“เอ้า ว่าแมนเมือเฮือนแล้ว” (นึกว่ากลับบ้านไปแล้ว)
เดินออกมาจากครัวก็เห็นว่าตาพวงกำลังนั่งอยู่กับมินตรา พร้อมทั้งป้าอรและไอ้สร
ป้าอรนี่เป็นลูกของตาพวง หรือน้องสาวแม่ผมนั่นเอง และไอ้สรก็คือลูกชายของแก ปีนี้มันเพิ่งขึ้นป.6 ส่วนพ่อของมันขึ้นไปขับรถแท็กซี่ที่กรุงเทพฯ นาน ๆ ทีถึงจะได้กลับมา
“เมือแล้ว แต่กลับมาใหม่ อิอรมันว่าอยากพ้อเมียบักสิงห์เลยพามันมาเบิ่ง” (กลับไปแล้ว แล้วก็กลับมาใหม่ ไอ้อรมันอยากเห็นเมียเอ็งน่ะ เลยพามันมาดู)
“สะออนผู้เพินได้เมียงามเด้” (ปลื้มใจแทนคนได้เมียสวยจริง ๆ เลย)
น้าอรรีบเอ่ยปากพลางยิ้มกรุ้มกริ่ม ราวกับต้องการจับผิดผม
“แต่งเป็นพิธีซือ ๆ นี่ล่ะ อย่าเอิ้นว่าเมียเถาะ” (แต่งเป็นพิธีเฉย ๆ หรอกน่า อย่าเรียกว่าเมียได้ปะ)
ผมรีบตอบกลับออกไปด้วยความปากไว และเขินอายเพราะไม่เคยมีเรื่องของผู้หญิงเข้ามาในชีวิตเลยสักครั้ง
“พิธีบ่พิธีกะเมียมึงคือเก่านั่นตั้ว ได้เมียแล้วกะเว่านำเขาดี ๆ เขาลูกมีพ่อมีแม่” (จะพิธีหรือไม่พิธีก็เมียเอ็งเหมือนเดิมนั่นแหละ ได้เมียแล้วก็พูดกับเขาดี ๆ บ้าง เขาลูกมีพ่อมีแม่นะเว้ย)
“จังแมนยาก จังซั่นเจ้าคือบ่แต่งเอาเป็นเมียเองโลด ข่อยบ่ได้บอกว่าอยากได้เมียเด้ล่ะ” (ยุ่งยาก! ถ้างั้นทำไมตาไม่มาแต่งเมียเองเลยล่ะ ผมไม่ได้บอกว่าอยากได้เมียสักหน่อย)
“เอ้า บักอันนี่” (เอ้า ไอ้นี่!)
“เอาล่ะ ๆ เฮากลับเถาะ ให้เขาได้มีเวลาส่วนโตแน” (เอาละ ๆ เราก็กลับบ้านกันเถอะ ให้เขาได้มีเวลาส่วนตัวกันบ้าง)
น้าอรเริ่มรู้ว่าสงครามขนาดย่อมกำลังจะเกิดขึ้น ถึงได้รีบปรามแล้วเดินเข้ามาคุยกับมินตราพลางลูบไหล่เบา ๆ
“อดทนเด้ออินาง เดี๋ยวกะเซาแล้วล่ะ อยากได้หยังกะฝากอ้ายสิงห์มาบอกน้าเด้อ” (อดทนหน่อยนะหนู เดี๋ยวก็หายแล้ว อยากได้อะไรก็ฝากพี่สิงห์มาบอกน้านะ)
คนตัวเล็กคลี่ยิ้มบาง ๆ พลางยกมือขึ้นไหว้ขอบคุณที่หน้าอก
“ขอบคุณมาก ๆ นะคะน้าอร”
“จ้ะ ไสล่ะอ่อมหนู คือว่าให้มาเอา” (ไหนล่ะอ่อมหนู ที่บอกให้มาเอา)
ประโยคหลังน้าอรเงยหน้าขึ้นแล้วหันมาพูดกับผม
“ในครัวพุ่นล่ะ บักสรไปตักเอาไป๋” (ในครัวโน่น ไอ้สรไปตักไป)
“เบิดหม้อเลยเบาะ” (หมดหม้อเลยเหรอ)
หลานชายตัวเล็กในชุดบอลสีแดงเงยหน้าขึ้นมาถาม
“บ่ล่ะ อยู่ในซามในตู้กับข้าวน่ะ” (ไม่ แค่ที่อยู่ในชามในตู้กับข้าวน่ะ)
