ฝันที่เสมือนจริง

1327 Words
ชีวิตของมู่เจียอียามที่อยู่ชายแดนเหนือมิได้ลำบากเพียงใด หวงเต๋อฟานก็ไม่ได้ทำให้นางลำบากใจ เขามักจะพักอยู่ที่ค่ายทหารและกลับมาดูนางที่จวนบ่อยครั้ง พออยู่ชายแดนเหนือได้สองปี นางกับหวงเต๋อฟานก็ใช้ชีวิตเช่นสามีภรรยากันอย่างแท้จริง ชีวิตของมู่เจียอีมีความสุขไม่น้อย แต่ท้องของนางไม่ยอมตั้งครรภ์เสียที “มีเพียงอาชุนก็พอแล้ว เจ้าอย่าได้คิดมาก ต่อให้เจ้าไม่ตั้งครรภ์ ข้าก็ไม่คิดจะแต่งอนุเข้าจวน” นี่คือสิ่งที่หวงเต๋อฟานบอกเจียอีทุกครั้งที่นางหวังว่าจะตั้งครรภ์ พอหวงหมิงชุนได้แปดหนาว ทั้งสามก็ถูกเรียกตัวกลับเมืองหลวง เพราะสงครามที่หวงเต๋อฟานนำทัพไปสู้รบนั้นได้รับชัยชนะกลับมา การกลับมาเมืองหลวงครั้งนี้ หวงเต๋อฟานได้รับแต่งตั้งบรรดาศักดิ์เป็นถึงโห่ว มีจวนแยกจากจวนตระกูลหวงออกมา มู่เจียอีก็ได้รับการยอมรับจากสตรีในเมืองหลวงเพิ่มขึ้น เพียงแต่นางถูกเรียกว่ามู่เฟยหย่าแทน นางไม่ได้เปิดจวนโห่วต้อนรับผู้ใดมากนัก เพราะหวงเต๋อฟานไม่ชื่นชอบงานรื่นเริง แม้จะงานเลี้ยงด้านนอกนางก็ไม่ได้ไป ได้แต่เก็บตัวอยู่ภายในจวน ดูแลเขาและอาชุนอย่างเต็มที่ จะได้กลับบ้านเดิมก็น้อยครั้ง บิดามารดาที่เห็นหน้าแม้ในใจจะรู้ว่าตรงหน้าคือมู่เจียอี แต่ก็ไม่อาจเอ่ยเรียกนางออกมาได้ แต่พอกลับมาอยู่เมืองหลวง สองพ่อลูกที่ลูกใคร่นางยามที่อยู่ชายแดนก็เปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน ทั้งสองเริ่มตีตัวออกห่างจากนาง แม้จะเอ่ยพูดคุยกันเช่นเดิม แต่นางกับรู้สึกได้อย่างแท้จริง มู่เจียอีมิใช่คนพูดมาก หรือเอ่ยเรียกร้องสิ่งใด นางอยู่ในที่ของนางเท่านั้น ดูเหมือนว่าหวงเต๋อฟานจะเห็นใจนาง บางครั้งเขาก็จะรักใคร่นางเช่นตอนที่อยู่ชายแดนเหนือ แต่วันต่อมาก็เฉยชาเช่นเดิม เป็นเช่นนี้จนมู่เจียอีเริ่มจะชินชาไปแล้ว เจียอีที่เห็นการกระทำทุกอย่าง ยังได้แต่เบ้ปาก ไม่รู้สตรียุคนี้ทนอยู่ใต้อำนาจของบุรุษได้อย่างไร คนผีเข้าผีออกเช่นนี้ เป็นเธอจะทนได้กี่วัน รอยยิ้มบนใบหน้าของเจียอีหายไปหลังจากกลับมาอยู่เมืองหลวงได้สองปี นางกลายเป็นคนเฉยชา หากสองพ่อลูกไม่เข้ามาพบนางที่เรือน นางก็ไม่คิดจะออกไปพบพวกเขา พอหวงหมิงชุนอายุได้สิบห้าหนาว นางก็ได้ยินเรื่องที่ไม่คิดว่าชีวิตนี้จะได้ยิน เมื่อบ่าวข้างกายของหวงหมิงชุนหลุดปากพูดเรื่องที่พระชายาของเว่ยอ๋องมีใบหน้าคล้ายกับฮูหยินจวนโห่วของตน “เมื่อครู่เจ้าว่าอย่างไรนะ” มู่เจียอีที่เดินออกมาจากเรือนได้ยินเข้าโดยบังเอิญ “เอ่อ...ข้าน้อยบอกว่าพระชายาเอกของเว่ยอ๋องมีใบหน้าเหมือนฮูหยินขอรับ” “นางแซ่อันใด” มู่เจียอีเดินเข้าไปใกล้บ่าว “แซ่ แซ่มู่ขอรับ” มู่เจียอีทรุดนั่งลงกับพื้น สาวใช้ของนางต้องรีบประคองกลับเรือนแล้วเรียกหมอมาตรวจอาการ เพราะยามนี้มู่เจียอีนางหมดสติไปเสียแล้ว หวงเต๋อฟานและหวงหมิงชุนได้ยินข่าวก็รีบเข้ามาดูนาง พอรับรู้จากบ่าวข้างกายของหวงหมิงชุนว่า ที่นางเป็นลมมาจากสาเหตุที่นางรู้แช่ของพระชายาเว่ยอ๋อง สองพ่อลูกใบหน้าก็เคร่งเครียดขึ้นมาทันที หวงเต๋อฟานนั่งรออยู่ภายในห้องเพื่อรอให้นางตื่น ส่วนหวงหมิงชุนรีบร้อนออกไปด้านนอกทันที “เป็นเช่นใดบ้าง” เขาเอ่ยถามนาง เมื่อเห็นว่านางรู้สึกตัวแล้ว “ท่านรู้เรื่องนี้หรือไม่” นางเอ่ยถามเสียงสั่นออกมาอย่างน่าสงสาร “อืม” “ฮึก...