ตอนที่ 2
ท่ามกลางสายฝนที่โปรยปราย เสียงฟ้าร้องที่ดังครืน ก่อนที่เม็ดฝนจะกระหน่ำลงมาอย่างบ้าคลั่ง แสงไฟตัดหมอกหน้ารถสาดทอดยาวไปบนม่านน้ำหนาทึบที่ดูเหมือนจะบดทัศนวิสัยเบื้องหน้าจนแทบมิด
สองมือหนากุมพวงมาลัยแน่นด้วยความรู้สึกกังวล สายตาคมกริบจ้องมองไปยังพื้นถนนเบื้องหน้าด้วยความระมัดระวังสูงสุด
ถึงแม้จะคุ้นเคยกับเส้นทางแถวนี้เป็นอย่างดี แต่การขับรถฝ่าพายุฝนเพื่อไปส่งบุตรสาวที่เป็นดั่งแก้วตาดวงใจเพียงคนเดียวเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัยเป็นวันแรก กลับทำให้หัวใจที่แข็งแกร่งของผู้เป็นบิดาเต้นรัวด้วยความกังวลอย่างอธิบายไม่ถูก มันคือความกังวลและความห่วงใยที่ก่อตัวขึ้นพร้อม ๆ กัน
บุตรสาวในชุดนักศึกษาใหม่เอี่ยมที่บ่งบอกถึงการก้าวผ่านวัยกระโปรงบานขาสั้นสู่รั้วมหาลัย เธอนั่งเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง ดวงตากลมโตคู่สวยพยายามเพ่งมองตึกสูงของมหาวิทยาลัยที่อยู่ห่างออกไปเบื้องหน้า แต่การเข้าถึงกลับดูเหมือนจะยากเย็นขึ้นทุกที เพราะต้องฝ่ากระแสรถติดและสายฝนที่โหมกระหน่ำ
รถยนต์คันหรูของรามัญเคลื่อนตัวไปอย่างเชื่องช้า จนแทบจะเรียกได้ว่าหยุดนิ่งสนิท ท่ามกลางเสียงแตรที่ดังระงมและหยาดฝนที่เริ่มทิ้งตัวลงมาอย่างหนัก รถของเขายังคงติดนิ่งอยู่ท่ามกลางมวลน้ำที่เริ่มเอ่อสูงขึ้นเรื่อย ๆ เพราะการระบายน้ำไม่ทัน กระจกหน้ารถมีหยดน้ำเม็ดโตไหลเป็นสาย นัตตี้เงยหน้าจากโทรศัพท์มือถือด้วยสีหน้ากังวล
“รถติดเพราะมีอุบัติเหตุข้างหน้าค่ะ” เธอเอ่ยขึ้นหลังจากเช็กข้อมูลจากแอปพลิเคชันของการจราจรเรียบร้อยแล้ว
“ข่าวบอกว่า...ก่อนหน้านี้มีรถพ่วงเสียหลักพลิกคว่ำกลางถนนค่ะ มีสินค้าร่วงเต็มพื้นเลยกีดขวางการจราจร”
“ให้ตายสิ! มันไม่ใช่แค่ฝนตกรถติดอย่างเดียวแล้วล่ะ ถ้ารถพ่วงคว่ำแบบนี้ การเคลียร์พื้นที่ท่ามกลางสายฝนคงใช้เวลาอีกเป็นชั่วโมง ๆ แน่” รามัญถอนหายใจยาว
“แล้วมีคนเจ็บมั้ยลูก” เสียงทุ้มของผู้เป็นบิดาเอ่ยถาม แสดงออกถึงความกังวลที่เพิ่มขึ้น
“มีค่ะ เป็นคนขับ”
“น่าจะตอนที่เสียงรถพยาบาลเมื่อกี้นี้แน่ ๆ เลย” นัตตี้กล่าวต่อ พลางหันมามองใบหน้าเคร่งเครียดของผู้เป็นบิดา
“พ่อขับระวัง ๆ นะคะ ไม่ต้องรีบ” บุตรสาวรีบย้ำ ราวกับจะเตือนสติให้พ่อของเธอผ่อนคลายความกังวลเรื่องเวลาลงบ้าง
รามัญเหลือบมองลูกสาว ใบหน้าของนัตตี้ยังดูสงบนิ่ง ทำให้เขาต้องสูดลมหายใจเข้าลึกๆ
”ในกลุ่มไลน์ของเพื่อน ๆ หนู แชร์ภาพมาให้ดูด้วยค่ะ หนูว่าพ่อเปลี่ยนเส้นทางเถอะ”
“โอเค งั้นเดี๋ยวพ่อจะเลี้ยวเข้าซอยข้างหน้านี้ แล้วลัดไปอีกทาง ไกลหน่อยก็ยังดีกว่าติดอยู่ตรงนี้” รามัญตัดสินใจในที่สุด เขาตบไฟเลี้ยวเข้าเลนซ้ายด้านหน้าทันที
เสียงปัดน้ำฝนและเสียงสัญญาณไฟเลี้ยวของรถดังแข่งกับเสียงของสายฝนที่กระหน่ำลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา รถของสองพ่อลูกเลี้ยวเข้ามาติดนิ่งอยู่ท่ามกลางการจราจรที่หนาแน่นภายในซอยเล็ก ๆ ถึงแม้ว่ารามัญจะเปลี่่ยนเส้นทางแล้วก็ตาม และที่น่ากังวลกว่า คือในซอยเล็ก ๆ นี้ยังไม่มีทางทีว่ารถจะได้เคลื่อนตัวไปข้างหน้าได้เลย
เม็ดฝนยังคงเทกระหน่ำลงมาอย่างไม่ขาดสาย แสงไฟเบรกสีแดงฉานสะท้อนอยู่ในม่านน้ำ บ่งบอกถึงการจราจรที่สิ้นหวัง
พีรยามองระดับน้ำที่เริ่มเอ่อขึ้นมาถึงขอบทางฟุตบาทอย่างประเมินสถานการณ์ ก่อนจะหันไปบอกผู้เป็นบิดา
“พ่อคะ!!!..น้ำเอ่อขึ้นมาถึงขอบทางแล้ว แถมรถก็ติดหนักขนาดนี้ หนูว่า!!!...หนูลงรถแล้วเดินลุยฝนไปดีกว่า” บุตรสาวเอ่ยขึ้นด้วยแววตาอันแน่วแน่
“ให้รถขยับไปใกล้ ๆ อีกหน่อยสิ เวลายังเหลืออีกตั้งเยอะนะ” รามัญเอ่ยขึ้นขณะที่รถเริ่มเคลื่อนตัวอย่างช้า ๆ ฝ่ามวลน้ำ
ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์ของรามัญก็ดังขึ้นหยุดเสียงสนทนาจากพีรยาที่กำลังจะเอ่ยขึ้น เขารีบกดปุ่มรับสายบนพวงมาลัยทันที
“คุณรามค่ะ ณัชชากำลังจะออกเดินทางแล้ว เจอกันที่เชียงใหม่นะคะ” น้ำเสียงหวานใสและนุ่มนวลของเลขาฯ คนใหม่ผ่านลำโพงในรถ
“ครับ ฝนตก คุณขับรถระวัง ๆ นะ” รามัญตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลกว่าปกติ จนผิดสังเกต
“ขอบคุณค่ะ คุณราม” เสียงหวานใสปลายสายที่ตอบกลับมา ทำให้บุตรสาวลอบยิ้ม เธอสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างที่เกิดขึ้นกับผู้เป็นบิดา
หลังจากรามัญวางสายไป ก็เต็มไปด้วยคำถามที่อยากรู้ของลูกสาว เธอเอนตัวเข้ามาใกล้บิดา สีหน้าของเธอดูเจ้าเล่ห์เล็กน้อย
“เลขาฯ คนใหม่ของพ่อ สนิทกับพ่อถึงขั้นเรียกชื่อเล่นเลยเหรอคะ” นัตตี้เอ่ยถามอย่างหยอกล้อ
รามัญหัวเราะเบา ๆ พยายามซ่อนความเขินอายที่ซึมออกมาทางสีหน้า ก่อนจะรีบแก้ตัวทันควัน
“ทำไมล่ะ ก็พ่อไม่ชอบให้ใครเรียกว่าท่านประธานนี่น่า มันดูห่างเหินกับลูกน้อง”
“แหม่...เรียกคุณรามัญก็ได้นี่คะ” นัตตี้ลากเสียงยาวอย่างรู้ทัน
“พ่อคงชอบเลขาฯ คนใหม่เข้าแล้วล่ะ เธอสวยมั้ยคะ”
คำถามนี้ทำเอาใจของรามัญเต้นเร็วกว่าปกติ เขาหันไปมองท้องถนนที่เต็มไปด้วยน้ำท่วมขังเพื่อหลบเลี่ยงสายตาจับผิดของบุตรสาว
“พ่อก็ไม่มีรูปเธอซะด้วยสิ เอาเป็นว่าวันไหนหนูไปบริษัทของพ่อ ก็จะเห็นเธอเองแหละ”
“แสดงว่าเธอสวย! หนูมองหน้าพ่อเวลาพูดถึงเธอ พ่อดูมีความสุขจัง” นัตตี้คลี่ยิ้มกว้างด้วยความเข้าใจ
“ถึงยังไง คุณแม่ก็จากเราสองคนไปนานแล้ว ถ้าพ่อจะชอบใครสักคน มันก็ไม่ผิดหรอกค่ะ”
คำพูดของลูกสาวเป็นดั่งน้ำทิพย์ชโลมใจ ทำให้รามัญรู้สึกโล่งใจ เขาอยากจะตอบรับความรู้สึกนั้น แต่ภาพของมารดาและน้องสาวก็แวบขึ้นมาในหัวทันที
“พ่อไม่ได้ห่วงเรื่องหนูหรอก แต่ห่วงเรื่องคุณย่าต่างหากล่ะ” รามัญสารภาพออกมาอย่างตรงไปตรงมา
“พ่อจะแคร์อะไรล่ะคะ คุณย่าแก่แล้วหลง ๆ ลืม ๆ ท่านไม่สนใจหรอกค่ะ ว่าพ่อจะคบหากับใคร ท่านสนใจแค่ลูกสาวคนเล็กเพียงคนเดียว” พีรยาเอ่ยถึงคุณอาของเธออย่างไม่ชอบใจนัก เพราะรายนั้นออกจะฟุ่มเฟือย ใช้ของแบรนด์เนม ทำตัวไฮโซ ซึ่งต่างจากพ่อของเธอที่ทำงานงก ๆ ให้บริษัท แทบไม่เคยพักผ่อน
“พ่อต้องหาความสุขให้กับตัวเองบ้างนะคะ อย่าแคร์คุณอาแล้วก็คุณย่าเลยค่ะ ทุกวันนี้พ่อก็ทำเพื่อครอบครัวมามากพอแล้ว”
รามัญรู้ดีว่าลูกสาวพูดความจริง นับตั้งแต่เขากลับมากอบกู้วิกฤตบริษัท มารดาของเขาก็แทบไม่เคยสนใจการทำงานของเขาเลย นอกจากจะคอยตรวจสอบว่าเขาจะนำเงินไปปรนเปรอบุตรสาวมากเกินไปหรือไม่ ส่วนน้องสาวก็เอาแต่ใช้ชีวิตหรูหรา
รามัญไม่ต้องการให้ความสุขเล็กๆ ของตัวเอง กลายเป็นพายุอีกลูกที่พัดพาบุตรสาวเข้าไปอยู่ท่ามกลางความขัดแย้งของครอบครัวตนเองอีกครั้ง... จนกว่าเขาจะมั่นใจว่าเธอดูแลตัวเองได้