เมื่อได้อ่อมหนูแล้ว ทั้งหมดก็พากันเดินกลับบ้านหลังใหญ่ ซึ่งอยู่ถัดจากบ้านผมไปเพียงแค่ป่ากั้น ทิ้งให้ผมกับมินตราได้อยู่ด้วยกันลำพังอีกครั้ง
“กินเป็นไหมอ่อมหนู”
คนตรงหน้ารีบส่ายหน้าพัลวันทันที พร้อมกับแสดงสีหน้าลำบากใจขั้นสุด ผมเข้าใจดีว่าคนในเมืองคงไม่กินอะไรแบบนี้แน่ แต่ให้ทำไงได้ล่ะ ไม่กินอ่อมหนู ก็ไม่มีอะไรให้กินแล้ว
“ถ้างั้นรอแป๊บ มีอ่อมหมูอยู่”
ผมแสร้งลุกขึ้นจากแคร่แล้วตรงเข้าไปในครัว ทำทีเปิดตู้กับข้าวแล้วเดินออกมา ยกชามที่มันวางอยู่ตรงนั้นลงที่เดิม
“อะ ชิมดู”
เรียวนิ้วเล็กค่อย ๆ เลื่อนคลำไปตรงหน้าอย่างเก้ ๆ กัง ๆ จนผมต้องได้ช่วยจับข้อมือเธอแล้วเลื่อนมายังกระติบข้าว แต่นั่นก็ไม่ได้ช่วยให้เธอสามารถหยิบและปั้นข้าวเหนียวขึ้นมาได้
“เป็นไหมเนี่ย”
“นะ หนูไม่เคยกินข้าวเหนียวน่ะค่ะ”
ไม่บอกก็พอจะเดาได้อยู่หรอก
“แล้วปกติกินยังไง”
“ปกติมีพี่เลี้ยงป้อนค่ะ”
“ฉันคงต้องป้อนเธอสินะ”
อีกฝ่ายรีบส่ายหน้าพัลวัน ก่อนจะเอ่ยอวดเก่งอย่างไม่ดูสังขารตัวเอง
“ไม่เป็นไรค่ะ พี่สิงห์สอนหนูกินก็ได้”
“ฉันไม่ได้มีเวลามากพอมานั่งสอนเธอหรอกนะ”
มือหนาล้วงเข้ากระติบข้าวเหนียวก่อนจะนำไปจ้ำกับอ่อมหนู จากนั้นก็นำขึ้นไปจ่อที่ริมฝีปากบาง
“ขอโทษที่ทำให้ลำบากนะคะ”
“ฉันพูดตอนไหนว่าลำบาก”
ผมลดมือลงเล็กน้อย แล้วปล่อยให้คนตรงหน้าได้พูดให้จบประโยค
“ก็พี่สิงห์ไม่ได้อยากแต่งงานกับหนูนี่คะ ขอโทษนะคะ ที่หนูทำให้พี่ต้องมาลำบากด้วย ขอโทษ... ที่เข้ามาเป็นภาระของพี่”
คงจะจำตอนที่ผมพูดกับน้าอรสินะ ผมก็ลืมคิดไปเลยว่าถ้าเธอได้ยินแล้วจะรู้สึกแบบไหน แต่จะให้ขอโทษ ผมคงทำไม่ได้จริง ๆ มันไม่ใช่สิ่งที่ผมสามารถพูดออกไปได้ง่าย ๆ เพราะไอ้ผมมันก็เป็นประเภทปากหนัก ไม่ยอมสิ้นศักดิ์ แม้นจะต้องสิ้นชื่อ
“ลืม ๆ มันไปเถอะ อ้าปากแล้วกินข้าวซะ”
“ไม่เป็นไรค่ะ หนูกินเองได้ รบกวนแค่...”
“ฉันสั่งให้อ้าปาก!”
“...”
ผมไม่ได้ตั้งใจจะขึ้นเสียงใส่ แต่แค่อยากให้เธอหยุดเถียงแล้วกินข้าวเสียที และแน่นอนว่าเธอยอมหยุดชะงัด ก่อนจะอ้าปากกินปั้นข้าวที่อยู่ในมือของผมอย่างจำยอม ใบหน้าที่เรียบเฉยกำลังซ่อนความรู้สึกกล้ำกลืนมากมาย ผมเองก็อยากปลอบ แต่จะให้ผมปลอบยังไงวะ ผมบอกแล้วไงว่าผมทำไม่เป็น!