นานเพียงใดแล้ว” นางสะอื้นออกมา เมื่อคิดว่านางคงเป็นคนเดียวที่ไม่เคยรับรู้เรื่องนี้มาก่อน “ตั้งแต่เดินทางไปชายแดนเหนือ” มู่เจียอีหันมามองเขาอย่างไม่เชื่อหูตนเอง “แต่ท่านไม่บอกข้า ท่านปล่อยให้ข้าเป็นผู้เดียวที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย” นางกรีดร้องออกมาอย่างคนเสียสติ “ข้ากลับมาถึงนางก็แต่งเข้าจวนอ๋องไปแล้ว จะให้ข้าทำเช่นใด หากเจ้าไม่ใช้ชื่อของนางตระกูลเจ้าและตระกูลข้าคงสิ้นชื่อไปแล้ว" “พวกท่านทำกับข้าเช่นนี้ได้อย่างไร” มู่เจียอีเอ่ยถามออกมาด้วยความเจ็บปวดถึงที่สุด “เจ้าพักผ่อนเถิด ถึงอย่างไรก็แก้ไขอันใดไม่ได้แล้ว ต่อให้เจ้าจะไปโวยวายก็ไม่ได้สิ่งใด มีแต่จะทำให้เรื่องทุกอย่างแย่ลง” เขาเดินออกไปจากห้องโดยไม่ได้หันมามองนาง เจียอีที่ได้ยินยังต้องตกตะลึง ทำไมทุกคนถึงได้ใจร้ายแบบนี้ มู่เจียอีนางทำกรรมอะไรไว้ ถึงต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ หลังจากนั้นมู่เจียอีไม่เคยออกจากเรือนของนางอีกเลย เพียงสามเดือนก็เกิดเรื่องร้ายกับครอบครัวของนาง เมื่อมีโจรเข้าปล้นจวนตระกูลมู่ คนภายในเรือนไม่มีผู้ใดรอดชีวิตไปได้แม้แต่คนเดียว ความเจ็บปวดครั้งเก่ายังไม่ทันหาย ความโหดร้ายครั้งใหม่ก็ประดังเข้ามาซ้ำเติมนาง มู่เจียอีรับศพของบิดามารดามาทำพิธี นี้คงเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่นางพบเจอพี่สาว นางช่างสูงส่งใบหน้ามีรอยยิ้มน้อยๆ แม้แววตาจะเศร้าหมองก็ตาม ข้างกายของนางมีเว่ยอ๋องที่สง่างามเคียงข้างจนเป็นที่อิจฉา ตอนที่นางอยู่ชายแดนได้ยินเรื่องที่เว่ยอ๋องสาบานในวันงานมงคล ว่าในตำหนักของเขาจะมีเพียงพระชายาเพียงผู้เดียวเท่านั้น มู่เจียอีไม่คิดเลยว่าจะเป็นพี่สาวของนางไปได้ “พี่หญิง ท่านหักห้ามใจเสียเถิด ทางการกำลังเร่งตามจับตัวคนร้ายมาลงโทษ ท่านอ๋องรับปากเรื่องนี้แล้ว ท่านอย่าได้เศร้าใจจนป่วยไข้ได้เล่า” มู่เฟยหย่าเดินเข้ามาเอ่ยพูดกับนาง “หึ พี่หญิงเช่นนั้นรึ ข้าเข้าใจแล้ว ขอบคุณพระชายามากเพคะ” แววตาของมู่เจียอีที่มองมู่เฟยหย่ามีแต่ความว่างเปล่า นางจะพูดสิ่งใดได้ หากพูดความจริงออกไป คนที่เกี่ยวข้องทั้งหมดคงต้องตาย เว่ยอ๋องมองจ้องมาที่นางตาไม่กะพริบ แต่มู่เจียอีไม่สนใจว่าเขาจะคิดเช่นไร อาจจะไม่พอใจที่นางเอ่ยพูดกับพระชายาของเขาเช่นนี้ก็ได้ ตลอดพิธีเคารพศพของตระกูลมู่ มู่เจียอีไม่ได้เดินทางกลับจวนโห่วเลยสักวัน หวงเต๋อฟานจึงให้พ่อบ้านจวนโห่วมาคอยช่วยเหลืองานนาง หลังจากพิธีศพเสร็จสิ้น มู่เจียอีขออยู่ที่จวนตระกูลมู่ต่ออีกวัน นางกลับไปที่เรือนหลังเก่าของนาง เพื่อระลึกความหลัง พอทานมื้อเย็นเสร็จนางก็หลับสนิทไปในทันที “ตื่นได้แล้วมู่เจียอี” เจียอีที่เห็นเหตุการณ์ร้องเรียกนางจากจิตใต้สำนึก แต่คนบนเตียงที่กำลังถูกเปลื้องผ้าก็ไม่ได้รู้ตัวสักนิด เจียอีตกใจกับสิ่งที่เธอได้เห็น เมื่อร่างของหวงหมิงชุนกำลังสั่งการให้บ่าวพาตัวพ่อบ้านจวนโหว่ที่ร่างกายเปลือยเปล่าเช่นกันมาวางไว้ข้างนาง “พระเจ้า นางเลี้ยงเจ้ามานะไอเด็กบ้า” เจียอีโมโหสุดขีด ที่คนวางแผนการเป็นหวงหมิงชุน
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD